บทที่ 10 ช้อนแทบหล่น

1901 คำ
พูดจบเขาก็หันหลังแล้วก้าวเท้าเร็วทันที ฉันมองไปรอบ ๆ ไม่ได้กลัวที่จะตามเขาไปเพียงแค่สงสัยว่าเขามาดักรอฉันทำไม ด้วยเรื่องพวกนี้เหรอ มันน่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก ฉันเดินตามเขาไปแทบจะกลายเป็นวิ่ง เสียงถุงกระดาษในมือเสียดสีกันฟังแล้วน่ารำคาญไม่น้อย เจ้านายจึงหันมามองแล้วพูดเสียงเบาทั้งกัดฟัน "หอบหิ้วมาทำไม โยนทิ้งไปสิ" ฉันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ของในถุงคิดเป็นเงินไทยก็หลักแสนได้ทำไมฉันต้องทิ้งและอีกอย่างเป็นของที่คนอื่นอุตส่าห์หอบหิ้วมาฝาก เจ้านายของฉันคนนี้คงบ้าไปแล้ว ฉันจึงทำหน้าเฉยไม่ยอมทิ้งอย่างที่เขาสั่ง โชคดีเจอแจ๋วที่ทำความสะอาดชั้นสองเสร็จพอดีจึงฝากให้แจ๋วเอาไปไว้ในห้องของฉัน แจ๋วพยักหน้าแล้วกระซิบ "ท่าทางคุณชายอารมณ์ไม่ดี ระวังหน่อยนะ" ว่าแล้วแจ๋วก็วิ่งหายวับไปราวกับสายลม ใคร ๆ ในบ้านนี้นอกจากเจ้าสัวแล้วก็กลัวเจ้านายกันหัวหด เพราะเขาเข้มงวดและมักทำท่าทางดุดันจนคนเข้าหน้าไม่ติด นอกจากฉันแล้วจึงไม่ค่อยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับเขาเท่าไหร่ ฉันก้าวตามเขาเข้าไปในห้อง จู่ ๆ เจ้านายก็กวาดน้ำหอมของเขาหลายขวดให้ฉัน ฉันเป็นคนเลือกน้ำหอมให้เขาเอง ราคาขวดนี้ก็เป็นแสนแต่เขากลับส่งให้ฉันแบบไม่ไยดี "เอาไป" "อะไรคะ" ฉันยังงงอยู่มาก "เธอเอาไปใช้ ฉันไม่ชอบมันแล้ว" ฉันมองหน้าเขาและยังคงไม่เข้าใจ "น้ำหอมมันกลิ่นยูนิเซ็กส์ ฉันไม่ชอบกลิ่นนี้แล้วเธอเป็นคนเลือกก็เอาไปใช้ซะ" ฉันขมวดคิ้ว "แต่ตอนที่ให้คนเอามาให้เลือกกลิ่นเจ้านายบอกว่าชอบกลิ่นนี้ไม่ใช่เหรอคะ เพิ่งเปิดใช้และยังมีที่ซื้อมาสำรองอีกสองสามขวดนั่นอีก" ฉันชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่ของเขาที่มีเพียงเครื่องสำอางผู้ชายวางอยู่แค่ไม่กี่ชนิดและน้ำหอมกลิ่นนี้ที่เขาเลือกเองกับมือที่ยังไม่เปิดอีกสองขวด "ก็ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว เอาไปให้หมดและออกไปได้แล้ว อย่าเกะกะในห้องฉัน" เขายัดน้ำหอมใส่มือของฉันแล้วไล่ฉันทันที ฉันยังมึนไม่หายแม้จะออกจากห้องของเขาแล้ว ก้มลงมองดูของในมือตัวเอง พร้อมกับคิดว่า โชคดีชะมัดเลยวันนี้ ได้ทั้งเสื้อผ้าและน้ำหอมราคาแพงที่ฉันคงไม่มีวันซื้อด้วยเงินตัวเองแน่ ๆ เสียงของเจ้านายลอยมาจากในห้อง "ฉันให้เธอคนเดียวแล้วอย่าคิดเที่ยวเอาไปแจกชาวบ้านละ" ฉันหัวเราะออกมา "บ้าน่า ฉันก็รู้ว่ามันแพงแค่ไหน ฉันจะใช้อย่างดีเลยล่ะ" เย็นวันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ร่วมโต๊ะอาหารกับคุณนายบุหงา โดยวันนี้มีเจ้าสัวรวมทั้งคุณอาทิตย์และเจ้านายของฉันร่วมโต๊ะด้วย นับว่าพร้อมหน้าพร้อมตากันในรอบสิบปี  แม้ว่าฉันจะรู้สึกอึดอัดแต่ด้วยอาชีพและหน้าที่ของฉันที่ต้องเผชิญกับเรื่องพวกนี้มาบ่อยครั้งฉันจึงวางตัวได้ดี  คงเป็นเพราะการแต่งตัวที่แตกต่างออกไปจากทุกวัน ทำให้ฉันกลายเป็นเป้าสนใจของผู้ชายสามคนโดยทันที โดยที่มีคุณบุหงาคอยสังเกตพฤติกรรมของผู้ชายของเธอแต่ละคน สามี ลูกชาย และหลานชาย  ฉันนั่งข้างคุณอาทิตย์หลังจากทักทายกันในตอนแรกก็ไม่ได้คุยกันอีก คุณนายบุหงานั่งอยู่ตรงข้ามกับคุณอาทิตย์โดยมีเจ้านายนั่งข้าง ๆ และมีเจ้าสัวนทีอยู่ที่หัวโต๊ะ  อาหารถูกยกเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ หากเป็นครอบครัวอื่นคงรู้สึกถึงความอบอุ่น แต่ทำไมครอบครัวนี้จึงทำให้ฉันรู้สึกหนาวก็ไม่รู้ "ลูกสาวของคุณบุหงาโตเป็นสาวตั้งแต่เมื่อไหร่" เจ้าสัวนทีมองฉันด้วยสายตาชื่นชมอย่างเปิดเผย และสิ่งที่ทำให้ฉันสบายใจคือท่านไม่ได้กำลังมองฉันเหมือนผู้ชายที่มองผู้หญิงโดยทั่วไป แต่กลับมีสายตาของความเอ็นดูแบบลูกหลานปนอยู่ในนั้น ฉันไม่ได้ตอบคำถามเพียงแต่ยิ้มออกไป  "เจ้าสัวไม่ค่อยอยู่บ้านนี่คะ ถึงไม่รู้ว่าลูกสาวที่ฉันฟักออกจากไข่เองกับมือโตจนสมควรแต่งงานได้แล้ว" คุณนายบุหงาพูดยิ้ม ๆ ฉันคิดว่าคุณนายคงสบายใจมากกับท่าทีของเจ้าสัวนทีที่มีต่อฉัน ในขณะที่หลานชายและลูกชายของคุณนายต่างนิ่งเงียบกันทั้งสองคน เจ้าสัวนทีดูจะอึกอักอยู่บ้างเมื่อภรรยาพูดแทงใจดำ ท่านทำหน้าเจื่อน ๆ แล้วพูดเสียงไม่เต็มคำ "ผมยุ่ง" คุณนายบุหงาสวนขึ้นทันใด "ค่ะ ยุ่งมากข่าวเมียน้อยเจ้าสัวตีกันต่างว่อนเน็ตกันแทบทุกวัน เห็นทีว่าสื่อจะสนใจมากกว่าข่าวเรื่องกิจการของบริษัทเสียอีก" "เอาน่า ผมไม่ปล่อยคนพวกนั้นมายุ่งกับคุณบุหงาก็แล้วกัน ก็แค่เด็ก ๆ ทะเลาะกันแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อฟัง พวกเขารู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหนมีตำแหน่งอะไร" ฉันแอบชำเลืองมองคุณนายบุหงาแล้วอดทึ่งไม่ได้ เพราะคุณนายไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองเลยสักนิด กลับนิ่งขรึมจนเจ้าสัวเกรงใจ "ก็ดี แต่ก็บอกเด็กพวกนั้นให้เบา ๆ บ้างไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน" คำขาดของคุณนายทำให้เจ้าสัวยิ่งหน้าซีด ทั้งยังรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ให้กระทบถึงคุณนายอีก คุณนายจึงหันมาคุยกับคุณอาทิตย์ "ว่าแต่อาทิตย์เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยหรือเปล่าลูก" คุณอาทิตย์ส่ายหน้า เขาเป็นหนุ่มผิวเข้มใบหน้าคมหล่อเหลาเหมือนพระเอกหนังไทย ที่ดูมาดแมนแฮนซั่มและยังมีกล้ามเป็นมัด ๆ ฉันชอบผู้ชายแบบนี้มันตรงกับสเปคของฉันเลยล่ะ  "ไม่ครับสบายครับคุณน้าไม่ต้องห่วง" คุณนายบุหงายิ้มแล้วหันมาทางฉัน "ดีแล้ว ต่อไปมีอะไรขาดเหลือก็บอกเอพริลได้เลยนะ น้าให้เอพริลดูแลอาทิตย์ได้เต็มที่เลย" คุณอาทิตย์หันมายิ้มให้ฉัน ฉันจึงฉีกยิ้มหวานตอบเขา "ขอบคุณครับคุณน้า ไม่น่าเชื่อนะครับว่าโตขึ้นมาเอพริลจะสวยขนาดนี้ ผมจำไม่ได้เลย" ฉันหัวเราะ "พี่อาทิตย์ก็ชมเกินไปค่ะ หนูไม่ได้สวยขนาดนั้นสักหน่อย" คุณอาทิตย์มองชุดที่ฉันสวมอยู่แล้วยิ้มหล่อเหลากระชากใจให้ฉัน "เอพริลสวยจริง ๆ นี่ ยิ่งใส่ชุดนี้ยิ่งสวยน่ารัก คงมีคนรุมจีบกันเยอะเลยสิ พี่จะช้าไปหรือเปล่านะ" ฉันหัวเราะเบา ๆ กิริยามารยาทที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างดีของฉันแน่นอนว่าทำให้ฉันดูสวยและงดงาม คุณนายบุหงาลงทุนให้ฉันไปเรียนสร้างบุคลิกภาพด้วยคร์อสแพงลิบลิ่วก่อนเข้าเป็นเลขา ถึงการแต่งตัวของฉันจะแสนเชยแต่บุคลิกของฉันดีมากจึงไม่มีใครกล้ามาตำหนิสักคน แต่แล้วเสียงของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันก็ดังขึ้น "แม่ครับ เอพริลเป็นเลขาของผมไม่ใช่ว่าแม่ต้องถามผมก่อนเหรอครับ" ฉันเผลอมองหน้าเจ้านาย ไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้ออกมาแต่ก็แน่ล่ะเขาเป็นคนหวงของ สำหรับเขาแล้วฉันย่อมเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งของเขา ฉันผู้รู้ใจของเขาจึงไม่แปลกใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามกับคุณนายบุหงาที่หันไปมองเขาด้วยความตกใจ "เลขาก็เฉพาะที่บริษัท ที่บ้านเอพริลเป็นของแม่ไม่จำเป็นต้องขอลูกก่อน" คำตอบของคุณนายบุหงาทำให้ฉันพอใจมาก แต่คุณอาทิตย์คงไม่อยากให้แม่ลูกขัดแย้งกันจึงรีบพูดขึ้น "ขอโทษครับพี่ธันผมไม่รู้ว่าเอพริลเป็นเลขาของพี่" อาทิตย์รีบเอ่ยปากขอโทษทันที "ใช่ เอพริลเป็นเลขาของพี่นายจำเอาไว้ด้วย ของๆ ฉัน จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตก่อน" เจ้านายยิ้มให้น้องชายแต่รอยยิ้มนั้นคล้ายจะแผดเผาอยู่ในที "เลขาก็ทำงานตามหน้าที่ในบริษัทผมเข้าใจครับ แต่คนก็ต้องมีวันหยุดเป็นของตัวเอง ผมว่าเอพริลควรมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ต้องฟังคำสั่งใคร" ฉันตาโต คิดไม่ถึงว่าคุณอาทิตย์จะกล้างัดข้อกับเจ้านาย  ฉันเห็นเจ้านายกัดกราม เขากำลังระงับอารมณ์ "พี่ว่า นายไปอยู่เมืองนอกนาน จนลืมไปว่า ของ ๆ พี่ ถ้าเป็นของพี่แล้ว ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน ก็คือของพี่ เข้าใจนะ" เจ้าสัวกระแอมพร้อมกับหัวเราะ "พวกแกสองคนเพิ่งเจอหน้า ก็จะวางมวยกันอีกแล้ว โตแล้ว อย่าคิดเอาชนะกันแบบเด็ก ๆ อีก มันไม่น่ารักแล้ว อีกอย่างเอพริล เขาถือเป็นน้องสาวพวกแก แม่แกเลี้ยงมายังกับไข่ในหิน ไม่ใช่ของที่พวกแกจะเอามายื้อแย่งกันได้" คุณนายบุหงายิ้ม ดูอารมณ์ดี ในขณะที่ฉันโล่งอกที่มีคนห้ามทัพสักคน "เจ้าสัวพูดถูกใจฉันก็คราวนี้แหละ เอพริลน่ะของแม่ แม่แค่ให้ไปช่วยงานธันวา แกเองก็จำไว้ด้วยนะว่าเอพริลของใคร ถ้าแม่อยากให้แต่งกับใครเอพริลก็ต้องแต่งกับคนนั้น ใช่หรือเปล่าเอพริล" คุณบุหงาหันมาถามฉัน ฉันสบตากับเจ้านายแวบหนึ่ง รู้สึกร้อน ๆหนาว ๆ ชะมัด แต่ก็ตอบคุณนายบุหงาเบาๆ  "ค่ะคุณท่าน" คุณนายบุหงาพอใจกับท่าทางของฉัน ในขณะที่เจ้านายแทบจะพ่นไฟออกจากตาเมื่อจ้องฉัน ฉันอึดอัดและได้แต่ก้มหน้ากินข้าวต่อเงียบๆ เจ้านายมองมารดาแล้วก้มหน้าเช่นกัน เขาไม่เคยเถียงท่านมาก่อน เพราะคุณนายบุหงาเป็นคนขี้โวยวาย ฉันรู้ว่าเจ้านายเป็นคนขี้รำคาญ จีงตามใจแม่มาตลอด คราวนี้เขาจึงยอมเงียบโดยดี แต่ดูเหมือนว่าคุณอาทิตย์เหมือนจะรู้ความคิดเจ้านายว่าเริ่มหวงฉัน และมีท่าทีแปลกๆ หลังคุยเรื่องอื่นและทานข้าวกันไปสักพัก จู่ ๆ เขาจึงหันไปถามคุณบุหงา และเป็นคำถามที่ทำให้ช้อนในมือของฉันแทบจะหลุดลงจาน "คุณน้าครับ เรื่องที่คุณน้าเคยคิดหมั้นผมกับเอพริลตั้งแต่เด็ก ผมอยากจะบอกคุณน้านะครับว่าผมจริงจัง และที่ผ่านมาผมก็คิดมาตลอด ตอนนี้ผมพร้อมแล้วครับ คุณน้าจะอนุญาตหรือเปล่าหากผมจะขอหมั้นกับเอพริลเอาไว้ก่อน"                  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม