ต้นยามอิ๋น (03.00-04.59น.) เสียงเอะอะโวยวายและเสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้คนดังไปทั่วตลาดของตำบลหงเหลิง
“ไฟไหม้!”
“ไฟไหม้ร้านเถ้าแก่หวง!”
“รีบตามคนมาช่วยกันดับไฟเร็ว”
“เร็ว! ไฟไหม้ รีบหนีกันเถอะ”
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย ไฟไหม้ ข้าติดอยู่ข้างใน”
“ช่วยด้วยๆๆๆ!”
เปลวเพลิงลุกไหม้ร้านของเถ้าแก่หวงกว่าสองชั่วยาม ซึ่งชาวบ้านในตลาดต่างก็พากันตื่นมาช่วยกันดับเพลิง กว่าจะดับไฟได้สนิทก็ปาเข้าไปร่วมสองชั่วยาม
ยามเฉิน (07.00-08.59น.) นายอำเภอเมืองหงเฟยซึ่งดูแลปกครองตำบลหงเหลิงพร้อมด้วยคนของเขาได้เดินทางมาตรวจสอบ เพลิงไหม้ครั้งนี้สร้างความเสียหายให้แก่ร้านของเถ้าแก่หวงอย่างมากถึงมากที่สุด อาคารสองชั้นห้าคูหาที่สร้างจากอิฐชั้นล่าง ด้านบนสร้างจากไม้นั้นมอดไหม้เสียหายไม่มีชิ้นดี ส่วนร้านที่อยู่ข้างกันนั้นได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย หากทำการซ่อมแซมก็น่าจะพอใช้สำหรับอาศัยอยู่ต่อไปได้
“เกิดไฟไหม้ได้อย่างไร?” ผู้ติดตามของท่านนายอำเภอเอ่ยถาม ชาวบ้านที่มามุงดูต่างแย่งกันตอบ
“ข้าว่า อาจเป็นเพราะมีคนจุดตะเกียงทิ้งไว้ขอรับ”
“ข้าว่า ต้องเป็นพวกคนงานหรือบ่าวไพร่ของเถ้าแก่หวงที่พากันดื่มกินจนเมามายจนกระทั่งดึกดื่นและก่อกองไฟย่างอาหารทิ้งไว้เป็นแน่ เมื่อคืนข้ายังได้ยินเสียงคนเมาเอะอะโวยวายอยู่เลย”
“หรือว่าอาจจะเป็นการวางเพลิง?” บุรุษชราผู้หนึ่งออกความเห็น
“เหตุใดท่านลุงผู้นี้จึงคิดเช่นนั้น?” นายอำเภอวัยกลางคนเอ่ยถาม
“ก็เถ้าแก่หวงน่ะ ทำการค้าขายเก่ง ผูกขาดการค้าในตำบลนี้แต่เพียงผู้เดียว นับวันมีแต่ร่ำรวยขึ้น ข้าคิดว่าคงต้องมีคนอิจฉาริษยาบ้างล่ะ”
“อาจจะเป็นอย่างที่ท่านพูดก็ได้ท่านลุง อย่าลืมสิว่าในตำบลหงเหลิงนี้มีคนไม่ชอบขี้หน้าเถ้าแก่หวงเยอะพอสมควร” บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งออกความเห็นบ้าง
“แล้วนี่…มีคนตายในกองเพลิงหรือไม่ เถ้าแก่หวงและภรรยาล่ะ ไปไหนเสีย?” นายอำเภอพูดจบก็ทำท่ามองหา
เสียงร่ำไห้ดังระงมทั่วบริเวณร้านขายของชำเดิมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ฮือๆๆๆ”
“ข้าจะหาท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่ไหน แล้วพี่ใหญ่ล่ะ พี่ใหญ่อยู่ไหน ฮือๆๆๆ”
เสียงร่ำไห้ของเด็กน้อยชายหญิงอายุแปดและสิบขวบดังระงมไปทั่วบริเวณ สร้างความสลดหดหู่และสมเพชเวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
เถ้าแก่หวงและภรรยาสิ้นใจตายในกองเพลิง ส่วนหวงซิงเหยียนบุตรสาวคนเล็กและหวงหย่งจื้อบุตรชายเพียงคนเดียวนั้นถูกพี่เลี้ยงของพวกเขาพาตัวออกมาได้ก่อนที่เพลิงจะโหมไหม้อย่างรุนแรง
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของน้องชายหญิงทั้งสองและเสียงเซ็งแซ่เอ็ดตะโรของผู้คนปลุกหวงฮุ่ยเหยาให้ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น
ทันทีที่ลืมตานางเป็นต้องตาแข็งค้าง ตัวแข็งทื่อ
หวงฮุ่ยเหยาจำได้ว่าก่อนที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายจะดับวูบลง นางกำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แวดล้อมไปด้วยบรรดาลูกหลานชายหญิง วันนั้นคงเป็นวันสุดท้ายของชีวิตที่หวงฮุ่ยเหยาในวัยเก้าสิบปีจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
มหาเศรษฐีนีวัยเก้าสิบปีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นแบบอย่างในการสู้ชีวิตถูกผู้คนกล่าวขานและยกย่องมานานหลายทศวรรษ
