ตอนที่ 17/2 ‘ความผูกพันที่ไม่รู้ตัว’

3250 คำ
ปัง! ติณณภพชักจะเหลืออดกับนิสัยไม่เห็นหัวใครของหลานชายแล้ว คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งเข้าหน่อยก็กำเริบเสิบสานวางท่าใหญ่โต เป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง ยังไม่ทันได้ข้ามแม่น้ำเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวก็อวดดีซะแล้ว สักวันลองมันได้ไปเจอของจริงเข้า ยังจะทำปากกล้าท้าตีท้าต่อยไปทั่วอย่างนี้อีกไหม! “จะลองดูก็ได้ครับ ถ้าลูกของไอ้เด็กนั่นเป็นอะไรไป หรือมีรอยขีดข่วนแม้แต่ปลายเล็บ จะต้องมีคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าเมื่อก่อนคุณลุงคุณป้าเคยไปทำแบบนี้กับใครมาบ้าง แต่ต้องไม่ใช่กับที่นี่และคนของผม ถ้าคุยกันรู้เรื่องแล้วผมขอตัวกลับขึ้นห้องก่อนครับ” “จะรีบไปเฝ้าเมียเหรอพี่” ไตรภูมิตะโกนถามไล่หลังเมื่อเห็นพี่รออย่างเดินลิ่วไปทางบันไดไม่เหลียวหลังมองคนอื่น “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฉันพูดในสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว ถ้าใครจะรั้นดันทุรังทำตรงกันข้ามก็อย่าหาว่าไม่เกรงใจกัน” ไตรวิชญ์ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้แล้วเดินกลับขึ้นห้อง ไตรภูมิยิ้มทะเล้นยักไหล่ทีหนึ่ง นิสัยใจคอของพี่ชายเป็นยังไง มองปราดเดียวก็น่าจะรู้แล้ว นอกจากจะไม่ชอบสุงสิงกับใคร แล้วยังเป็นพวกไม่แยแสคนรอบข้าง จะทำก็ต่อเมื่ออยากทำเท่านั้น ใครจะสั่งหรือมาบังคับไม่ได้ทั้งนั้น ยิ่งคุณลุงกดดันให้พี่ไตรต้องเลือกระหว่างตระกูลกับฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองมากเท่าไร คำตอบเดียวที่ได้ก็คือการหันหลังปิดกั้นการรับรู้จากทุกคน “ทำไมแกถึงไม่พูดอะไรเลย! เป็นพ่อก็หัดสั่งสอนมันซะบ้าง ปีกกล้าขาแข็งขึ้นทุกวันจนจะเหยียบหัวพวกฉันอยู่แล้ว” เมื่อเอาเรื่องหลานชายไม่ได้ก็หันมาเล่นงานคนพ่อแทน เพียงแต่ไตรวุฒิที่ผ่านสนามทั้งของจริงของเล่นมาแล้วย่อมมีรับมือพายุอารมณ์ของพี่ชาย “มันโตแล้ว พวกเราจะไปบังคับกะเกณฑ์หรือบงการชีวิตมันก็ใช่ที่ ปล่อยให้มันได้เรียนรู้ที่จะลองผิดลองถูกเถอะ พี่กับผมก็เคยทำผิดพลาดมาเหมือนกัน แล้วทำไมถึงไม่ให้โอกาสเด็กรุ่นหลังได้ทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ผมคำนึงถึงความสุขของลูก ๆ เป็นอันดับแรก แต่ถ้าตระกูลจะล่มจมเพราะเรื่องแค่นี้ก็ให้มันล่มไปเลย!” ไตรวุฒิประกาศความตั้งใจเดิมของตนด้วยเสียงหนักแน่นกังวาน เขาเคยทำผิดต่อภรรยามาแล้วครั้งหนึ่งจนเกือบเสียเธอไป ความทุกข์ทรมานที่กัดกินใจด้วยความรู้สึกผิดเป็นดั่งฝันร้ายไม่เคยเลือนหายไปจากใจ เขาไม่อยากเห็นลูกชายต้องเดินซ้ำรอยเดิมกับเขา ถูกพวกญาติ ๆ กดดัน พี่น้องไม่เห็นชอบให้แต่งงานกับคนที่รัก เพราะไม่สามารถส่งเสริมฐานอำนาจให้แข็งแกร่งมั่นคงได้ เขาหลงเชื่อคำพูดชักจูงนั้นจนยอมตอบตกลงแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน