จารวีมองตามเอกสารของเธอที่ถูกนำไปวางรวมกับเอกสารกองใหญ่บนโต๊ะมุมซ้ายก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เจ้าหน้าที่ เธอเอ่ยคำขอบคุณ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อเปิดทางให้คนอื่นที่รอยื่นเอกสารสมัครงานมานั่งต่อ
ดูจากจำนวนคนที่มาสมัครงานพร้อมกับเธอในวันนี้ และดูจากเอกสารใบสมัครงาน ที่วางอยู่ก่อนหน้าแล้ว ความหวังที่จะถูกเรียกสัมภาษณ์น่าจะอยู่ที่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ว่าความหวังจะดูเลือนราง แต่อย่างน้อยก็ยังมีหวังแหละน่า อีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นภาระของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วกัน
เมื่อยื่นใบสมัครงานเรียบร้อยแล้ว จารวีจึงเดินออกมาจากออฟฟิศของฝ่ายบุคคลที่อยู่ชั้นแปดของตึก เธอยืนรอลิฟต์เพื่อจะลงไปชั้นล่าง ที่หน้าลิฟต์มีคนยืนรออยู่ก่อนเธอแล้วสองคน เธอจึงขยับไปยืนข้างหลังพวกเขา
จารวีเงยมองตัวเลขดิจิตอลที่อยู่เหนือประตูลิฟต์ มันกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พอมันเปลี่ยนเป็นเลขหกเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น จารวีล้วงมือลงในกระเป๋าสะพาย แต่เมื่อมือควานหาเท่าไรก็ไม่เจอ เธอจึงก้มมองในกระเป๋า ช่วงนี้เธอต้องรับสายทุกสาย เพราะกลัวว่าจะพลาดการโทรติดต่อจากบริษัทที่สมัครงานไว้
เพราะกังวลว่าต้องรีบรับสายให้ทัน จารวีจึงไม่สนใจว่าประตูลิฟต์เปิดออกแล้ว เมื่อเธอหาโทรศัพท์เจอ และหยิบมันออกมาจากกระเป๋า ก็เป็นจังหวะเดียวกับประตูลิฟต์ปิดแล้ว พอมองที่หน้าจอมือถือก็พบว่า ทอฝันเป็นคนโทรมา
“ฝัน ฉันกำลังจะลงไปจากตึก ตอนนี้รอลิฟต์อยู่”
“โอเค ฉันเป็นนึกว่าแกหลงทางซะแล้ว หายไปนานเชียว”
จารวีโทรบอกทอฝันตอนที่มาถึงตึกแล้วว่า เธอจะขึ้นมาสมัครงานก่อน แล้วจึงจะไปหาที่ร้าน
“ไอ้บ้า ใครจะหลงทางอยู่บนตึก” จารวีพูดพลางเหลือบตามองตัวเลขดิจิตอลเหนือประตูลิฟต์ พอเห็นว่าตัวเลขของลิฟต์อีกตัวกำลังเปลี่ยนจากเลขเจ็ดเป็นเลขแปด เธอจึงขยับไปยืนตรงหน้าประตู เมื่อประตูลิฟต์เปิดก็ก้าวเข้าไป โดยไม่ได้ดูว่าลิฟต์กำลังจะขึ้น
“ฉันอยู่ในลิฟต์แล้วนะแก แค่นี้นะ แล้วเจอกัน”
จารวีพูดพลางจิ้มนิ้วเรียวกดปุ่มชั้นหนึ่ง ก่อนจะกดวางสายโทรศัพท์ แต่พอวางสายแล้ว เธอจึงรู้ตัวว่า ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้น
คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าขึ้นลิฟต์ผิด เงยหน้ามองตัวเลขที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วถอนหายใจ เธอไม่รู้ว่ามันจะขึ้นไปถึงชั้นไหน จะขึ้นไปถึงชั้นสี่สิบสองที่เป็นชั้นบนสุดเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ซวยจริง ๆ”