หวงฮุ่ยเหยาจำความได้ว่าตนเองนั้นเริ่มต้นชีวิตในวัยเด็กในชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง นางกำพร้าบิดา มารดาเป็นเพียงกรรมกรก่อสร้างที่หาเช้ากินค่ำ บางครั้งเมื่องานก่อสร้างหมดช่วงก็ออกมาเก็บขยะขาย หวงฮุ่ยเหยาเติบโตขึ้นมาอย่างปากกัดตีนถีบ นางเริ่มทำงานเล็กๆน้อยๆเพื่อหารายได้ช่วยผู้เป็นแม่ตั้งแต่อายุหกขวบ เริ่มจากเก็บขยะมาให้แม่ขาย หาผักที่ขึ้นตามธรรมชาติในทุ่งนา ตามห้วยหนองคลองบึง โตขึ้นมาหน่อยก็รับจ้างทำงานบ้าน เลี้ยงเด็ก นางได้เรียนจบแค่ชั้นมัธยมต้นเท่านั้นเพราะมารดาจนปัญญาที่จะหาเงินมาส่งให้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้
หวงฮุ่ยเหยาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ฐานะของครอบครัวที่มีอยู่สองคนแม่ลูกดีขึ้น ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ นางตัดใจและทำใจอยู่นานที่จะไม่ได้ศึกษาต่อถึงแม้จะรู้ว่าการศึกษาคือรากฐานของชีวิตก็ตาม
“แต่ความรู้นั้นใช่ว่าจะมีอยู่แต่ในห้องเรียน” หวงฮุ่ยเหยานึกปลอบใจและให้กำลังใจตนเอง
จากนั้นหวงฮุ่ยเหยาก็มุ่งมั่นศึกษาและหาช่องทางทำเงินด้วยวิธีต่างๆอย่างมุ่งมั่น นางทั้งศึกษาจากตำราและประวัติชีวิตของบุคคลสำเร็จทั้งหลาย รวมทั้ง…ลองลงมือทำ
กว่าที่จะเป็นเจ้าของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของประเทศจนได้รับขนานนามว่า….เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ หวงฮุ่ยเหยานั้นผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการลองผิดลองถูก เคยล้มลุกคลุกคลาน ล้มแล้วลุกมานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะเป็นเจ้าแม่อสังหาได้ก่อนหน้านี้นางเคยทำงานมาสารพัด เช่น เลี้ยงเด็ก ทำงานบ้าน เก็บผักข้างทาง เก็บขยะ เป็นพนักงานทำความสะอาด พนักงานเก็บตั๋วในโรงหนัง พนักงานร้านอาหาร เด็กปั๊มน้ำมัน พนักงานขายบัตรเครดิต ขายตรง และถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้ารับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยแต่หวงฮุ่ยเหยาก็ไม่ได้ย่อท้อ นางรักการเรียนรู้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยแต่ก็พยายามหาความรู้นอกมหาวิทยาลัย เมื่อเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งก็มักจะเจียดเงินบางส่วนเพื่อการศึกษาเรียนรู้ ทั้งจากการเข้าคอร์สสัมมนา เรียนคอร์สออนไลน์ หรือแม้กระทั่งเรียนตัวต่อตัวกับผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ ที่เรียกว่าการโค้ชชิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกประสบการณ์ที่สั่งสมมามันช่วยให้นางมีวันนี้ วันที่ครอบครองอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ
นอกจากนี้นางยังให้ความสนใจในเรื่องศาสตร์ลี้ลับและโหราศาสตร์อีกด้วย
หวงฮุ่ยเหยาในวันที่ประสบความสำเร็จ มีพร้อมทุกอย่างในชีวิตนั้นยังไม่อยากที่จะสิ้นลมหายใจ นางยังอยากมีชีวิตต่อ นางยังรู้สึกว่าตนเองมีพลัง อยากจะทำงาน สร้างฐานะ อยากจะสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้แก่ลูกหลานและสังคม นางยังอยากอยู่ต่อ แต่ด้วยธรรมชาติของสังขารและอายุก็คงจะไม่อาจหลบหลีกได้
‘เฮ้อ! นี่ใกล้จะถึงเวลาที่เราต้องจากไปแล้วหรือ ทำอย่างไรดี เรายังไม่อยากตาย เรายังอยากทำงาน อยากสร้างงานให้คน อยากหาเงินให้ได้เยอะๆ เราชอบหาเงิน มันช่างสนุกและมีความสุขจริงๆ ทำอย่างไรดี เรายังไม่อยากตาย เราอยากอยู่ต่อ’ นั่นคือสำนึกสุดท้ายก่อนที่สติสัมปชัญญะของนางจะดับวูบไป และมหาเศรษฐีนีในวัยเก้าสิบปีนามหวงฮุ่ยเหยาก็ได้สิ้นลมอย่างสงบ
หวงฮุ่ยเหยารู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย เมื่อลืมตาขึ้นมานางตาลายไปชั่วขณะ หญิงสาวพยายามใช้มือทั้งสองข้างยันกายลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“นางฟื้นแล้ว คุณหนูหวงฟื้นแล้ว” เสียงๆหนึ่งแว่วเข้าโสตประสาท
“อย่าเรียกนางว่าคุณหนูอีกเลย ตอนนี้นางสิ้นบิดามารดาแล้ว อีกทั้งยังหมดตัว บ้านเรือนร้านค้าและทรัพย์สินต่างๆต่างถูกไฟเผาไหม้หมดสิ้น นางหมดตัวแล้ว นางสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว” เสียงที่พูดดูราวกับเยาะเย้ยดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงหัวเราะ
“คราวนี้หวงฮุ่ยเหยานางคงแย่แน่ เมื่อก่อนมีบิดาที่ร่ำรวยคอยอุ้มชู บัดนี้สิ้นไร้แล้วทุกสิ่ง คนที่เคยเป็นคุณหนูในห้องหอ หยิบจับอะไรไม่เป็นสักอย่าง มีแต่บ่าวรับใช้คอยทำให้ ต่อไปนางจะทำอันใดกิน มิต้องไปขายเรือนร่างเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและน้องอีกตั้งสองคนในหอคณิกาหรอกหรือ”
“จริงสิ นางมีน้องชายหญิงตั้งสองคนนี่นะ”
“แต่หน้าตาอย่างนางอาจจะไม่ต้องทนทำงานเป็นนางโลมหรอก อาจจะมีขุนนางแก่คราวพ่อหรือคหบดีแก่ๆมารับเลี้ยงเป็นอนุก็ได้ พวกแก่ๆที่ร่ำรวยหลายๆคนก็ชอบนะพวกคุณหนูตกยาก”
หวงฮุ่ยเหยาทนฟังคำเย้ยหยันดูถูกดูแคลนเหล่านั้นได้นานเกินไปแล้ว ในที่สุดนางก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่อาคารร้านค้าที่เคยเป็นที่อยู่และที่ทำกินของครอบครัวซึ่งบัดนี้มอดไหม้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
“คุณหนูใหญ่อยู่นั่นเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ยังไม่ตาย” เสียงบ่าวรับใช้เก่าแก่นามว่า เหมยเหม่ยจิ้ง หรือที่เด็กๆเรียกกันว่าป้าเหมยดังขึ้นทางด้านหลังของหวงฮุ่ยเหยาอย่างยินดี
“พี่ใหญ่” หวงซิงเหยียน เด็กหญิงอายุแปดขวบซึ่งเป็นน้องเล็กของสกุลหวงวิ่งเข้ามากอดเอวผู้เป็นพี่สาวไว้แน่นพลางร่ำไห้อย่างดีใจ อย่างน้อยนางยังมีพี่ใหญ่อีกคนที่ไม่ได้ตายจากพวกตนไป
“พี่ใหญ่” หวงหย่งจื้อ เด็กชายวัยสิบขวบ ซึ่งเป็นบุตรคนที่สองของหวงเหวินกวงและหลี่ไป๋หลานวิ่งเข้ามากอดพี่สาวอีกคน
หวงฮุ่ยเหยามองดูน้องๆทั้งสองของนางที่กำลังร่ำไห้ปานใจจะขาดเพราะสิ้นบิดามารดาด้วยความขมขื่นใจ นางโอบกอดน้องทั้งสองไว้แนบแน่น เคราะห์กรรมที่เกิดกับครอบครัวนางในครั้งนี้นั้นใหญ่หลวงนัก นางและน้องๆต้องสูญเสียบิดามารดา สิ้นเนื้อประดาตัว โดนผู้คนเย้ยหยัน และดูถูกดูแคลน
หวงฮุ่ยเหยามองดูซากปรักหักพังของบ้านหลังที่เคยอาศัยอยู่ด้วยหัวใจที่ระทดท้อ แต่เพียงแวบหนึ่งหัวใจดวงที่บอบช้ำดวงนี้กลับให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งอย่างประหลาด นางมองดูหน้าเด็กชายหญิงทั้งสองในอ้อมกอดของตนพลางให้คำมั่นสัญญา
“ต่อไปพี่จะดูแลพวกเจ้าแทนท่านพ่อท่านแม่เอง ไม่ต้องกลัว”
หวงฮุ่ยเหยาเพิ่งตระหนักได้ว่านางมีความสามารถพิเศษ นั่นก็คือ …การระลึกอดีตชาติได้ เมื่อครั้งที่เกิดเป็นหวงฮุ่ยเหยาบุตรสาวของกรรมกรก่อสร้าง และกำพร้าบิดา นางก็ระลึกได้ว่าก่อนหน้าชาติภพนั้นนางได้เกิดเป็นคุณหนูบุตรสาวเศรษฐีเจ้าของร้านค้าขนาดใหญ่ในยุคโบราณ และต้องตายเพราะสำลักควันจากเพลิงไหม้ และในวันนี้หลังจากที่นางซึ่งคือมหาเศรษฐีนีได้สิ้นลมหายใจอย่างสงบและได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งนางก็ได้กลับมาอยู่ในร่างของหวงฮุ่ยเหยา คุณหนูใหญ่สกุลหวงนั่นเอง