ใครจะรู้ว่าการตัดสินใจโง่ ๆ จะทำให้ดาหลาหนีไป โดยปิดบังเรื่องที่ตั้งครรภ์ไว้ไม่ยอมบอกใครทั้งนั้น ต้องใช้เวลาตามหากันเป็นปีถึงเจอตัว ไม่คิดว่าตระกูลของเธอจะเก่งพอปิดกั้นข้อมูลไว้ทุกทางทำให้การค้นหาเธอยากขึ้นอีก เขาผิดต่อเธอและลูก ตอนนี้เขาอยากปล่อยให้ลูกชายแต่ละคนได้คิดและตัดสินใจเองว่าจะทำอะไร พ่อแม่แค่ให้ชีวิตและคอยชี้นำทางที่ถูกต้องให้ แต่ไม่ได้หมายความว่านั่นจะเป็นทางที่ลูกต้องการหรือทำให้มีความสุขได้ หากถึงคราวที่ลูกทำผิดพลาดพวกเขาสองผัวเมียก็แค่ต้องคอยอยู่เคียงข้าง คอยเป็นกำลังใจให้เด็กพวกนี้สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคจนผ่านลุล่วงไปได้ดี ไตรวุฒิไม่อยากอยู่ฟังเสียงพร่ำบ่นด่าทอของพี่ชายพี่สาวอีกจึงลุกออกจากที่นั่งเดินไปทางบันไดกลับขึ้นชั้นบน โดยไม่ลืมมองไปทางลูกชายคนโตกับคนเล็กให้ช่วยกันดูแลมารดาของตัวเองตอนที่เขาไม่อยู่ด้วย ติณณภพกับตรีประดับพากันกำหมัดแน่นกัดฟันข่มกลั้นความเดือดดาลถึงขีดสุดไว้ พวกเขาสองคนโกรธเคืองทั้งน้องชายและหลานชายที่ไม่ยอมฟังคำแนะนำ รั้นแต่จะทำในสิ่งที่ตนต้องการ ทั้งที่รู้ว่าจะส่งผลร้ายต่อตระกูลของพวกเรา “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!” ติณณภพทุบที่วางแขนของโซฟา ใบหน้าโกรธจัดเห็นเส้นเลือดตรงขมับปูนขึ้นชัดเจน “อวดดีซะจริง! ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาฉันจะดูน้ำหน้าพวกมันว่าจะจัดการแก้ปัญหานี้ยังไง ดันคว้าพวกไร้สกุลรุนชาติมาทำเมีย ดูซิว่าคนภายนอกมองตระกูลเราเป็นอะไร เอาไปนินทาว่าร้ายกันหมดแล้ว อับอายขายขี้หน้าไหม” “พอเถอะ นี่เป็นเรื่องในบ้านของเจ้าไตร หลานมันจะตัดสินใจยังไงก็เป็นเรื่องของมัน พวกเราเป็นแค่ญาติจะไปเจ้ากี้เจ้าการทำไม” “แกก็พูดได้สิ วัน ๆ เคยสนใจฟังเสียงใครบ้างไหม” “เวลาผมเป็นเงินเป็นทองจะให้มาฟังเสียงติฉินนินทาไร้สาระของคนอื่นได้ไง หรือพี่รับได้ถ้าหากว่าเงินปันผลปีนี้จะลดน้อยลง ผมจะได้ไปนั่งปั้นหน้าฟังคุณหญิงคุณนายทั้งหลายแหล่ในสมาคมเป็นเพื่อนพี่” “...” ตรีประดับเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง ทั้งโกรธทั้งน้องชายตัวดีที่กล้ายอกย้อนเธอกลับมาจนพูดไม่ออก ขณะที่ติณณพัฒน์พ่นลมหายใจส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เขาก็พอเข้าใจว่าพวกพี่ ๆ อยากรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูลไว้ แต่ยุคสมัยก็เปลี่ยนมานานแล้ว จะยึดมั่นถือมั่นก็ควรมีขอบเขต อย่าให้มากหรือน้อยเกินไป อีกอย่าง ไตรวิชญ์ก็คือผู้ที่สืบทอดตระกูลต่อจากพี่ไตรวุฒิ จะดีชั่วอย่างไรก็ต้องคิดถึงผลดีผลร้ายต่อตระกูลเราอยู่แล้ว คงไม่ปล่อยให้ศัตรูหน้าไหนพุ่งเป้ามาโจมตีพวกเราได้ง่าย ๆ หรอก “อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันความคิดเธอนะ อย่าคิดจับคู่ลูกชายฉันกับบรรดาผู้หญิงมีชาติตระกูลที่เธออยากยัดเยียดให้ ถ้าอยากจับคู่นักก็เอาไปส่งมอบให้ลูกชายไม่เอาไหนของเธอนู่น