“อืม...” ศิรภพครางรับในลำคอ ทว่าสายตายังมองไปทางเดิม เขามองผ่านผนังกระจกของร้านเข้าไป เห็นผู้หญิงตัวเล็กน้ำเสียงเคยคุ้นคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ เธอกำลังพูดคุยกับผู้หญิงอีกสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านประธานครับ รถจอดอยู่ทางนี้ครับ” เลขาธวัชบอกอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเจ้านายขยับขาก้าวไปทางร้านกาแฟ
ประธานบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายใหญ่และเจ้าของตึกแห่งนี้ถอนหายใจ เขาหันมามองเลขาด้วยสายดุ
“รถจอดอยู่ทางนี้ครับ” สายตาดุของเจ้านายทำให้ธวัชกลืนน้ำลายลงคอ เขายิ้มแหย พลางผายมือไปทางหน้าตึก
ศิรภพมองไปที่คาเฟ่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่เห็นเธอแล้ว เขาจึงหันกลับมา ก้าวเดินไปทางหน้าตึก ทว่าความสงสัยและเคลือบแคลงในใจยังคงอยู่ คิ้วเข้มจึงขมวดเล็กน้อยโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว
ใช่เธอหรือเปล่า ใช่ผู้หญิงที่ตีราคาค่าตัวเขาแค่สี่ร้อยห้าสิบบาทหรือเปล่า
“พี่จา ลุกได้แล้ว” จิรายุเคาะประตูพลางเรียกพี่สาวที่นอนตื่นสาย จนจะเที่ยงแล้วยังไม่ลุกอีก
“อือ...แป๊บนึง” เสียงอู้อี้ตะโกนบอกน้อง
“อีกไม่เกินสองชั่วโมง พ่อกับแม่ก็จะกลับมาถึงแล้วนะ พี่รีบ ๆ ลุกมาทำความสะอาดบ้านช่วยผมเลย ไม่อย่างนั้นโดนแม่บ่นหูชาแน่”
“เออ...รู้แล้วน่า”
เสียงหงุดหงิดของพี่สาวทำให้จิรายุถอนหายใจแรง “รีบตามลงมานะ” เขาตะโกนบอกอีกครั้ง แล้วเดินลงไปข้างล่างก่อน
พอน้องชายเงียบไปแล้ว คนที่นอนอ่อนแรงอยู่บนเตียงจึงลืมตาขึ้น จารวีถอนหายใจบางเบา เธอยังไม่อยากลุกจากเตียงเลย ร่างกายมันอ่อนเพลียไปหมด มิหนำซ้ำ เมื่อคืนเธอยังอ้วกตั้งหลายครั้ง และเวียนหัวมาก ๆ ด้วย
เมื่อวานเธอดื่มกาแฟเย็นที่ร้านของทอฝันไปถึงสองแก้ว ก็กาแฟน้ำช่อมะพร้าวที่ยัยชิดแนะนำนั่นแหละ มันอร่อยหอม หวานพอดี พอได้ดื่มแก้วแรก เธอก็ขอเบิ้ลแก้วสอง เธอเลยคิดว่าน่าจะเป็นเพราะกาแฟเย็นสองแก้วที่ดื่มไปจึงทำให้เธอนอนไม่ค่อยหลับ และเวียนหัว แถมพอตกดึกก็ต้องลุกมาอ้วกตั้งหลายครั้งเธอหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน อาการเพิ่งจะทุเลาลงตอนรุ่งเช้า และพอหลับสนิทได้ครู่เดียว เจ้าน้องชายก็มาปลุกให้ไปทำความสะอาดบ้านช่วยกัน
ใจจริงก็อยากนอนต่ออีกนิด ให้ร่างกายได้ชาร์จพลังอีกหน่อย แต่เธอไม่อยากเอาเปรียบน้อง เพราะที่บ้านรก ส่วนใหญ่ก็เพราะเธอทำ จารวีจึงฝืนสังขารลุกจากเตียง แล้วเริ่มเก็บห้องของตัวเองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง
“พี่จาไปล้างชามนะ เดี๋ยวผมจะออกไปตัดหญ้ารอบ ๆ บ้าน” จิรายุบอกพี่สาวในตอนที่เขาจัดหมอนอิงใบสุดท้ายวางลงบนโซฟา
“อือ...ได้” จารวีรับคำแล้วเดินไปทางห้องครัว
ที่จริงในครัวไม่รกเท่าไร มีแค่ชามที่ไม่ได้ล้างมาสองวันเท่านั้นเอง ดังนั้นงานใหญ่ในครัวก็คือการล้างชาม
จารวีมองจานชามกองโตอยู่ในซิงค์แล้วถอนหายใจ อาการเวียนหัว กับอ่อนเพลียยังเล่นงานเธออยู่ ยิ่งพอได้กลิ่นเศษอาหาร เธอจึงคลื่นไส้ขึ้นมาอีก แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะน้องชายแบ่งหน้าที่ให้แล้ว ล้างชามเสร็จแล้วค่อยไปนอนพักอีกนิดแล้วกัน
จารวีขยับเข้าไปยืนติดเคาน์เตอร์ เริ่มลงมือล้างจานด้วยอาการเวียนหัวมากขึ้นทุกที เธอกลืนน้ำลายลงคอบ่อย ๆ เพราะรู้สึกอยากจะอ้วกตลอดเวลา
ยิ่งฝืนก็ยิ่งแย่ มือไม้เริ่มสั่นและไม่มีแรง จารวีจึงรีบล้างจานกระเบื้องใหญ่ในมือ เธอกะว่าล้างใบนี้เสร็จแล้วจะถอยไปนั่งพักก่อน ทว่าเพียงวูบเดียวเท่านั้น เธอก็หน้ามืด และทำจานหลุดมือหล่นลงบนพื้นแตกกระจาย
จารวีก้มมองจานที่กลายเป็นเศษจานไปแล้ว เธอหอบหายใจแรง เวียนหัวจนตาพร่า แต่ก็ยังฝืน เธอบอกตัวเองว่าเก็บเศษจานแตกเสร็จแล้วคงต้องไปพักก่อน แล้วค่อยมาล้างต่อ
คนฝืนสังขารใช้มือข้างหนึ่งจับขอบเคาน์เตอร์ไว้แน่น เธอค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งยองบนพื้น ยื่นมือไปเก็บเศษจาน...
“พี่จา ! แม่ครับ พี่จาฟื้นแล้ว”
เสียงของน้องชายทำให้คนที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาขมวดคิ้วมุ่น พ่อกับแม่กลับมาแล้วเหรอ แสดงว่าแม่ต้องเห็นจานที่เธอทำแตกอีกแล้วล่ะสิ โธ่ ! ถูกเอ็ดแน่ ๆ เลย
“จา...เป็นไงบ้างลูก”
น้ำเสียงอบอุ่นห่วงใยของแม่ทำให้จารวีงุนงง แม่ไม่เอ็ดเธอเรื่องทำจานแตกเหรอ แต่พอมองไปรอบ ๆ ตัว เธอก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ ดูแล้วเหมือนห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลมากกว่า
“พี่จาฟื้นแล้ว ผมตกใจแทบแย่” จิรายุถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พี่เป็นลมเหรอจิ” จารวีจำได้ว่า เธอกำลังจะเก็บเศษจานแตกบนพื้น แต่อยู่ดี ๆ ภาพก็ตัดไปเลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แสดงว่าเธอเป็นลมหมดสตินานเลย
“ก็ใช่น่ะสิ พี่รู้ไหมว่าผมตกใจแค่ไหน ตอนที่เดินเข้าไปในห้องครัวแล้วเห็นพี่นอนอยู่บนพื้นน่ะ แล้วบนพื้นก็มีแต่เศษจานด้วย ผมอุ้มพี่ออกมาวางบนโซฟา หายาดมให้ดม เช็ดหน้าเช็ดตัวให้ บีบนวดให้ตั้งนานพี่ก็ไม่ฟื้น ผมกำลังจะโทรเรียกรถฉุกเฉินแล้ว พอดีพ่อกับแม่กลับมาถึงก่อน พ่อเลยขับรถพาพี่มาส่งที่โรงพยาบาลนี่แหละ”