ตอนที่ 4 ผลประโยชน์

1396 คำ
งานเลี้ยงเปิดตัวสะใภ้สกุลถัง ผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรที่ถังเจิ้นและจางม่านอวี้ต้องกังวลนอกจากเรื่องของลู่เหว่ย ที่ก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากพยายามเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เท่านั้น เมื่อรับประทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จแล้ว ถังเจิ้นก็พาภรรยาสาวไปยังเวทีเพื่อที่จะกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงแนะนำภรรยาสาวในครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้เชิญแขกส่วนใหญ่ในนี้ไปเป็นสักขีพยานร่วมพิธีมงคลสมรส จากนั้นจางม่านอวี้ก็กล่าวขอบคุณด้วยถ้อยคำที่ดูอ่อนหวานและไม่ได้ตื่นเต้นกับการพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ริมฝีปากอวบอิ่มฉีกยิ้มหวานให้แก่สามีกำมะลอ ต่างคนต่างยิ้มให้กันอย่างหวานชื่น ดูเป็นคู่สมรสที่รักใคร่กันเป็นอย่างดี “ทำดีมาก” เขากระซิบบอกเธอในขณะที่เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหารด้วยกัน “ฉันต้องทำหน้าที่ของฉันให้ดีสิคะ ในเมื่อค่าจ้างงามขนาดนั้น” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความมั่นใจในตนเอง ดูไม่เหนียมอายแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเหมือนที่ผ่านมา จริงอยู่ว่าถังเจิ้นเพิ่งจะช่วยเหลือเธอ และพามาอยู่ที่บ้านหลังเล็กของตนเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าจะมีการแต่งงาน แต่เธอก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืนแบบนี้ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองและพูดจาฉะฉาน ดีกว่าเป็นคนขี้กลัว ตกใจง่าย และอึกอักพูดในลำคอเหมือนก่อนหน้านี้ “ย่าจะกลับแล้ว” ยังไม่ทันได้นั่ง ลู่เหว่ยก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน ทำให้ถังเจิ้นต้องเดินเข้าไปพยุงผู้เป็นย่าให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แขกที่นั่งร่วมโต๊ะก็ลุกขึ้นเตรียมส่งหญิงชราด้วย จางม่านอวี้จึงเดินเข้าไปยืนอีกข้างแล้วช่วยพยุงศอกให้อีกฝ่ายเดินไปที่ประตูห้องจัดงานพร้อมกัน “อย่าลืมสัญญานะอาเจิ้น กลับไปกินข้าวที่บ้านให้ย่าเห็นหน้าบ้าง” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเศร้าในใจ “ไม่ลืมแน่ครับ” เขารับปากแล้วเดินไปส่งผู้เป็นย่าที่หน้าประตูลิฟต์ จากนั้นอาซื่อผู้ดูแลส่วนตัวของลู่เหว่ยก็รับช่วงดูแลต่อ ช่วยพยุงลู่เหว่ยเข้าไปในลิฟต์ เพราะแม้หญิงชราจะยังเดินเหินได้อย่างแข็งแรง แต่ก็ต้องดูแลตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เมื่อประตูลิฟต์ถูกปิดลง ทั้งสองก็เดินกลับเข้าไปในงาน ในขณะที่แขกเหรื่อก็เริ่มลุกขึ้นมาจากโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมตัวกลับ “งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นแบบกะทันหันเพราะความต้องการของคุณย่า เลยไม่ได้มีการบอกกล่าวแขกล่วงหน้า งานนี้จึงเป็นการเชิญมาร่วมรับประทานอาหารกลางวันแทน เพราะบางคนก็มาร่วมงานตามมารยาทเพราะเห็นแก่คุณย่า แล้วก็ต้องกลับไปทำงานต่อ” เขาอธิบายให้เธอเข้าใจ เพราะพอลู่เหว่ยกลับ แขกเหรื่อก็เริ่มทยอยกลับออกไปเช่นกัน “ค่ะ ฉันพอเก็ต” “คุณว่าอะไรนะ” “ฉันหมายถึง เข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวพูดแล้วยิ้มให้เขา ลืมตัวใช้คำพูดทับศัพท์แบบยุคปัจจุบันที่ตนจากมา ดีที่ถังเจิ้นก็ไม่ได้ใส่ใจไม่อย่างนั้นเธอต้องมานั่งอธิบายนั่นนี่ให้มากความ หลังงานเลี้ยงเลิกรา ถังเจิ้นให้คนขับรถมาส่งจางม่านอวี้ที่บ้านหลังเล็กของสกุลถังที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของเมืองซีเฉิง ในขณะที่บ้านหลังใหญ่ที่ลู่เหว่ยปกครองอยู่ฝั่งเหนือของซีเฉิง เมื่อมาถึงที่บ้าน จางม่านอวี้ก็เดินเข้ามาตามปกติแล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าลู่เหว่ยที่ควรจะกลับบ้านของตนไปแล้ว กลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แทน “มานั่งคุยกันก่อนสิ” น้ำเสียงราบเรียบกล่าวขึ้น จางม่านอวี้จึงเดินเข้าไปหา แล้วนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านขวามือของหญิงชรา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวาน ไม่ได้แสดงท่าทีกังวลใจ ลู่เหว่ยพยักหน้าเพียงนิด คนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องก็เดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้เจ้านายทั้งสองพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัว เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ลู่เหว่ยก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ก่อนจะวางลงแล้วช้อนตามองหลานสะใภ้กำมะลอด้วยสายตาที่ดูแคลน “ได้ข่าวว่าเธอมาจากซ่อง” เปิดประโยคแรกมาก็ทำเอาคนฟังถึงกับอึ้งไป แต่ไม่นานมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นแล้วพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ ฉันถูกพ่อแม่นำไปขาย แต่โชคดีที่เจอพี่เจิ้นตอนที่กำลังหนีพอดี เขาจึงช่วยไถ่ตัวฉันออกมา” “อยู่กับฉันตามลำพังไม่ต้องเรียกอาเจิ้นเหมือนสนิทสนมแบบนั้นก็ได้ เธอควรจะสำนึกว่าตัวเองเป็นใคร ไม่แน่ว่าหากรับเด็กคนนั้นเข้ามาในสกุลถังได้สำเร็จ ฉันอาจจะให้อาเจิ้นหย่ากับเธอทันทีก็ได้” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย “ค่ะ” จางม่านอวี้รับปาก ไม่อยากเถียงคนแก่ให้อีกฝ่ายต้องโมโหจนความดันขึ้น “ฉันแค่จะมาเตือนว่า อย่าได้คิดใฝ่สูงจะเป็นคุณนายสกุลถัง ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วจะหลอกล่อให้อาเจิ้นหลงเสน่ห์เธอในภายหลังจนไม่อยากหย่า แต่ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนทำให้เธอออกไปจากชีวิตเขา... ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม” น้ำเสียงและแววตาของลู่เหว่ยบอกว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น จางม่านอวี้รู้ดีว่าเธออยู่ในสถานะไหน และไม่อยากนำภัยมาสู่ตัวเองอย่างแน่นอน “แน่นอนค่ะ เอกสารการหย่าก็เซ็นไปแล้ว เหลือแค่ถึงเวลาที่เหมาะสมประธานถังก็จะยื่นเรื่องเองค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ แม้จะกังวลว่าอีกฝ่ายจะมาทำให้ตนลำบากใจ ทว่าไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา “แล้วอีกอย่าง ฉันมีผู้หญิงที่หมายตาเอาไว้ให้อาเจิ้นอยู่แล้ว อีกไม่นานจะกลับมาจากต่างประเทศ ถึงตอนนั้นอาจจะมาแวะเวียนที่บ้านหลังนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับเด็กนั่นเอาไว้ และฉันอยากให้เธอใกล้ชิดกับอาเจิ้นให้มาก เธอต้องให้ความช่วยเหลือว่าที่หลานสะใภ้ของฉัน.... ส่วนเรื่องจะให้ช่วยอะไรและทำอย่างไรฉันจะบอกเธออีกทีก็แล้วกัน” ลู่เหว่ยบอกจุดประสงค์ของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ค่ะ ฉันรับทราบแล้ว แต่ว่าฉันได้รับค่าจ้างจากคุณถังเจิ้นส่วนหนึ่ง หากคุณย่าจะให้ฉันช่วยเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากข้อตกลง ฉันหวังว่าคุณย่าจะมีค่าตอบแทนให้ฉันนะคะ” จางม่านอวี้เองก็ไม่ยอมเสียผลประโยชน์ ไม่ยอมถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่ได้อะไรตอบแทนแน่ ลู่เหว่ยเผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าหญิงสาวตรงหน้านี้มีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง หากจะใช้เงินหลอกล่อก็คงกระดิกหางทำตามอย่างว่าง่าย “ดีพูดตรง ๆ แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย” “ส่วนเรื่องยั่วยวนคุณถัง คุณย่าไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะฉันไม่ใช่คนที่ต้องการปีนขึ้นเตียงเพื่อความสุขสบาย แล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้สนใจฉันอยู่แล้ว คุณย่าน่าจะรู้นิสัยของหลานชายตัวเองดีนี่คะ” หญิงสาวพูดตามจริง แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ได้เจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูอ่อนหวานอย่างตอนแรก ทว่าเป็นรอยยิ้มที่มีความมั่นใจอย่างเปิดเผย ลู่เหว่ยยกชาขึ้นจิบอีกคำ มองหลานสะใภ้กำมะลออย่างพิจารณาว่าอีกฝ่ายมีนิสัยที่แท้จริงเป็นคนอย่างไรกันแน่ แต่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ในเมื่อจางม่านอวี้ต้องการเพียงแค่ผลประโยชน์ เท่านั้นก็ดีต่อตนและหลานชายแล้วไม่ใช่หรือ ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม