ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ก๊อก ก๊อก
ปัง!!
เสียงเคาะประตูดังสองครั้ง ก่อนที่จะเปิดออกโดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของบ้านซึ่งนอนยาวอยู่บนพื้น ตรงหน้ามีกองหนังสือหางานกองใหญ่
หญิงสาวเจ้าของบ้านลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอตระหนกและตกใจเมื่อเห็นใครก็ไม่รู้บุกเข้ามาในบ้าน
“พวก...พวกคุณ...เป็นใคร”
ใบหน้านวลซีดเผือดเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงและเร็ว ในดวงตากลมโตเป็นสีเขียวเข้มจนถึงเป็นแดงเป็นประกาย มองผู้ที่บุกรุกอย่างโกรธเกรี้ยวและไม่ชอบใจ
ความรู้สึกเย็นวาบแล้วแปลเปลี่ยนเป็นความร้อนแผ่มาจากชายหนุ่มร่างใหญ่และสายตาที่ตวัดมองมา ทำเอาปัณฑารีย์ร้อนวูบวาบและกระดากอาย เพราะอยู่บ้านเพียงลำพัง เลยใส่เสื้อยืดคอย้วยและมีรอยขาดหลายแห่ง ใส่กางเกงขาสั้นที่ยาวกึ่งกลางขาอ่อน
“เข้ามาในบ้านฉันทำไม ต้องการอะไร พวกคุณรีบออกไปดีกว่า ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาจับ” ปัณฑารีย์พูดอย่างที่นึกได้เสียงสั่นด้วยภาษาไทย แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอาการตอบสนองจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ก็รีบพูดเป็นภาษาอังกฤษโดยเร็ว
เธอชี้ไปที่ประตูบอกให้ชายหนุ่มทั้งสามคนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านหลังเล็กของเธอราวกับราชสีห์ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดรีบออกไปจากบ้านเธอ ทว่า...
ใบหน้าที่เรียบเฉยจนเป็นเย็นชา ดวงตาที่คมดุและแข็งกร้าวกลับยิ่งทำให้ปัณฑารีย์ตื่นตระหนกและหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น แต่หญิงสาวก็พยายามข่มความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ภายใน รีบปรับให้เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกเห็นและรู้ว่าเธอกลัวจนเข่าอ่อนแล้ว
ฮัมดีน อิลลา ซยานีนมองสาวน้อยร่างเล็กบางที่อยู่เบื้องหน้า เขาสะดุดใจกับดวงตากลมโตที่ใสแจ๋วราวกับดวงแก้ว ที่เมื่อมาอยู่บนใบหน้านวลเนียนที่มีเลือดฝาด ปากนิดจมูกหน่อย ยิ่งทำให้ชวนมอง...ทำให้เขาร้อนรุ่ม ปรารถนาอยากที่จะสัมผัสกับปากอิ่มสีสด โอบกอดกายอรชรแนบชิด ปรารถนาทำให้หญิงสาวร้อนด้วยเพลิงไฟพิศวาสจนต้องร้องครวญครางแนบอกเขาทั้งวันและทั้งคืน
มุมปากหนาแต้มรอยยิ้มแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป เขามองหญิงตรงหน้าอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ใบหน้ารูปไข่ขาวนวลเนียน ดวงตากลมโตแวววาวใสเป็นประกายเหมือนลูกแก้วที่มองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวหวาดกลัว ที่ผสมกับความอยากรู้อยากเห็นและหวั่นไหวกับสายตาของเขาเช่นกันที่ทำให้ฮัมดีน อิลลา ซยานีนเหยียดยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นมาได้...
การเดินทางในทะเลทรายคราวนี้ดูท่าจะมีปัญหาเสียแล้ว เพราะหญิงสาวตรงหน้าเขานี่แหละ รูปร่างเธอเล็กบางเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขาก็เล็กไปหมด จนน่ากลัวว่าจะทนกับการเดินทางที่สมบุกสมบันไม่ได้
“มองอะไร ที่ฉันถามทำไมถึงไม่ตอบ” ปัณฑารีย์ตวาดออกไปเสียงเข้ม ด้วยหวังจะใช้เสียงลดความกลัวของตัวเองและข่มชายตรงหน้าให้ได้...สักเล็กน้อยก็ยังดี
ถ้าจะวัดกันที่ร่างกายเธอคงจะสู้ไม่ได้ เลยต้องใช้เสียงนี่แหละข่มชายหนุ่มไปก่อน เพราะเธอไม่ใช่หญิงสาวไร้เดียงสาที่จะมองความหมายจากนัยน์ตาคู่นั้นไม่ออก
รัศมีแห่งอำนาจของชายหนุ่มแผ่กระจายมา บวกกับรัศมีแห่งความป่าเถื่อนดุร้ายแกมเรียกร้อง ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวระคนหวาดผวา แต่ต้องพยายามซุกซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด แต่เมื่อเห็นชายตรงหน้ายกมือ แล้วชายสองคนที่มาด้วยก็เดินลับหายไปด้านในซึ่งเป็นห้องนอน
บ้านหลังนี้มีสามส่วน ส่วนแรกก็คือห้องโถงที่เธอนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ตอนนี้ ส่วนที่สองเป็นห้องนอนที่เมื่อก่อนมีเธอกับแม่เป็นเจ้าของ แต่หลายปีมานี้มีเพียงเธอที่เป็นเจ้าของ และส่วนสุดท้ายคือด้านหลังที่เป็นห้องครัว
“หยุดนะ” ปัณฑารีย์รีบห้ามเสียงสั่น “ออกไปจากบ้านฉันนะ” แต่ไม่มีใครฟังเลยสักคน แล้วชายหน้าดุที่สั่งก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่เธอใช้เอนตัวนอนดูทีวี หรือไม่ก็ใช้เป็นที่พักผ่อนนอนหลับยามที่ไม่อยากเข้าไปนอนในห้องเพียงลำพัง
เมื่อก่อนเธออาศัยอยู่กับแม่ แต่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว บ้านที่มีเพียงแค่เธอ...มันเลยอ้างว้างและเหงามิใช่น้อย บางคืนถึงกับนอนร้องไห้เพราะคิดถึงมารดา
ความจริงแล้วเธอยังมีบิดา เคยคิดเหมือนกันว่าจะออกไปตามหาท่านที่อยู่แดนไกล แต่เมื่อคิดอีกครั้ง...ไม่ดีกว่า ถ้าพ่อต้องการพวกเธอ ก็คงจะเดินทางมารับไปอยู่ด้วยกันนานแล้ว อีกอย่างเธอไม่ได้มีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยด้วย ตอนที่แม่เสีย เธอก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ค่าใช้จ่ายช่วงนั้นเยอะมาก ทำให้เธอเลิกคิดเรื่องจะไปหาบิดา ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปเหมือนกับสายลมที่พัดมาแล้วก็พัดไป
“พวกคุณกำลังบุกรุกบ้านฉันอยู่นะ ถ้ายังไม่ยอมออกไปอีก ฉันจะ...ฉันจะเรียกตำรวจ” ปัณฑารีย์คิดว่าบุคคลที่เธออ้างถึงน่าจะมีอำนาจพอให้กลุ่มผู้บุกรุกหวาดกลัวจนต้องรีบออกไปจากบ้านของเธอโดยเร็ว ทว่า...น้ำเสียงที่เธอเปล่งออกมานั้น นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้วมันยังสั่นเทาจนจับคำแทบไม่ได้
รอ...ผ่านไปสำหรับเธอคิดว่านานมาก แต่ชายในชุดสูทสีดำ ใบหน้ามีทั้งไรหนวดและไรเคราดำเป็นปื้นจนมองไม่เห็นผิวเนื้อ สวมแว่นตาสีดำสนิททับลงไปอีกครั้งก็ยังคงทำเฉย
ปัณฑารีย์โกรธจนตัวสั่น ยิ่งรู้สึกได้ว่าสายตาที่อยู่ใต้แว่นคู่นั้นทั้งเหยียดหยามและดูถูกดูแคลน...เหมือนประเมินสินค้าอะไรสักอย่าง เธออยากจะหาอะไรมาฟาดหัวอีกฝ่ายให้แตก แต่กลับทำได้เพียงแค่ข่มอารมณ์ เพราะรู้ว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้
ปัณฑารีย์หันไปหาอีกสองคนที่เข้าไปรื้อค้นข้าวของในห้องเธออย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง
“ฉันเตือนพวกคุณแล้วนะ” ในเมื่อไม่สนใจคำพูดของเธอ ก็เตรียมตัวไปอยู่ในห้องขังก็แล้วกัน
ปัณฑารีย์รีบถลาไปหาโทรศัพท์ที่เธอชาร์จแบตเอาไว้บนโต๊ะวางทีวี แต่เพียงแค่เธอขยับตัวเท่านั้น คนที่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ก็ลุกมาจับแขนเรียว จับไพล่ไปด้านหลัง อีกมือก็ยกขึ้นปิดปากอิ่มไม่ให้หญิงสาวส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมา
“อื้อ...อื้อ...” (ปล่อยฉันนะ ปล่อย!!) ปัณฑารีย์พยายามสะบัดตัวหนี แต่กลับถูกเหมือนถูกรัดมากขึ้น
“อยู่นิ่งๆ นะแม่สาวน้อย ถ้าไม่อยากถูกมัดเหมือนกับพวกสัตว์ที่ถูกจับไปฆ่าทิ้งนะ”
ปัณฑารีย์ถึงกับขนลุกชันกับน้ำเสียงดุร้ายและแข็งกร้าวที่พูดชิดใบหู ลมหายใจที่เป่ารดและกลิ่นโคโลนจางๆ และอ้อมกอดแข็งแกร่งที่รัดกาย ทำให้เธอหวั่นไหวจนเกือบจะเข่าอ่อน
ฮัมดีนยิ้มหยัน เพียงแค่เขาแตะต้องแค่นิดหน่อย คนในอ้อมกอดก็ดูจะร้อนเป็นไฟแล้ว แบบนี้แผนการที่เขาวางไว้ดูจะสำเร็จได้ง่ายขึ้น การเดินทางก็คงจะไม่น่าเบื่อ เพราะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำ
ชายหนุ่มรัดร่างบางจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายสาวและแป้งเด็ก กระตุ้นความต้องการจนเขาแทบจะทนไม่ไหว อยากทำอะไรให้มันเสร็จสิ้นโดยเร็วไว แต่ต้องข่มใจเอาไว้ก่อน เพราะบางอย่าง เร่งร้อนไปไม่ใช่เรื่องดี
“เก็บของเสร็จหรือยังยูซาร็อบ” ฮัมดีนตะโกนถามเพื่อน ขณะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งเมื่อครู่โดยพาร่างเล็กบางไปนั่งบนตักด้วย