แค่วันแรกที่ฟื้นมาอยู่ในร่างของจางม่านอวี้ หญิงสาวที่ชื่อแซ่เหมือนกันในยุคนี้ เธอก็มีเรื่องวุ่นวายยุ่งยากตั้งแต่เริ่ม ชีวิตในวันต่อ ๆ ไปจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่อาจรู้ได้
หลังจากคุณย่ากลับไป จางม่านอวี้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองที่สุภาพอยู่ในบ้าน เดินสำรวจดูบ้านสองชั้นที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย พลางนึกว่านี่คือบ้านหลังเล็กที่เอาไว้ต้อนรับแขกชั่วคราว แล้วบ้านสกุลถังจริง ๆ จะหลังใหญ่แค่ไหน บางทีอาจจะไม่ใช่บ้านแต่เป็นคฤหาสน์เสียด้วยซ้ำ
“จริงสิ เจ้าของห้างสรรพสินค้าเดอะฟิวเจอร์ไม่ได้แซ่ถังนี่” เมื่อนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่มีต่อห้างเดอะฟิวเจอร์แล้ว คนที่เป็นเจ้าของไม่ใช่ถังเจิ้น หรือคนจากสกุลถัง แต่เป็นของนักธุรกิจที่แซ่เจียง สองพ่อลูกที่เป็นมหาเศรษฐีและนักลงทุนชื่อดังในเมืองซีเฉิงแห่งนี้
แต่เมื่อพยายามนึกถึงประวัติของนักธุรกิจวัยกลางคนผู้เป็นพ่อที่เคยอ่านผ่านตาก็นึกไม่ออก แต่ลูกชายวัยของเขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงในวัยเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น
“คุณนายจะออกไปไหนคะ” อากุ้ยสาวใช้ที่ติดตามรับใช้ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่กล่าวถามเมื่อเห็นว่าคุณนายน้อยของบ้านกำลังจะเดินออกไปนอกบ้าน
“ฉันแค่จะเดินชมสวนดอกไม้ มาเดินด้วยกันไหมล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ ไม่ได้ตำหนิที่ถูกสาวใช้ถามในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รู้ว่าอีกฝ่ายถูกลู่เหว่ยหรือที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่า ‘คุณย่าถัง’ สั่งให้คอยติดตามทุกฝีก้าว
“ไม่เป็นไรค่ะ” อากุ้ยก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา เธอเองก็ไม่ใช่คนรับใช้เก่าแก่ที่ติดตามถังเจิ้นมาจากบ้านสกุลถัง แต่เขารับคนเข้ามาใหม่หมด ทั้งเธอและป้าเจินที่เป็นแม่ครัว รวมถึงคนสวนและสาวใช้อีกสองคน ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่มาใหม่ทั้งนั้น
วันนี้ย่าถังได้มาเยือนที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก และวางอำนาจให้ทุกคนรู้ว่าใครที่เป็นใหญ่เหนือกว่าถังเจิ้น พวกมดปลวกอย่างพวกตนมีหรือจะกล้าขัดคำสั่ง เพราะท่าทางราวนางพญานั้นแค่มองก็เย็นวาบที่แผ่นหลังแล้ว
“นี่เย็นมากแล้ว อีกหน่อยคุณถังก็จะกลับมาแล้ว คุณนายไม่ไปช่วยเตรียมอาหารเย็นหรือคะ” เธอก้มหน้าถามเสียงเบา เพราะป้าเจินใช้ให้เธอมาตามจางม่านอวี้เข้าไปทำอาหารเย็น ตนก็ทักท้วงแล้วว่าไม่ใช่หน้าที่ของคุณนายน้อย แต่ก็ยอมมาถามให้แต่โดยดี
“เมื่อก่อนฉันอยู่ในฐานะผู้อยู่อาศัย ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาเจ้าของบ้าน หากนาน ๆ ครั้งอยากเอาใจสามีฉันก็ย่อมทำได้ แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของฉันไม่ใช่หรือหากฉันเข้าครัวแล้วจะจ้างป้าเจินมาทำงานทำไมเล่า จริงไหมอากุ้ย” จางม่านอวี้กล่าวถาม
แม้ความทรงจำของร่างเดิมจะบอกให้เธออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว และช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่จะทำได้จนคนรับใช้เหล่านี้เคยตัว แต่ตอนนี้จางม่านอวี้คนใหม่จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว
“ค่ะ ฉันจะเข้าไปบอกป้าเจินเดี๋ยวนี้” กุ้ยฮวาพูดอย่างสุภาพ แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจเล็กน้อย รู้สึกถึงจางม่านอวี้ที่เปลี่ยนไป แววตานั้นดูแข็งกร้าวมากขึ้น และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนหัวอ่อนที่ใครจะเอารัดเอาเปรียบได้อีกแล้ว
เมื่ออากุ้ยเข้าไปในครัว ก็ได้บอกป้าเจินออกไปพร้อมกับสีหน้าที่ยังคงประหลาดใจอยู่ “ป้าเจินทำอาหารเองเลยนะ คุณนายไม่ได้เข้าครัววันนี้”
“เมื่อก่อนก็เห็นกระตือรือร้นอยากเข้ามาช่วยทำไม่ใช่เหรอ แล้วดูตอนนี้สิ แต่งงานได้วันเดียวก็ไม่อยากทำงานบ้านเสียแล้ว” ป้าเจินพูดไปทำสีหน้าท่าทางไป