ดีแต่ว่าลูกคนอื่นคว้าโอเมก้ามาทำเมีย ลูกชายตัวเองไปฉุดลากโอเมก้ามาเลี้ยงไว้ในบ้านไม่รู้ตั้งกี่คน แล้วยังไข่ทิ้งไว้อีก งามหน้าไหมล่ะ แทนที่จะเสียเวลามายุ่งกับลูกบ้านอื่น เธอน่าจะไปคิดหาทางแก้ปัญหาให้ลูกชายเธอเองมากกว่า” “นังดาหลา!” เสียงตวาดลั่นดังขึ้นด้วยความโมโหสุดขีด ตรีประดับชี้นิ้วไปยังคนพูดจายั่วโทสะด้วยร่างกายอันสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำเกรี้ยวกราดจ้องเขม็งดาหลาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ถ้ามีมีดอยู่ในมือก็คงเอากระซวกท้องอีกฝ่ายให้ไส้ไหลทะลักออกมาแเล้ว “คุณป้าครับ กรุณาพูดจาให้เกียรติแม่ผมด้วย” ตรีภพที่นั่งฟังอยู่นานลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินเอาตัวมาบังมารดาไว้อย่างต้องการปกป้อง เช่นเดียวกับไตรภูมิที่ลุกเดินมาเคียงข้าง กลิ่นอายแข็งแกร่งของพี่น้องอัลฟ่ารุนแรงมากกว่าปกติ ทำให้อัลฟ่าคนอื่น ๆ มีสีหน้าเคร่งเครียดเหงื่อตก แม้จะอยากเอาเรื่องต่อเพื่อระบายความโกรธกรุ่นก็ต้องระงับอารมณ์ไว้ ถ้าไม่ยับยั้งชั่งใจให้ดีอาจเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่ได้ พวกเขาสองคนไม่ได้เกรงกลัวหลานชายทั้งสองเลยสักนิด หากต้องสู้กันจริง ๆ อย่างมากพวกเขาก็แค่แพ้ ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องเจ็บหนักตามกันไป เพียงแต่ข่าวนี้คงรู้ไปถึงหูพวกศัตรูให้ฉวยโอกาสนี้มาเล่นงานพวกเขา “มองไม่เห็นความหวังดีของพวกเราก็ช่าง แต่จำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่เกิดปัญหาอย่าบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ!” ตรีประดับสูดหายใจเข้าลึกปรับอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติ ก่อนจะคลี่ยิ้มหยันมองดูน้องสะใภ้ที่เธอชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ต้น นิสัยยอมหักไม่ยอมงอของอีกฝ่ายเป็นต้นแบบให้หลานทุกคนเอาตามเป็นเยี่ยงอย่างได้ดีจริง ๆ ข้อดีคือมีความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ ไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น ส่วนข้อเสียคือไม่ยอมไว้หน้าใคร ไม่รู้ว่าเวลาใดควรอ่อนข้อ เวลาใดควรคล้อยตาม ทำให้เกิดปัญหาไม่คาดคิดตามมาไม่หยุดหย่อน ทั้งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้เพียงแค่รู้จักประนีประนอมกัน แต่นี่ก็ถือเป็นความแข็งแกร่งของตระกูลหิรัญรชตที่ทำให้คนจากตระกูลอื่นไม่กล้าหาเรื่องด้วย เพราะพวกนั้นรู้ดีว่าพวกเราไม่เคยละเว้นศัตรู ถ้าคิดแตะต้องตระกูลเธอ พวกมันก็ต้องแลกด้วยชีวิต ติณณภพเดินออกมาจากคฤหาสน์หลังงามโอ่อ่าตามด้วยตรีประดับและติณณพัฒน์ เรื่องที่พวกเขาอยากพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ส่วนคนบ้านนี้จะทำตามไหมก็เป็นอีกเรื่อง แค่หวังว่าจะไม่ส่งผลกระทบมาถึงพวกเขาเป็นพอ “พวกพี่ไม่น่าพูดจาใจดำแบบนั้นเลย เด็กคนหนึ่งคิดอยากฆ่าก็ฆ่าได้เหรอ อย่าทำตัวเป็นลุงเป็นป้าที่ใจคอโหดเหี้ยมนักเลย” “ไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน แกน่ะเข้าข้างแต่พวกนั้น ฉันก็เป็นพี่แกนะ จำใส่หัวไว้ด้วย” “ผมก็จำได้หรอกว่าพี่เป็นพี่ กี่ปีมาแล้วก็ยังนิสัยเหมือนเดิม ถึงพี่จะพูดไปเพราะหวังดี แต่คำพูดคำจากลับไม่น่าฟัง ใครได้ยินก็ต้องเข้าใจความหมายไปอีกแบบ ดังนั้นต่อไปพี่ต้องใจเย็นกว่านี้ พิถีพิถันใส่ใจในคำพูดที่พ่นออกมาแต่ละคำ เดี๋ยวก็ถูกหลานชายพานเกลียดหน้ากันหมดหรอก แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน” “แกรีบไปทำธุระของแกซะไป ถ้าเงินปันผลฉันน้อยกว่าปีที่แล้ว ฉันจะเอาไม้ไล่ตีแกให้ขาหักเลย” “พี่ใหญ่ดูสิ ผมเป็นน้องชายแท้ ๆ ยังขู่ทำร้ายกันอีก” “แกก็อย่าไปยั่วยายสองให้โกรธสิ รู้ทั้งรู้ว่าพี่แกเพิ่งถูกตอกจนหน้าหงายกลับมา ยังหาเรื่องให้ตัวเองถูกด่าถูกว่า โง่รึเปล่า ฉันจะไปดูเหตุการณ์ข้างนอกหน่อย ทันทีที่ข่าวการตั้งครรภ์ของเด็กโอเมก้านี่แพร่ออกไป หลาย ๆ ฝ่ายคงมีการเคลื่อนไหว ต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าพวกมันจะเลือกลงมือตอนไหน” “คิดว่าพวกมันจะฆ่าเด็ก” “ไม่ พวกมันน่าจะอาศัยช่วงชุลมุนเข้ามาโจมตีพวกเรา หรืออาจจะสร้างสถานการณ์วุ่นวายด้านนอกล่อหลอกให้พวกเราออกไป แล้วส่งคนมาเล่นงานที่นี่แทน ฉันไม่อยากให้พวกแกสองคนประมาท ในเมื่อเจ้าไตรอยากเก็บเด็กคนนั้นไว้ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย” “แบบนี้ดีแล้วเหรอ” ตรีประดับถอนหายใจด้วยหน้าตาเคร่งเครียด เธอยังคงไม่เห็นด้วยที่หลานชายคว้าโอเมก้ามาเชิดหน้าชูคอในวงสังคม ถ้าแค่เอามาเลี้ยงในบ้านเป็นเมียเก็บก็ยังพอรับได้ แต่นี่จะให้เป็นเมียออกหน้าออกตา ตาไตรกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ “สองคนนั้นถูกลิขิตมาให้คู่กันตั้งแต่เกิด ขัดขวางไปก็เท่านั้น ไหน ๆ เด็กก็มาเกิดแล้ว จะฆ่าแกงก็อำมหิตเกินไป ถึงฉันจะไม่ชอบใจ แต่นั่นก็เป็นหลานฉันคนหนึ่ง เรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องจับตาดูคนจากถิ่นอื่นที่อาจแฝงตัวเข้ามาก่อความวุ่นวายในเขตเรา” “แต่ว่า…!” “เถอะน่าพี่สอง เหตุยังไม่เกิดก็อย่าเพิ่งร้อนรนใจไปก่อน ตระกูลเราแข็งแกร่งพอรับมือพวกศัตรูไหวอยู่แล้ว ยิ่งพวกเด็กรุ่นหลัง ๆ มีแต่คนเก่งมีความสามารถสูงกันทั้งนั้นก็ยิ่งวางใจได้ โดยเฉพาะเจ้าไตรที่มีสิทธิ์เข้าชิงตำแหน่งผู้นำจ่าฝูงอัลฟ่าทั้งหมดในเขตนี้ แล้วยังมีอะไรให้น่ากังวล” “เหอะ” “เรื่องของเด็ก ๆ พี่สองก็ปล่อยให้พวกนั้นจัดการกันเองเถอะ พวกเราแก่แล้ว ยุ่งให้น้อยลงหน่อยจะได้มีเวลาพักผ่อนมาก ๆ ไง” “ทำพูดดีไป เมื่อกี้แกยังช่วยพวกนั้นรุมว่าฉันอยู่เลย” “เรื่องมันผ่านไปแล้วพี่ก็ลืม ๆ ไปบ้างเถอะ” “เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที แกเห็นฉันเป็นปลาทองความจำสั้นรึไง เรื่องเด็กนั่นปล่อยไปก่อนก็ได้ ใกล้จะต้องรับมือกับศึกนอกแล้ว ศึกในค่อยว่ากันอีกที” “สงสัยผมคงถูกพี่หมายหัวขึ้นบัญชีดำไว้ด้วยเลยสิ” “แกมันขึ้นบัญชีดำมาตั้งนานแล้ว