ลิฟต์มีตั้งหกตัว แต่เธอดันมาขึ้นลิฟต์ที่ไม่ได้กดเรียกเอง เพราะความโก๊ะจึงไม่ได้ดูว่าลูกศรตรงปุ่มที่ติดอยู่หน้าลิฟต์มันชี้ขึ้นหรือลง และเพราะความเร่งรีบด้วย พอประตูลิฟต์เปิด เธอก็เดินเข้ามาทันที ไม่รู้ใครกดปุ่มขึ้นไว้ แล้วคนที่อยู่ชั้นบนคงกดเรียกลิฟต์ก่อนแล้ว จึงกลายเป็นว่า เธอหลงทางบนตึกอย่างที่เพื่อนว่าจริง ๆ ด้วย
จารวีมองตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจนถึงเลขสี่สิบสอง พร้อมกับเสียงเตือนสั้น ๆ ดังขึ้น แล้วประตูลิฟต์ก็เปิดออก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอถือโทรศัพท์ไว้ในมืออยู่แล้ว เธอจึงยกขึ้นมาดูพร้อมกับก้มหน้ามองหน้าจอได้เลย พอเห็นว่าชิดชนกโทรมา จารวีก็รีบสไลด์นิ้วรับสาย แล้วหันหลังเข้ามุมด้านในของลิฟต์
“ยัยจา ฉันเลิกงานแล้ว ถึงร้านยัยฝันแล้วเนี่ย เมื่อไรแกจะมา”
ชิดชนกกรอกเสียงมาตามสายทันทีที่จารวีรับสาย
“อีกห้านาทีแก” จารวีพูดเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ เพราะลิฟต์แคบ ๆ จะพูดเสียงดังก็เกรงใจคนที่เพิ่งขึ้นลิฟต์มา
“กินอะไร ฉันจะสั่งไว้รอ”
“เอา...”
“ชั้นไหนครับ” เสียงเข้มราบเรียบติดดุอยู่ในทีทำให้จารวีหันกลับไปมองเพื่อนผู้ร่วมโดยสารลิฟต์ แต่คนถามก็ตัวสูงมาก เธอจึงมองเห็นแค่อกของเขา
“เอ่อ...ชั้นหนึ่งค่ะ ขอบคุณค่ะ”
พอตอบเขาไปแล้ว จารวีก็รีบหันหน้าเข้ามุมเหมือนเดิม เธอรู้สึกผิดที่เธออยู่ในลิฟต์ก่อนแท้ ๆ แต่ดันไม่กดลิฟต์เอง แต่กลับให้คนที่เข้ามาทีหลังกดให้
“ชิด แค่นี้ก่อนนะนะ ฉันอยู่ในลิฟต์ กำลังลงไป”
“เดี๋ยว ๆ เอากาแฟน้ำช่อมะพร้าวมั้ย ฝันมันบอกว่า เป็นเมนูแนะนำของร้านเลยนะ”
“ได้ ๆ แค่นี้นะ”
“จ้า”
พอจารวีวางสาย ในลิฟต์ที่มีแค่เขากับเธอจึงเงียบฉี่ คนที่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนเสร็จก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ ที่ส่งเสียงรบกวนผู้ร่วมโดยสารลิฟต์ เธอจึงยืนหันหน้าเข้ามุม กระทั่งเสียงเตือนลิฟต์ดังขึ้น ก่อนจะประตูจะเปิดออก คราวนี้จารวีรีบเงยหน้ามองเลขบนหน้าปัดเหนือประตูลิฟต์ พอเห็นว่าถึงชั้นหนึ่งแล้ว เธอจึงเดินออกจากลิฟต์ตามคนตัวสูงที่เดินออกไปก่อนแล้ว ก่อนจะเลี้ยวไปคนละทางกับเขา
เพราะความรีบร้อน จารวีจึงไม่ทันสังเกตว่า แม้คนที่โดยสารลิฟต์มาด้วยกันจากชั้นสี่สิบสองจะออกจากลิฟต์ไปก่อนเธอ แต่เขากลับชะลอฝีเท้า แล้วหันกลับมาจับจ้องมองเธอ และมองตามกระทั่งเธอเดินเข้าไปในคาเฟ่เปิดใหม่ใต้ตึก
“ท่านประธานครับ รถจอดอยู่ด้านนี้ครับ” เลขาธวัชที่รออยู่ก่อนแล้วรีบเดินมาเชิญเจ้านายไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าตึก