วันนี้นับเป็นวันแรกที่ผมได้ออกมาจากรั้วคฤหาสน์แอนเดสัน ทำตัวเชิด ๆ นั่งรถหรู มีคนขับรถส่วนตัว ชีวิตพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืนแต่อีกไม่นานก็คงกลับไปเป็นไอ้บิวของแม่เหมือนเดิมแล้ว
ตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองคือออฟฟิศของคุณนาธาน เขาทำธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ในประเทศก็เป็นธุรกิจประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจด้านการเงินอื่น ๆ ส่วนนอกประเทศเป็นหุ้นส่วนของบ่อนกาสิโนขนาดใหญ่ ทำให้เป็นคนมีหน้ามีตา รู้จักและสนิทสนมกับคนมีสีเสริมบารมีให้ยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นมาเฟียก็ย่อมได้
คุณนายวิมลบอกว่าเขาอยู่ชั้นสามสิบของตึก ผมภาวนาขอให้เขาไม่อยู่ที่นั่นจะได้มีข้ออ้างกลับไปบอกคุณนายวิมล แต่แล้วความฝันของผมมันก็สูญสลายไป เพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไปในนั้นก็เห็นเขายืนสั่งงานลูกน้องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นผมทุกคนก็มองเป็นตาเดียวกัน ทำได้เพียงยิ้มพลางโบกมือทักทาย ก่อนเขาจะเดินทำหน้าดุเข้ามาหาแล้วคว้ามือออกมาจากห้องนั้นทันที
“ดะ...เดี๋ยว จะพาผมไปไหนครับ”
“เธอมาที่นี่ทำไม! ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“ก็คุณแม่ให้ผมเอาขนมมาให้คุณ ท่านทำเองกับมือเลยนะ” ผมยิ้มพลางยื่นถุงขนมที่คุณนายวิมลฝากมาให้ลูกชาย เพื่อจะได้มีข้ออ้างมาที่นี่
เขาวางสายตาไว้ที่ถุงขนมก่อนเลื่อนสายตามาที่ใบหน้าผม เห็นแววตาดุดันก็รู้สึกกลัวไม่น้อย แต่ต้องยิ้มสู้เข้าไว้เพราะเขาไม่น่าจะทำอะไรผมต่อหน้าลูกน้องแน่
“ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดฝากอะไรมาให้ลูกชาย แต่วันนี้กลับส่งเธอมา มีอะไรที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า” แววตาที่ดุดันแปรเปลี่ยนเป็นแววตาอันมีเล่ห์เหลี่ยม เท้าใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้ผมจึงต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ ด้วยความกลัว
“มะ...ไม่มีอะไรจริง ๆ เอาให้คุณแล้วผมก็จะกลับ”
“ฉันเป็นนายจ้างเธอนะลืมไปแล้วเหรอ หรือว่าคุณแม่ให้เธอมากกว่านั้นอีก”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับคุณนาธาน ผมจะกล้าโกหกคุณได้ยังไง”
กล่าวด้วยความลนลานแล้วหมุนตัวจะหนีไป แต่ตรงหน้ามันคือบันไดน่ะสิ ผมเบิกตาด้วยความตกใจเพราะร่างกำลังจะร่วงลงไปแล้ว หลับตาปี๋นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้ว บรรพบุรุษจากทุกภพทุกชาติให้มารวมตัวกันช่วยผมด้วย!
“ยัยซุ่มซ่าม!”