ฉันกากบาทหน้าแกไว้เลยว่าสักวันต้องเอาคืน” ตรีประดับชี้หน้าน้องชายคนเล็กอย่างคาดโทษ ก่อนจะเดินเลี้ยวไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ในรั้วเดียวกัน เมื่ออยู่กันแค่สองคนติณณพัฒน์ก็อดปากเอ่ยถามพี่ชายไม่ได้ “เมื่อกี้พี่จริงจังมาก น่ากลัวกว่าทุกครั้งเลย” “จำเป็นต้องเอาจริงเพื่อกระตุ้นให้พวกนั้นตื่นตัว คนถึงจะเก่งแค่ไหนก็พลาดพลั้งกันได้ แข็งแกร่งอย่างไรก็ต้องมีจุดอ่อน ในอนาคตโอเมก้านั่นจะกลายเป็นจุดอ่อนใหญ่สุดของเจ้าไตร จะถูกเอามาใช้ต่อรองเมื่อไหร่ไม่รู้ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แค่การทักทายกันเท่านั้น หลังจากนี้ต่างหากที่เป็นของจริง ไม่ว่าใครถ้าฉันเห็นว่าเป็นภัยต่อตระกูลต้องถูกกำจัดทิ้ง” ติณณภพไม่สนใจว่าการกระทำโหดเหี้ยมของเขาจะทำร้ายจิตใจใครบ้าง เพื่อปกป้องทุกคนในตระกูลไว้ เขายอมเสียส่วนน้อยดีกว่าเสียส่วนมาก เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของเขาทุ่มเทกำลังปกป้องรักษาหิรัญรชตเรื่อยมา ขอแค่ตระกูลยังคงอยู่ไว้ให้ลูกหลานได้สืบทอดต่อไป ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาถึงตายไปก็ไม่มีอะไรให้น่าเสียใจ พวกเขาอยู่มาครึ่งศตวรรษแล้ว จากนี้ก็ให้เป็นหน้าที่ของเด็กหนุ่มรุ่นหลังได้แสดงฝีมือบ้าง หวังว่าจะไม่ต้องยื่นมือช่วยเหลือ ไตรวิชญ์เดินกลับขึ้นมายังชั้นสาม แต่ตอนที่จับลูกบิดประตูเตรียมเปิดเข้าไปก็ต้องหยุดชะงัก กลิ่นหอมเย็นลอยมาจากห้องสุดทางเดิน มือหนาปล่อยลูกบิดแล้วหมุนปลายเท้าไปยังทิศทางนั้น ใบหน้าหล่อเหลาติดดิบเถื่อนลดความแข็งกร้าวลง เมื่อไปถึงหน้าห้องก็ปรับสีหน้าเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้อง สายตาตวัดมองกองเสื้อผ้าที่ซุ่มกันตรงมุมห้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงเจือแววขบขันอ่อนโยนกว่าครั้งไหน ๆ ไตรวิชญ์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย แล้วสาวเท้าตรงเข้าไปหาเมียตัวเอง นั่งยอง ๆ บนส้นเท้ายื่นมือลูบแก้มนิ่มแผ่วเบา “ทำไมหนีมานอนห้องอื่นอีกแล้ว” “ไม่มีอะไรนี่” นิมมานก้มหน้าหลบตากัดเม้มริมฝีปากล่างจนได้เลือด สองมือกำเสื้อแน่น สะกดกลั้นความเจ็บปวดเสียใจลึก ๆ ในอก เขาไม่น่าไปได้ยินเรื่องพวกนี้เลย ไตรวิชญ์เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิย้ายมือมาลูบเส้นผมดำขลับนุ่มสลวย สายตาลุ่มลึกอ่านยากหลุบมาโอเมก้าร่างบางฟุบหน้ากับกองเสื้อที่มีกลิ่นของเขาติดอยู่ ถ้าเดาไม่ผิดก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีมันคงไปได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันข้างล่างมาโดยบังเอิญเพราะตื่นมาไม่เห็นเขาถึงลงมาตาม “ออกมาหากูหน่อย” เสียงเข้มอ่อนลงมากหากเทียบกับตอนปกติ “...” “ไอ้นิม ถ้ามึงไม่ออกมากูถล่มรังมึงแน่” “...” นิมมานเงยหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตา จมูกแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก ทั้งเจ็บปวดทั้งแค้นใจจนสุดจะกลั้น สายตาที่มองไตรวิชญ์มีแต่ความไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายราวกับมองคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตอนถูกนิมมานมองด้วยสายตาแบบนั้น ไตรวิชญ์ถึงได้เจ็บแปลบที่ใจ เหมือนกำลังทำของสำคัญหลุดมือ ถ้าไม่รีบรั้งตัวไว้ตอนนี้อาจต้องสูญเสียไปตลอดกาล ความรู้สึกนั้นเจ็บปวดเหมือนถูกควักหัวใจออกไปจากอก ชั่วพริบตาอัลฟ่าหนุ่มก็ฉุดแขนคนน้องดึงรั้งให้โถมเข้าหาตัว อ้อมแขนแกร่งกอดรัดร่างบอบบางสั่นเทาไว้แนบแน่น รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการร้องไห้อย่างหนัก น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าซึมผ่านเสื้อผ้ามารดรินหัวใจเขา เจ็บปลาบราวกับมีเข็มนับร้อยนับพันเล่มกระหน่ำแทงลงมาจนเป็นแผลเหวอะหวะ ท่ามกลางเสียงร้องไห้เสียใจของนิมมาน กลับมีอ้อมกอดอบอุ่นคอยปลอบประโลมอยู่เคียงข้าง เสียงกระซิบเบาหวิวหลุดจากริมฝีปากหนาปลอบขวัญคนน้องที่ข้างหู แม้จะไม่มากมายไม่อ่อนโยนนุ่มนวล ทว่า...น่าแปลกที่คำพูดเพียงไม่กี่คำกลับสลายเมฆหมอกสีเทาให้จางหายไปจากหัวใจ ไตรวิชญ์อุ้มนิมมานกลับห้อง บนเตียงขนาดใหญ่ทีสองร่างเกาะเกี่ยวกัน ดวงตาสองคู่สบประสานกันเนิ่นนานอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย มากกว่าความลุ่มหลงเสน่ห์คือความผูกพันลึกซึ้งยากจะแยกจาก หากต้องสูญเสียคนใดคนหนึ่งไป อีกครึ่งหนึ่งของหัวใจคงว่างเปล่าไร้ความหมาย จุมพิตร้อนบรรจงมอบให้คนน้อง เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากออกไปจากเรือนร่างขาวผุดผ่องน่าหลงใหล เมื่อไม่อาจใช้คำพูดมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ก็ให้ร่างกายคุยกันแทน นี่เป็นวิธีปลอบใจที่ไตรวิชญ์คิดออกและทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ นิมมานไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสของคนพี่ที่บรรจงมอบให้ เพราะรู้ดีว่าคนคนนี้ไม่ถนัดใช้คำพูด ความอ่อนโยนเอาใจใส่ที่ส่งผ่านมาให้เขาก็มากพอแล้วสำหรับผู้ชายโหดร้ายป่าเถื่อนคนนี้ หลังจากใช้กายสื่อใจนิมมานก็อ่อนเพลียจัดจนผล็อยหลับไปแล้ว เหลือแต่ไตรวิชญ์ที่ยังลืมตามองเพดานพลางครุ่นคิดบางอย่าง ขณะใช้มือเล่นเส้นผมนุ่มลื่นสีดำเงางามของโอเมก้าหน้าเด็กซึ่งนอนซบอกหลับปุ๋ยอยู่ กลิ่นหอมหวานกรุ่นกำจายฟุ้งอบอวลทั่วห้อง ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี หากวันใดวันหนึ่งไม่ได้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเด็กนี่ เขาคงกระวนกระวายใจอยู่ไม่สุข ต้องควานหาตัวเหมือนคนบ้าคลั่ง เพียงเพื่อจะได้กอดรัดพันธนาการเรือนร่างนุ่มนิ่มเจ้าของกลิ่นมะลิไว้ไม่ให้ห่างหายไปไหนอีก ชีวิตเขาก็ต้องเป็นเขาที่มีสิทธิ์กำหนดมัน ใครหน้าไหนก็เข้ามาสอดมือยุ่งเกี่ยวไม่ได้ทั้งนั้น!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม