Prologue | นันทิญา ประเสริฐทรัพย์
เสียงกิ่งไม้น้อยใหญ่สะบัดไปมาตามแรงลม เวลาเย็นแบบนี้เป็นช่วงที่อากาศกำลังดีที่สุดในฤดูร้อนแบบนี้ ผู้คนต่างพากันเลิกงานและมุ่งตรงกลับบ้านมาหาครอบครัว บ้างก็จับจ่ายซื้อของเข้าบ้าน อย่างที่เคยทำกันเป็นประจำในทุกวัน และหนึ่งในนั้นก็มีสาวน้อยรวมอยู่ด้วย
ร่างบางในชุดนักเรียนมอปลายของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ค่อยๆเดินไปตามร้านร่วงที่กำลังเปิด ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบทุ่มหนึ่งแล้ว และร้านส่วนมากที่เปิดแถวนี้ก็จะมีแต่ร้านอาหารตามสั่งแบบรถเข็นจอดอยู่เต็มไปหมด บางร้านพ่อค้าแม่ค้าก็ทำแทบไม่ทันเพราะลูกค้าแน่นโต๊ะ บางร้านก็บางตาเนื่องจากลูกค้าน้อย
“จะกินอะไรดีล่ะ...”
เสียงหวานใสของ ‘นันทิญา ประเสริฐทรัพย์’ ได้แต่ถามกับตัวเองเสียงเบา สายตาก็มองหาร้านที่ดีที่สุด และอยากเข้าที่สุด เพราะตอนนี้ก็เริ่มจะค่ำมากแล้ว และไม่รู้อะไรดลใจให้เธอเดินเข้ามาในตลาดแบบนี้ ทั้งๆในชีวิตตลอดสิบเจ็ดปีของเธอไม่เคยย่างกายเข้ามาในที่แบบนี้เลยสักครั้ง เพราะทุกครั้งที่ออกมาอย่างมากก็แค่เข้าร้านสะดวกซื้อ ไม่ใช่ร้านหลังตลาดที่มีแต่ผู้คนเดินผ่านไปมามากมายแบบนี้
สาวน้อยนันทิญาได้แต่คิดไม่ตก ก่อนเดินเข้าไปยังร้านอาหารที่ใกล้เธอมากที่สุด ซึ่งตอนนี้พ่อค้ากำลังทำรายการอาหารที่บรรดาลูกค้าสั่งอย่างขะมักเขม้น และไม่ได้ให้ความสนใจเธอแม้แต่น้อย
“...เอ่อ หนูขอข้าวผัดรวมมิตรหนึ่งกล่องค่ะ” นันทิญาบอกกับพ่อค้าเสียงดังฟังชัด เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเสียงเธอ เนื่องจากเห็นว่าอีกฝ่ายมัวแต่ทำอาหารให้กับลูกค้าคนอื่นอยู่
“ได้ครับ...เชิญนั่งรอที่โต๊ะ ส่วนน้ำเปล่าบริการตัวเองได้เลยครับ”
เสียงห้าวของพ่อค้าตอบกลับมาแค่นั้นก่อนจะทำอาหารต่อไป และนั้นทำให้นันทิญาเดินไปรอยังโต๊ะที่ว่างตามที่พ่อค้าบอกอย่างว่าง่าย นี่ยังดีนะร้านที่สาวน้อยเดินเข้ามาสั่งข้าว ลูกค้ามีแค่ไม่กี่โต๊ะยังเหลือโต๊ะที่ว่างอีกตั้งสองสามโต๊ะ เธอจึงไม่ต้องทนนั่งอึดอัดกับคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จัก
“...เฮ้อ! ทำไมวันนี้รู้สึกเหนื่อยจังนะ” นันทิญาถามกับตัวเองเสียงเบา
“เป็นแค่เด็กนักเรียน มีหน้าที่แค่เรียนหนังสือจะเหนื่อยอะไรขนาดนั้น” เสียงห้าวที่เธอได้ยินก่อนหน้าดังขึ้น และนั้นทำให้นันทิญาที่นั่งก้มหน้าคุยกับตัวเองถึงกับสะดุ้งกับเสียงนั้นทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่พูด
“เอ่อ คุณพ่อค้านั้นเอง”
“เรียกพี่ว่า ‘อิท’ ดีกว่า...เรียกพ่อค้าแล้วมันแปลกๆ”
“เอ่อ ค่ะ”
‘อิทธิ’ หนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆหลังตลาดบอกกับสาวน้อยมอปลายด้วยความเป็นกันเอง ก่อนจะวางกล่องข้าวที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยถุงพลาสติกสีใส ลงบนโต๊ะไม้ที่มีร่างเล็กนั่งอยู่ ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเด็กสาว
“ว่าแต่เราเพิ่งมาอยู่แถวนี้เหรอ ทำไมพี่ถึงไม่เคยเห็นเราเลยล่ะ” อิทธิหาเรื่องชวนสาวน้อยคุย เพราะเห็นว่าตอนนี้ไม่มีลูกค้าเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
“เอ่อ ไม่ใช่หรอกค่ะ คือ ที่จริงแล้วเค้ก เอ่อ หนูอยู่ที่นี้ตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ แต่เพิ่งเคยออกมาข้างนอกแค่นั้น” นันทิญาที่เริ่มรู้สึกอายนิดๆจึงพูดกับพี่ชายตัวสูงเสียงเบาในประโยคท้าย ก่อนจะก้มหน้างุด ตามประสาคนขี้อาย
“หื้ม? ชื่อเค้กหรือเรา ทำไม่ชื่อน่ารักจัง”
“เอ่อ...”