“อ้าวป้า ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่ คุณนายจะทำหรือไม่ทำก็ย่อมได้ ก่อนหน้านี้ที่ทำก็เพราะมีน้ำใจอยากช่วยไม่ใช่หรือ” อาเป้ยสาวใช้อีกคนที่ช่วยล้างผักอยู่กล่าวขึ้นมาอย่างเป็นกลาง
“แต่ฉันว่านะที่ทำเพราะอยากเอาใจคุณถังเสียมากกว่า พอแต่งงานแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจอีกแล้วนี่ เพราะตัวเองได้เป็นคุณนายสมใจแล้ว” อาหลินสาวใช้อีกคนพูดเห็นด้วยกับป้าเจิน
“ป้าเจิน หลินอิง ยังอยากทำงานอยู่ที่นี่ต่อหรือไม่ หากไม่แล้วฉันช่วยพูดกับคุณถังให้ได้นะ” เสียงของจางม่านอวี้ที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังของอาหลินหรือหลินอิง ทำเอาผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อถึงกับหน้าซีดลง
ในขณะที่กุ้ยฮวาและอาเป้ยก็นิ่งเงียบ ดีที่พวกตนไม่ได้พูดถึงอีกฝ่ายในทางเสียหาย
จางม่านอวี้ที่เปลี่ยนใจเดินตามอากุ้ยเข้ามาก็ถึงกับผิดหวังกับคนเหล่านี้ ไม่ว่ายุคสมัยไหนการนินทาเจ้านายก็ยังคงไม่จบสิ้น แม้จะเป็นสิ่งที่รู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินเองก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันปากเสียไปหน่อย” ป้าเจินพูดแล้วก็เอามือตบปากตัวเอง เช่นเดียวกันกับหลินอิง
“คุณนายจะเอาอะไรหรือเปล่าคะ” อากุ้ยรีบถามขึ้นมา
“พอดีฉันจะมาบอกว่าวันนี้ช่วยทำแกงจืดผักกาดขาวให้ฉันด้วย”
“ได้ค่ะคุณนาย ฉันจะทำอย่างสุดฝีมือเลยค่ะ” ป้าเจินรีบรับปากแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ตกงานไม่เท่าไรหรอก แต่เกรงว่าจะหางานใหม่ในเขตซีเฉิงดี ๆ แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“งั้นป้ากับอาหลินก็ช่วยทำอาหารให้เสร็จด้วยนะคะ ส่วนอากุ้ยกับอาเป้ยก็ขึ้นไปดูห้องนอนเล็กกับฉัน เดี๋ยวฉันจะตามขึ้นไปดูด้วยว่าจะให้ช่วยอย่างไร” แม้จะบอกให้ตัวเองอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะออกคำสั่งจัดแจงหน้าที่ให้คนทำงานตามประสาคนที่เคยเป็นผู้บริหารที่มีลูกน้องมาก่อน
“ค่ะ” อากุ้ยและอาเป้ยรับคำอย่างพร้อมเพรียง อาเป้ยวางผักในมือลงแล้วสบสายตาให้อาหลินมารับช่วงต่อจากตนแทน
เมื่อสาวใช้ทั้งสองเดินออกไปจากห้องครัวแล้ว จางม่านอวี้ก็ยังคงยืนอยู่ในห้องครัวสักพัก หลินอิงและป้าเจินก้มหน้าหลบสายตา รู้สึกถึงความจริงจังของจางม่านอวี้ที่ต่างออกไป
“หลังจากนี้ไปฉันหวังว่าทั้งสองจะทำงานตามหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจนะคะ” เธอพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็เดินตามสาวใช้ทั้งสองออกไป
ป้าเจินถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่าจะถูกตำหนิและไล่ออกเสียตั้งแต่วันนี้แล้ว
“เป็นอย่างไรล่ะป้า ดีนะที่คุณนายเธอไม่เอาเรื่องไปบอกคุณถัง” อาหลินเองก็ใจหายไม่แพ้กัน
“หึ แล้วผิดจากที่พูดเสียที่ไหน พอแต่งงานแล้วได้เป็นคุณนายก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนเอาแต่ก้มหน้าก้มตา พูดเสียงพึมพำในลำคอ แล้วดูตอนนี้สิ เชิดหน้าชูคอ พูดเสียงแข็ง วางอำนาจใส่ ไม่เรียกว่าลืมตัวจะให้เรียกว่าอย่างไรเล่า”
“ชู่ว! พอได้แล้วป้า รีบทำอาหารเถอะ ฉันยังไม่อยากกลับบ้านนอกไปในตอนนี้” หลินอิงบอกแก่แม่ครัววัยสี่สิบด้วยน้ำเสียงที่หวาดระแวง คันปากแต่ก็ไม่อยากตกงาน
จางม่านอวี้ตามสาวใช้ทั้งสองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ตรงไปยังห้องนอนเล็กที่เธอเคยพักอยู่ ห้องนี้เขาเคยบอกว่าจะให้เป็นห้องนอนของเด็กชายที่เขาจะรับมาเลี้ยง
“คุณนายจะให้เราทำอะไรเหรอคะ” อากุ้ยถามเมื่อห้องนี้ก็สะอาดดีอยู่แล้ว
“จะจัดวางตำแหน่งข้าวของใหม่น่ะ”
“ใครจะมาอยู่หรือคะ” อาเป้ยถามด้วยความสงสัย คงไม่ใช่ว่าเพิ่งแต่งงานก็จะแยกมานอนห้องนอนเล็กหรอกนะ
“เดี๋ยวก็รู้เอง” จางม่านอวี้ไม่ได้ตอบ เธอมองห้องนี้อย่างพิจารณา จะจัดให้เป็นห้องนอนของเด็ก พวกเฟอร์นิเจอร์แบบวินเทจเหล่านี้คงต้องย้ายออกไปไปเก็บที่อื่น แล้วต้องถามถังเจิ้นดูก่อนว่าเด็กน้อยอายุเท่าไร จะได้จัดห้องไว้รอถูก
************************