“จา...แกโอเคไหม เมื่อคืนพวกเราโทรหาแกทั้งคืนเลย แต่แกก็ไม่รับสาย” ทอฝันถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย เมื่อคืนจารวีเมามาก แล้วยังขึ้นรถไปกับใครที่พวกเธอไม่รู้จักด้วย แถมพอโทรหาก็ไม่รับสาย
“ฉันโอเค โทษทีเมื่อคืนฉันปิดเสียงโทรศัพท์ไว้น่ะ”
“ไม่เป็นไร แค่แกโอเคก็ดีแล้วล่ะ” ทอฝันโล่งใจที่เพื่อนไม่เป็นอะไร แต่อีกสองคนที่เงี่ยหูฟังเธอกับจารวีพูดกันอยู่ดูเหมือนอยากรู้มากกว่านั้น
“แล้วผู้ชายขับเบนซ์คันหรูที่แกไปด้วยเมื่อคืนโอเคไหม” ดอกสร้อยรีบถามก่อนที่จารวีจะวางสาย
คนถูกถามขมวดคิ้วมุ่น “ใครขับเบนซ์”
“อ้าว ! นังจา ! ก็รถคันที่แกนั่งไปเมื่อคืนนี้ไง ผู้ชายคนนั้นฉันเห็นแวบ ๆ ว่าหล่อล่ำน่าปล้ำมาก และเขาก็ขับเบนซ์มาจอดรับแกที่หน้าร้านไง” ดอกสร้อยรื้อฟื้นความทรงจำเมื่อคืนให้เพื่อน
“เมื่อคืนฉันขึ้นรถแท็กซี่ที่พวกแกเรียกให้ไม่ใช่เหรอ”
จารวีจำได้ว่าเธอเมามาก และเพื่อนก็เรียกแท็กซี่ให้ พอแท็กซี่มาจอดตรงหน้า เธอก็เปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง เธอไม่ได้ขึ้นรถเบนซ์ของใครสักหน่อย
เพื่อน ๆ ที่ปลายสายมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนที่ทอฝันจะเป็นคนบอกว่า
“จา...รถแท็กซี่ที่เราเรียกให้แกมาจอดต่อหลังรถเบนซ์คันนั้น พวกเรานึกว่าแกนัดแนะกับผู้ชายคนนั้นให้มารับที่หน้าร้าน เลยไม่ได้ทักท้วงอะไร เอ่อ...จา แกโอเคจริง ๆ ใช่ไหม”
“ฉะ...ฉันโอเค แค่นี้ก่อนนะพวกแก ฉันอยากพักผ่อน”
จารวีกดวางสายก่อนเพื่อนทันได้ถามอะไรเพิ่ม หญิงสาวกำโทรศัพท์ไว้แน่น
ผู้ชายคนนั้นขับเบนซ์คันหรู เขาไม่ใช่คนขับแท็กซี่ มิน่าล่ะ...เมื่อคืนนี้เธอถึงเดินชนเขาในร้านด้วย เขาไม่ใช่คนขับแท็กซี่ แต่เป็นลูกค้าของร้านเหมือนเธอ แล้วเมื่อเช้าที่เธอหนีออกมาจากห้องนอน เธอจึงได้รู้ว่า ห้องที่เขาและเธอใช้ทำภารกิจลับตลอดทั้งคืนเป็นห้องสวีตสุดหรู เพราะเมื่อออกจากห้องนอนมาก็เจอห้องโถงกว้างขวาง และพอมองไปด้านนอกก็เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
ด้วยความสงสัย จารวีจึงรีบเปิดแอปพลิเคชันในมือถือเพื่อค้นหาชื่อโรงแรมที่เธอจำได้ราง ๆ เมื่อเจอแล้วจึงปัดนิ้วไล่ดูราคาค่าห้องที่คล้ายกับห้องที่เธอหนีออกมาเมื่อเช้า
“เหยียบแสน !” จารวีเบิกตากว้างพร้อมกับอุทานตกใจเมื่อเห็นราคาค่าห้องต่อคืน
ไม่ใช่...เขาไม่ใช่คนขับแท็กซี่แน่ ๆ แล้วทำไมเขาไม่บอกว่าเธอขึ้นรถผิดคัน ทำไมถึงพาเธอไปโรงแรมแพงขนาดนั้น รวยมากนักหรือไง ไม่เห็นใจคนที่ต้องช่วยหารค่าห้องด้วยเลย
“แพงขนาดนั้น ใครจะมีตังค์ไปหารช่วยเล่า”
จารวีถอนหายใจ ก่อนจะคิดได้ว่า แล้วเธอจะมานั่งคิดมากไปทำไมนะ ในเมื่อเธอตั้งใจให้มันเป็นวันไนท์สแตนด์ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปสิ ในส่วนของค่าห้อง เธอออกช่วยแล้วสี่ร้อยห้าสิบบาท ส่วนที่เหลือก็ให้เขาออกเองก็แล้วกัน โทษฐานที่เขาเป็นคนเลือกโรงแรมเองโดยไม่ปรึกษาเธอสักคำ
เมื่อบอกตัวเองแบบนั้นแล้ว จารวีจึงเอนกายลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมกาย ตอนนี้เธอต้องการพักผ่อนมากที่สุด เพราะร่างกายอ่อนเพลีย และรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ทั้งขอบตาร้อนผ่าว อาการแบบนี้เธอต้องเป็นไข้แน่ ๆ เธอไม่น่าเชื่อดอกสร้อยเลย ยัยนั่นบอกแค่ว่าแซ่บกว่าตำปูปลาร้า แต่ไม่ยักเตือนว่ามันแสบกว่าหัวเข่าถลอกตั้งหลายเท่า และก็เหนื่อยกว่าวิ่งมินิมาราธอนด้วย
“พี่จา แม่ให้มาเรียกลงไปกินข้าวเช้า”
จารวีลืมตาขึ้นช้า ๆ ในตอนที่ได้ยินเสียงน้องชายเรียกอยู่หน้าประตูห้อง สองคืนสามวันแล้วที่เธอนอนซมเป็นไข้อยู่ในห้อง เพราะอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และจุดบอบบางก็ระบมจนเธอนึกว่าต้องไปหาหมอเสียแล้ว โชคดีที่แม่และน้องชายคนเดียวของเธอผลัดกันเอาข้าวปลามาให้กินถึงบนห้อง และชั้นสองของบ้านไม้สีขาวของครอบครัวเธอก็มีห้องน้ำอยู่ชั้นบนด้วย แม้จะอยู่นอกห้องนอน แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันไดให้กระทบกระเทือนจุดที่ระบม
“ลุกไหวไหมพี่” จิรายุ...ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปี ตะโกนถามอยู่หน้าประตูห้อง เขาสวมชุดนักศึกษา สะพายกระเป๋าเป้ไว้บนบ่าข้างหนึ่ง วันนี้เขามีเรียนเช้า และตอนนี้แม่ก็ทำกับข้าวมื้อเช้าเสร็จแล้ว เขาเลยมาปลุกพี่สาวให้ลงไปกินข้าวพร้อมกัน
“ไหว แต่พี่ขอนอนต่ออีกนิด”
คนเป็นห่วงพี่ขมวดคิ้วมุ่น ไหวประสาอะไรถึงได้ขอนอนต่ออีกนิด
“พี่จา...ผมเข้าไปนะ”
จารวีถอนหายใจบางเบา หญิงสาวมองไปยังประตูห้องที่ไม่ได้ล็อก เพราะเธอไม่สบาย แม่จึงบอกให้ปลดล็อกไว้ ท่านจะได้เข้ามาดูเธอบ่อย ๆ และเผื่อมีอะไรฉุกเฉิน คนอื่นจะได้เข้ามาช่วยเหลือเธอได้ทันท่วงที ซึ่งจารวีก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการล็อกหรือไม่ล็อกประตูห้อง เพราะบ้านคือพื้นที่อบอุ่นปลอดภัยสำหรับเธอ