“ไม่ต้องตกใจหรอก พี่ก็แบบนี้แหละชอบพูดอะไรตามที่คิดเสมอ แล้วที่บอกว่าเพิ่งเคยออกมาข้างนอกเนี้ยจริงป่ะเนี้ย” พ่อค้าหนุ่มในวัยยี่สิบต้นๆ ถามคนตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ จะเป็นไปได้หรือ ที่คนเราจะไม่เคยออกจากบ้านเลยสักครั้ง
“คือหนูหมายถึง เพิ่งเคยออกมาข้างนอกคนเดียวเป็นครั้งแรกค่ะ” นันทิญาที่ได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายถามด้วยความสนใจ จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปคุยกับเขาไม่ได้ ไม่รู้สิ สาวน้อยรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเวลาที่คุยกับเขา
“อ่อ งั้นก็แสดงว่าปกติเคยออกมาแต่กับผู้ปกครอง อืม...” อิทธิทำท่าครุ่นคิดสักพักก็พูดออกมาก่อนจะหันมามองใบหน้าสวยน่ารักของสาวน้อย ก่อนจะส่งยิ้มอุบอุ่นไปให้เธอ
“ใช่ค่ะ นี่ค่ะค่าข้าว” นันทิญาบอกกับพ่อค้าหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเธอก่อนจะยื่นธนบัตรแบ่งสีแดงให้อีกฝ่าย
“ครับ รอสั่งครู่นะเดี๋ยวพี่ทอนตังค์ให้” พ่อค้าหนุ่มรับเงินมาจากเด็กสาวก่อนจะล้วงหยิบตังทอนในหระเป๋าเอี้ยมข้างหน้าด้วยความคล่องแคล้ว ตามประสาคนขายอาหารตามสั่งมานาน
หลังจากที่นันทิญารับเงินทอนมาจากพ่อค้าหนุ่มรูปหล่อ และยังใจดีอย่างอิทธิแล้ว ทั้งสองต่างก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง อิทธิกลับไปทำอาหารเหมือนเดิมเพราะมีลูกค้ามาสั่งอาหาร ส่วนนันทิญาก็เดินออกมาจากร้าน
เพราะไม่อยากอยู่ตรงนั้นนานๆ ก่อนจะเดินเข้ามายังร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ และในจังหวะที่เดินเข้าไปยังในร้านเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากระโปรงก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน เด็กสาวกดรับปลายก่อนจะเดินเข้าไปข้างในร้าน ผ่านโซนครีมบำรุงผิวหน้า ก่อนจะเข้าไปยังล็อกของขนมกรุบกรอบที่เธอชอบฝากให้พี่ที่บ้านซื้อให้เป็นประจำ
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
[ตอนนี้ทำอะไรอยู่ลูก พ่อโทร.เข้าไปที่บ้านแล้วสายบัวบอกหนูยังไม่กลับบ้าน] เสียงเข้มของชายวัยกลางคนเอ่ยถามบุตรสาวของเขาด้วยความอ่อนโยน ผสมกับความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด
“อ่อ ตอนนี้เค้กอยู่ร้านสะดวกซื้อค่ะ วันนี้มีทำโครงงานกับเพื่อนที่โรงเรียน เค้กเลยกลับดึกแต่คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะค่ะ อีกสักพักเค้กก็จะกลับแล้วค่ะ”
[ครับ กลับไปถึงบ้านแล้วหนูก็อาบน้ำนอนได้เลยนะลูก ไม่ต้องรอพ่ออีกแล้วนะ วันนี้พ่อคงกลับดึก]
“คุณพ่องานยุ่งมากเลยหรือค่ะ”
[นิดหน่อยน่ะลูก หนูกลับไปอาบน้ำนอนได้เลยนะลูก อย่าลืมดื่มนมก่อนนอนเดี๋ยวพ่อจะโทร.ไปบอกสายบัวให้อีกที]
“หืม...เค้กรู้แล้วค่ะ เค้กไม่ลืมหรอก ห่วงก็แค่คุณพ่ออย่าหักโหมมากนะค่ะ เค้กเป็นห่วงค่ะ”
นันทิญาบอกกับปลายสายด้วยความห่วงใย ตามประสาพ่อลูกที่มีกันอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น เพราะ ‘นางวีรดา’ ผู้เป็นมารดาของเด็กสาวได้มาด่วนจากไปเมื่อเกือบสามปีก่อน ด้วยโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ตอนนี้เด็กสาวจึงมีแค่ ‘นายประพจน์’ ผู้เป็นบิดาเพียงคนเดียวเท่านั้น
[ครับ พ่อจะดูแลตัวเองให้ดีจนกว่าหนูจะมีแฟนแล้วก็แต่งงานเลยดีมั้ย] ประพจน์บอกกับบุตรสาวของเขาเป็นเชิงหยอกล้อ
“คุณพ่อค่ะ เค้กเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดเองนะค่ะ ยังไม่คิดเรื่องนั้นง่ายๆหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นคุณพ่อก็ต้องอยู่กับเค้กไปอีกนานเลยค่ะ”
เสียงหวานใสบอกกับบิดาเป็นเชิงหยอกล้อกลับไปบ้าง แต่ในระหว่างคุยโทรศัพท์อยู่นั้น นันทิญาก็หยิบห่อขนมที่ตัวเองชอบใส่ตะกร้าไปด้วย เธอชอบกินขนมกรุบกรอบพวกนี้มากแต่น่าแปลกที่รูปร่างของเธอก็ยังตัวเล็ก ไม่หยักอ้วนเหมือนเพื่อนร่วมห้องของเธอบางคน
[งั้นพ่อไปทำงานก่อนนะครับ ดูแลตัวเองดีๆพ่อรักหนูนะ]
“ค่ะ เค้กก็รักคุณพ่อ รักนะจุ๊บๆ แค่นี้นะค่ะ” นันทิญาบอกกับปลายสายเสียงหวาน ใบหน้าสวยหวานตอนนี้ฉายแววสุขใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆที่เธอกับบิดาก็บอกรักกันทุกวันอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับแปลกออกไป เธอรู้สึกสุขใจมากกว่าทุกครั้ง
หลังจากนั้นเด็กสาวก็วางสายจากบดาของเธอก่อนจะหันกลับมาเพื่อเลือก ขนมของเธอต่ออีกครั้ง แต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเธอหันกลับมาแล้ว เผลอสบตาคมของผู้ชายคนหนึ่งเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ร่างสูงยืนมองสาวน้อยไม่หลบเลี่ยงไปไหน และดูเหมือนเขาจะมองเธออยู่นานแล้ว ในใจเธอตอนนี้รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ใช่สายตาคมที่ผู้ชายคนนั้นกำลังมองเธอ แต่กลับเป็นใบหน้าคมราวกับนายแบบนิตยาสาร และไหนจะส่วนสูงที่มองดูเธอก็รู้แล้วว่าเขาสูงกว่าเธอมากแค่ไหน
“ผู้ชายอะไรน่ากลัวชะมัด...” นันทิญาได้แต่บอกกับตัวเองเสียงเบาก่อนจะเป็นฝ่ายหลบสายตาคมเข้มจากผู้ชายคนนั้น และเดินเลี่ยงไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์เพื่อให้พนักงานคิดเงิน
“ทั้งหมดสี่ร้อยหกเก้าบาทค่ะ...”
เสียงพนักงานแคชเชียร์ข้างหน้าดึงสติอันน้องนิดของนันทิญากลับมาอีกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้สาวน้อยมัวแต่หันกลับไปมองด้านหลังที่มีร่างสูง ของผู้ชายที่มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เขากำลังหยิบกล่องสี่เหลี่ยมจัตตุรัสที่มีหลากหลายสี
หยิบออกมาหลายเกือบสิบกล่องก่อนที่เขาจะเดินตรงมาทางเธอเพื่อต่อแถวจ่ายเงินกับพนักงาน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่ลูกค้าเลือกของเสร็จแล้วจะต้องมาจ่ายเงิน แต่ที่แปลกคือทำไมเขาต้องตรงมาต่อแถวเธอ ทั้งๆที่ช่องคิดเงินด้านข้างเธอก็ว่าง แต่เขากลับไม่เดินไปแต่เลือกที่จะมาต่อแถวของเธอแทน
แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะทำอะไร เธอก็ต้องหันไปจ่ายเงินกับพนักงานเสียก่อน และนั้นก็ทำให้เธอหมดความสนใจจากชายหนุ่มคนนั้น ก่อนจะรอรับเงินทอน ก่อนจะเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่ตอนนี้มีร่างสูงของ ‘ลุงคิม’ คนขับรถรออยู่หน้าร้าน
“มาครับคุณหนู เดี๋ยวผมช่วยถือของ” นายคิมคนขับรถพูดกับเจ้านายตัวน้อยของเขาเสียงสุภาพ ก่อนจะเดินมารับถุงที่นันทิญาถือไปอย่างรู้หน้าที่
“ขอบคุณค่ะ ไม่มีอะไรแล้วงั้นเรากลับบ้านกันดีกว่าค่ะ”
“ครับ รถจอดอยู่ทางซ้ายมือ คุณหนูตามผมมาทางนี้เลยครับ” นายคิมบอกแค่นั้นก็เดินนำคุณหนูของเขาไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่มากนัก