“พี่จา” จิรายุเรียกพี่สาวอีกครั้ง เพื่อขอคำขออนุญาตเข้าไปในห้องพี่สาว เพราะแม้จะสนิทสนมรักใคร่กันดี แต่สองพี่น้องถูกพ่อกับแม่พร่ำสอนอยู่ตลอดว่า ต้องรู้จักเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นเสมอ
“อือ...เข้ามาสิ” เมื่อเอ่ยคำอนุญาตให้น้องชายเข้ามาแล้ว จารวีจึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง แต่หน้าตายังงัวเงีย ผมยาวยุ่งเหยิงอย่างคนเพิ่งตื่นนอน
“มีเรียนเหรอ” น้องชายของเธอเรียนอยู่ปีสามกำลังจะขึ้นปีสี่ คณะและสาขาวิชาเดียวกับที่เธอเพิ่งจบมา
“อือ...พี่เป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”
จิรายุพูดพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง
“หายแล้ว”
“หายแล้วก็ลงไปกินข้าว แม่กับพ่อรออยู่”
“อือ ๆ แกลงไปก่อน เดี๋ยวพี่ตามไป”
“เร็ว ๆ นะ วันนี้แม่จะไปกับพ่อด้วย กลับอีกทีสิ้นเดือนโน่น”
“อือ”
จารวีถอนหายใจกับน้องชายที่ช่างเซ้าซี้ นับวันมันจะทำตัวเหมือนผู้ปกครองของเธอเข้าไปทุกที เพราะตั้งแต่แม่เริ่มติดตามไปอยู่กับพ่อที่บ้านพักข้าราชการตอนที่เธอขึ้นปีสอง แล้วปล่อยให้เธอกับน้องชายอยู่บ้านลำพัง เจ้าน้องชายของเธอก็จะคอยโทรหาเธอในเวลาที่เธอกลับบ้านผิดเวลา บางทีก็คอยเอ็ดเธอเวลาทำบ้านรก ทำครัวสกปรก และไม่อาบน้ำข้ามวันข้ามคืนตอนวันหยุด
คุณพ่อของเธอรับราชการเป็นผู้อำนวยการสำนักงานของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ เมื่อก่อนพ่อจะไปทำงานและกลับบ้านเดือนละครั้งสองครั้ง แม่จะอยู่บ้านคอยดูแลเธอกับน้อง แต่พอเธอกับน้องโตพอที่ดูแลตัวเองได้แล้ว ช่วงหลังมานี้แม่จึงตามไปอยู่บ้านพักกับพ่อเพื่อดูแลพ่ออย่างใกล้ชิด อีกไม่กี่เดือนพ่อของเธอก็จะเกษียณแล้ว แม่ชอบบ่นว่าพ่อแก่แล้วลำบากลำบนให้แม่ต้องตามไปดูแล ทั้งที่จริง ๆ แล้ว แม้พ่อจะอายุมากกว่าแม่สิบสองปี แต่พ่อยังสุขภาพร่างกายแข็งแรง และดูหนุ่มกว่าวัยด้วย แม่น่ะปากแข็ง ชอบหาข้ออ้างแก้เขิน ใจจริงแม่เป็นห่วงพ่อต่างหาก ส่วนพ่อนั้นก็ยิ้มหน้าบาน และมีความสุขมากที่แม่ตามติดไปคอยดูแลเอาใจใส่
หลังจากน้องชายออกจากห้องไปแล้ว จารวีจึงลุกขึ้นจากเตียง เธอเอามือสางผมลวก ๆ แล้วเดินออกจากห้องไปทั้งที่สวมชุดนอนกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอย้วย หญิงสาวแวะเข้าห้องน้ำชั้นบน ทำธุระส่วนตัวครู่เดียว พอเปิดประตูห้องน้ำออก ยังไม่ทันก้าวเท้าพ้นประตู ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนเรียกมาจากหัวบันได
“พี่จา ! ลงมาได้แล้ว”
จารวีเหลือบตามองบนแล้วถอนหายใจ หญิงสาวเดินลงบันไดไปทั้งใบหน้าหน้างัวเงีย ผมยุ่งไม่หวี ปากก็ตะโกนพูดประชดน้องชายว่า
“ค่า ! ลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะพี่จิ” บางทีเธอก็อยากยกตำแหน่งพี่ให้น้องชายไปให้รู้แล้วรู้รอด เพราะมันช่างสั่ง เจ้ากี้เจ้าการกับเธอไปเสียทุกอย่าง
พอเห็นพี่สาวเดินหน้ามุ่ยลงมาจากชั้นบน จิรายุก็ส่ายหน้ากับสภาพที่เห็น
“สภาพน่ะนะ” จิรายุถอนหายใจ เขาเดินไปทางห้องครัวก่อน ปล่อยให้คนที่เพิ่งเดินลงมาถึงชั้นล่างทำหน้ายู่หน้าย่นตามหลังไป
“พ่อคนหล่อเหลาสมบูรณ์แบบ สาธุ ! ขอให้แกได้แฟนรั่วกว่าฉันด้วยเถิดดด เพี้ยง !” จารวีประนมมือยกขึ้นเหนือศีรษะ เธอทำปากยู่ไล่หลังน้องชายไปอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามไปที่ห้องครัว
คุณพ่อจักรินกับคุณแม่เอื้อมพรนั่งกินอาหารเช้ารอลูก ๆ อยู่ พอลูกชายเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับทั้งสอง แล้วลูกสาวก็เดินหัวยุ่งเข้ามานั่งลงข้างกัน คนเป็นพ่อแม่จึงอมยิ้มในความแตกต่างของลูก ๆ
ลูกชายหล่อเนี้ยบเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก ส่วนลูกสาวเหมือนยังไม่พร้อมจะออกมาจากห้องด้วยซ้ำ
“หายดีแล้วเหรอลูก” แม่เอื้อมถามพลางเลื่อนตะกร้าเครื่องปรุงไปตรงหน้าลูกสาว เพราะจารวีชอบปรุงรสข้าวต้มให้จัดจ้าน
“หายแล้วค่ะ แต่ยังรู้สึกเพลีย ๆ อยู่เลย อาการแบบนี้ถ้าได้กินอาหารอร่อย ๆ ฝีมือแม่ทุกวัน คงจะดีขึ้นจนหายเป็นปลิดทิ้งแน่นอนค่ะ” จารวีพูดยิ้ม ๆ เธอมองสบตาคุณพ่อแล้วหัวเราะคิก เพราะพ่อปั้นหน้าเข้มใส่เธอ คงกลัวว่าแม่จะไม่ยอมตามไปด้วยเพราะเป็นห่วงเธอล่ะสิ
“สองสามเดือนที่ผ่านมา น้ำหนักของผมก็ลดลงตั้งหลายกิโล สั่งกับข้าวร้านไหนมากินก็ไม่ถูกปาก ทำกินเองก็ไม่อร่อยเหมือนแม่ทำ เวลาแม่ไม่อยู่บ้าน ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ที่สุดเลยครับ” จิรายุรีบรับไม้ต่อจากพี่สาว ถ้าเรื่องกวนพ่อ อ้อนแม่ ไม่ต้องนัดแนะกันก่อน สองพี่น้องก็สามารถรับส่งมุขกันได้อย่างลื่นไหล
พ่อจักรยิ้มมุมปาก เขาโอบบ่าภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากแสดงความหวงแหน นัยน์ตาคมเข้มน่าเกรงขามเป็นนิตย์ทว่ากลับฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนเสมอมองลูกทั้งสอง
“น่าเห็นใจลูกนะเอื้อม เอางี้แล้วกัน น้องอยู่ทำกับข้าวให้ลูกกินดีกว่า ไม่ต้องตามพี่ไปหรอก”
จารวีหันขวับไปมองสบตากับน้องชายที่หันมามองเธอในจังหวะเดียวกัน ทั้งสองขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด แปลกใจว่าทำไมพ่อถึงยอมง่าย ๆ แบบนี้ แต่ครู่เดียวพวกเขาก็เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง เมื่อพ่อจักรพูดประโยคถัดมา