รถเก๋งคันสีดำรุ่นคลาสสิกวิ่งเข้าไปจอดหน้าบริษัทต้าถังที่เป็นอาคารสี่ชั้น ฝั่งตรงข้ามมองเห็นห้างสรรพสินค้าที่กำลังก่อสร้าง อีกไม่เกินสองปีห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ก็คงได้เปิดทำการอย่างแน่นอน
ประตูรถถูกเปิดออก ถังเจิ้นลงจากรถก่อนแล้วยื่นมือให้เธอจับเพื่อเดินควงแขนกันเข้าไป หญิงสาววางมือบนฝ่ามือหนา รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แม้จะผ่านการแต่งงานมาแล้ว ทว่าผู้ชายคนนี้ก็ยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธออยู่ดี
หญิงสาวในชุดกี่เพ้าตามแบบอนุรักษนิยมที่คุณย่าของเขาชอบ เธอลงจากรถมายืนเคียงข้างกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี มือที่วางบนมือของเขาใตอนแรกเลื่อนมาวางคล้องที่แขนแล้วเดินเข้าไปในงานพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาชื่นชมของคนที่มาร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงเปิดตัวสะใภ้สกุลถัง
ห้องโถงจัดงานอยู่บนชั้นบนสุดของอาคาร เมื่อไปถึงก็พบว่าแขกส่วนใหญ่ได้มาถึงแล้ว งานเลี้ยงจัดแบบดั้งเดิมเป็นโต๊ะอาหารแบบโต๊ะจีนทั่วไป แขกในงานส่วนใหญ่แต่งกายแบบดั้งเดิมเพื่อเอาใจลู่เหว่ย
ที่ถังเจิ้นแต่งตัวแบบนี้ในงาน และเสื้อผ้าส่วนใหญ่เป็นแบบดั้งเดิม ส่วนหนึ่งก็คงมีอิทธิพลมาจากการเลี้ยงดูจากครอบครัวอนุรักษนิยม ถ้าคนอื่นใส่คงจะดูแก่และเชยระเบิด แต่เขากลับสวมใส่มันแล้วดูน่าเกรงขามและดูดีมากเลยทีเดียว
ยิ่งใบหน้าที่ไม่ค่อยยิ้มนั้นยิ่งทำให้เขาดูเหมือนพระเอกในหนังเจ้าพ่อที่เคยดู ทว่าจางม่านอวี้ยกให้เขาเป็นมาเฟียปักกิ่งที่หล่อเท่ไม่แพ้กัน
โต๊ะของเจ้าภาพตั้งอยู่ด้านหน้าสุด ผู้ที่ที่นั่งหน้าตึงอยู่คือลู่เหว่ย สตรีที่มีอำนาจที่สุดในงานนี้
ถังเจิ้นเดินควงเธอเข้าไปเพื่อทำการคารวะผู้เป็นย่า จากนั้นก็พยักหน้าให้คนของตนยกป้านน้ำชามาให้ตนกับจางม่านอวี้ทำการยกน้ำชาให้แก่ลู่เหว่ย
“ม่านอวี้คารวะคุณย่า ขอให้คุณย่ามีสุขภาพแข็งแรงค่ะ”
หญิงชรารับน้ำชานั้นมาจิบหนึ่งคำ ต่อหน้าแขกเหรื่อจะแสดงอาการต่อต้านออกนอกหน้าได้อย่างไร แม้ใบหน้านั้นจะบึ้งตึง แต่ก็ต้องรักษาหน้าตาของหลานชายและตระกูลถังเอาไว้
หลังจากสูญเสียสามี ลูกชายและลูกสะใภ้ ไปในอุบัติเหตุเมื่อยี่สิบปีก่อน ตนก็เลี้ยงดูถังเจิ้นมาตัวคนเดียว ท่ามกลางความกดดันที่ต้องบริหารงานต่อจากสามีภายใต้คำสบประมาทที่ว่าผู้หญิงไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้
เธอต้องฝ่าฟันมาอย่างยากลำบาก ในขณะที่ต้องเลี้ยงดูหลานชายคนเดียวไปด้วย กว่าจะมาถึงจุดที่ถังเจิ้นสานต่องานทุกอย่างได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว
แต่พอจะแต่งงาน เจ้าหลานชายไม่รักดีนี้กลับจัดการด้วยตนเอง แม้จะเป็นการแต่งงานหลอก ๆ ก็ตามทีเถอะ เขาไม่ควรแยกบ้านออกไปแบบนี้ ถึงตนจะไม่ได้เป็นคนเลือกหลานสะใภ้ด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นหลานชายของตนเองอยู่ คนแก่ทำไมจะอดคิดถึงเขาไม่ได้
“ไม่อยู่บ้านแค่เดือนเดียว ดูหลานซูบผอมลงนะ” ผู้เป็นย่ากล่าวขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เยือกเย็น แล้วพยักหน้าให้ทั้งสองลุกขึ้น
ถังเจิ้นประคองให้จางม่านอวี้ลุกขึ้นแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ และทำหน้าที่สามีที่รักภรรยาของตนต่อหน้าแขกเหรื่อที่มองดูอยู่
“ช่วงนี้วุ่นวายอยู่กับการคุมงานก่อสร้าง และงานซื้อขายวัตถุโบราณ ไม่ได้กลับบ้านไปกินข้าวกับคุณย่าเลย อาหารข้างนอกไม่ได้ถูกปากเท่ากับที่ป้าอี้ทำ” ถังเจิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและสุภาพ นั่งลงข้างผู้เป็นย่าแล้ววางมือกุมที่มือเหี่ยวย่นของอีกฝ่ายเอาไว้
“กลับมาอยู่ที่บ้านเราเถอะ อาเจิ้น คนแก่กินข้าวคนเดียวมันเหงา” หญิงชราบอกแก่หลานชาย สายตามองเลยไปยังหลานสะใภ้กำมะลอที่กำลังนั่งลุ้นคำตอบของเขาอยู่
‘ไม่กลับ ไม่กลับ ไม่กลับ’ หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจ แค่ทะลุมิติมาอยู่ในร่างคนอื่นในยุคอื่นก็เคร่งเครียดและทำตัวไม่ถูกแล้ว หากจะต้องไปอยู่ในบ้านสกุลถังที่มีผู้เป็นย่าของเขาดูแล อยู่เธอคงรู้สึกอึดอัดใจ กว่าจะพ้นหนึ่งปีตามข้อตกลงคงได้อกแตกตายเสียก่อน
“เอาเป็นว่าผมจะพาหลานสะใภ้ของคุณย่าไปกินข้าวที่บ้านเราบ่อย ๆ ก็แล้วกันนะครับ” เขาพูดเพียงแค่นั้น สื่อความหมายว่าไม่ได้กลับไป ทำให้ผู้เป็นย่าพ่นลมหายใจด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะปั้นหน้านิ่งแล้วมองจางม่านอวี้ด้วยสายตาที่พินิจ
อีกฝ่ายดูไม่ได้ตื่นกลัวอย่างที่ตนเองเข้าใจ สายตาที่กวาดมองไปรอบ ๆ ห้องจัดเลี้ยงด้วยความสนใจนั้นเป็นสายตาที่ไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไรมาก ราวกับว่าคุ้นชินกับงานเลี้ยงที่มีผู้คนอุ่นหนาฝาคั่งเช่นนี้
“เธอชื่ออะไรนะ” คำถามนั้นทำให้หญิงสาวที่กำลังมองวิถีชีวิตของคนยุคนี้ด้วยความสนใจ หันกลับมาให้ความสนใจกับบทสนทนาของคนตรงหน้า รู้สึกเสียมารยาทที่เผลอมองไปทางอื่น จนอาจทำให้คุณย่าของสามีไม่พอใจหนักยิ่งขึ้น
“จางม่านอวี้ค่ะ อาเจิ้นเรียกฉันว่า ม่านม่าน” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับรอยยิ้มที่สุภาพและมั่นใจในตนเอง แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนน้อมและถ่อมตน จริง ๆ ถังเจิ้นไม่เคยเรียกเธอเช่นนั้น แต่หลังจากนี้เขาคงต้องเรียกเพื่อให้ดูสนิทสนมกันเสียแล้ว
หญิงชราพยักหน้าเบา ๆ มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายที่ดูยิ้มแย้มและไม่ได้กังวลกับตนมากนัก คงเพราะรู้ตัวว่าอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ต้องไปจากสกุลถัง จึงไม่ได้เกรงกลัวอะไรตน และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหลานชายของตนให้ท้าย แยกบ้านให้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและปกครองของบ้านหลังใหญ่ที่ตนดูแลกฎบ้านอยู่
ลู่เหว่ยหันมามองหลานชายของตนเองอีกครั้งแล้วเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา
“แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ หลานจะว่าอย่างไร” แม้จะไม่ได้อยากรับเลี้ยงเหลนบุญธรรม แต่ก็ขัดความต้องการของหลานชายไม่ได้
ในอนาคตหลังจากหย่าร้างจากสะใภ้กำมะลอคนนี้ ตนจะเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายแต่งงานและมีทายาทเป็นของตนเอง จ่ายภาษีลูกคนที่สองไม่ได้กระทบเม็ดข้าวสารในบ้านสกุลถังเลยแม้แต่น้อย แต่ติดตรงที่ถังเจิ้นบ้างานและไม่สนใจผู้หญิงต่างหากเล่าคือปัญหา
“ผมคิดว่าจะยื่นเรื่องอีกครั้งภายในเดือนนี้ครับ หากติดต่อไปตอนนี้เกรงว่าจะเร็วเกินไปและดูไม่น่าเชื่อถือ” แม้จะมีอำนาจเงิน และอิทธิพลในวงการธุรกิจ แต่เรื่องบางอย่างก็เป็นเรื่องทางกฎหมายที่ไม่สามารถใช้อำนาจเงินในการติดต่อเจรจาให้สำเร็จลุล่วงได้
ยิ่งช่วงปี 1980 ที่เพิ่งผ่านการกวาดล้างอิทธิพลของคนที่ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อ หากตนใช้อิทธิพลในทางที่ไม่ถูกต้องคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แม้จะมีหลายคนที่ยังคงมีอิทธิพลในทางธุรกิจอยู่ในปักกิ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นพกอาวุธปืนยิงกันกลางเมืองเหมือนพวกผู้มีอิทธิพลมืดในสมัยก่อน แต่เป็นการใช้อำนาจในการแข่งขันทางธุรกิจกันเสียมากกว่า
“งั้นในระหว่างช่วงที่ยังไม่ได้เอาเด็กมาเลี้ยง ก็ให้ม่านม่านไปเรียนรู้งานบ้านงานเรือนที่บ้านเราดีหรือไม่ ย่าจะได้สอนให้เธอดูแลหลาน และเตรียมตัวดูแลเด็ก คนไม่เคยตั้งครรภ์จะมีสัญชาตญาณความเป็นแม่และเลี้ยงเด็กเล็กได้อย่างไร ย่าจะสอนเธอเอง” จางม่านอวี้สบตากับสามีเป็นทำนองให้เขาปฏิเสธอีกครั้ง แต่ลู่เหว่ยก็กระแอมขึ้นมาอย่างรู้ทัน
“ถ้าเธอทำไม่ได้ ผมคิดว่าจะหาพี่เลี้ยงมาดูแลครับ ทุกอย่างผมเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว” เขาบอกตามความจริง อย่างน้อยแม้จะเป็นภรรยากำมะลอ แต่เขาก็ไม่อยากให้เธออยู่ภายใต้ความกดดันของผู้เป็นย่าที่เจ้าระเบียบและเคร่งครัดธรรมเนียมดั้งเดิม
จางม่านอวี้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถังเจิ้นดีกับเธอกว่าที่คิด แบบนี้น่าจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุขจนพ้นหนึ่งปีได้ไม่ยาก
************************