คิดว่าตัวเองตายไปแล้วแน่ ๆ แต่ยังคงได้ยินเสียงคุณนาธานอยู่ใกล้มาก ตอนนี้ผมคงอยู่ในนรกขุมที่ร้อยแปดแน่นอน ไม่นะ! ตายแล้วยังต้องมาเจอเขาอีกหรือนี่
“ลืมตาได้แล้ว”
“คุณนาธาน ผมยังไม่ตายใช่ไหม”
“ก็เออน่ะสิ”
ตอนนี้เขาโอบกอดผมเอาไว้แน่นขนัดราวกับเป็นห่วงมาก เราจ้องตากันจู่ ๆ ภาพในวันวานก็ฉายในหัวอีกครั้ง ใบหน้าผมร้อนระอุขึ้นมาก่อนจะรีบหลบสายตาแล้วเบนหน้าหนี
“นาธานคะ”
เสียงหวาน ๆ ของใครบางคนดังขึ้นเราทั้งคู่จึงหันไปมอง ไม่น่าเชื่อว่าซอนย่าจะมาอยู่ตรงนี้แล้ว เมื่อเห็นว่าแฟนสาวมาพบเข้าคุณนาธานก็รีบผลักตัวผมให้ออกห่างทันที
“ไม่มีอะไรครับซอนย่า เด็กนี่เอาขนมมาส่งน่ะ อ่ะนี่ขนมฝีมือคุณแม่ท่านเอามาฝากซอนย่าน่ะ”
“จริงเหรอคะ ยังไงก็ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วยนะคะ”
เธอยิ้มด้วยความดีใจอย่างลืมตัว ก่อนเงยขึ้นมามองหน้าผม รอยยิ้มบนใบหน้างามเจื่อนลงทันที สีหน้าและสายตาของนางร้ายเริ่มทำงานทันที
“ส่งแล้วก็กลับไปสิ ยืนบื้ออยู่ได้”
“เธอกลับไปได้แล้ว” คุณนาธานผสมโรงอีกเสียง ราวกับผมเป็นตัวน่ารังเกียจซะเหลือเกิน
ยังไม่ได้ทันพูดอะไรเขาก็โอบไหล่นางเอกสาวกลับเข้าไปในออฟฟิศเสียแล้ว ทิ้งให้ผมยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น กำลังคิดว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรเลย แถมยังมาเสียท่าให้กับศัตรูอีกด้วย หากคุณนายรู้เข้ามีหวังโดนเอ็ดใหญ่แน่
*-*-*-*-*-*-*
ช่วงหลายวันที่ผ่านมาคุณนายให้ครูมาสอนเดินแบบที่บ้านอย่างเป็นล่ำเป็นสัน กะว่าจะให้ผมไปเป็นนายแบบมืออาชีพหรืออย่างไรกัน วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเรียน เรียน แล้วก็เรียน ทำเอาแทบไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นเลย ส่วนคุณนาธานไม่เคยโผล่หน้ามาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่จะต้องไปร่วมงานเดินแบบผ้าไทยและเครื่องเพชรมูลค่านับร้อยล้านของคุณหญิงคุณนายทั่วฟ้าเมืองไทย
วันนี้เราเดินทางมายังโรงแรมที่จัดงานก่อนเวลาหลายชั่วโมงเพื่อให้ผมมาซ้อมเดินแบบบนเวทีจริง ผมพยายามมองหาซอนย่าแต่ไม่พบว่านางมาซ้อมในวันนี้ด้วย จึงแอบกระซิบถามนายแบบและนางแบบที่ซ้อมด้วยกันทราบว่านางไม่เคยมาซ้อมเพราะเป็นงานอยู่แล้ว อีกอย่างหากไม่เดินในชุดฟินนาเล่นางจะไม่รับเด็ดขาด
ซ้อมเดินบนเวทีจนเริ่มเข้าใจลำดับขั้นตอนของงานแล้วก็มาแต่งหน้า ในระหว่างช่างกำลังช่วยแต่งหน้าให้คุณนายวิมลก็เดินเข้ามาทักทายทุกคน ดูเหมือนว่าคนจะรู้จักและให้ความเคารพนับถือไม่น้อย เพราะคุณนายเป็นไฮโซชื่อดัง แต่คนอื่นยังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร
“สวัสดีค่ะคุณวิมล” พี่ช่างแต่งหน้ารีบยกมือไหว้แล้วทำการละเลงหน้าผมต่อ
“สวัสดีจ้ะ วันนี้จัดเต็มให้ลูกสะใภ้ฉันหน่อยนะจ๊ะ”
“อ้าว! นี่ลูกสะใภ้คุณวิมลหรอกเหรอคะ ฉันเข้าใจว่าเป็นคุณซอนย่าซะอีก ไม่นึกเลยว่าคุณนาธานจะมีรสนิยมดีอย่างนี้ หายากนะคะที่แม่สามีรับลูกสะใภ้ที่เป็นผู้ชายได้”
“ข่าวก็ลงอะไรไปเรื่อยนั่นล่ะ ลูกชายฉันมันก็พ่อปลาไหล แต่จริง ๆ แล้วคนที่เป็นตัวจริงคือหนูบิวนี่ล่ะ ตานาธานพามาฝากเนื้อฝากตัวกับฉันถึงที่บ้านจะไม่ใช่ตัวจริงได้ยังไงล่ะ”
คุณนายวิมลเอาแต่ยกยอปอปั้นผมยกใหญ่ ทำได้เพียงยิ้มรับอย่างจำใจ แต่อีกใจก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่มีคนเห็นความสำคัญของตัวเองอย่างนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่งก็เถอะ
“แม่ไปแล้วนะหนูบิว ยังไงก็สู้ ๆ นะ”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ผมยิ้มให้ก่อนท่านจะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว นั่งให้พี่ช่างแต่งหน้าสะบัดแปรงต่อไป ตอนนี้ผมเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้องแต่งตัวอย่างช่วยไม่ได้
“ทำไมไม่ยอมบอกว่าน้องเป็นสะใภ้คุณวิมล ปล่อยให้พี่เข้าใจว่าเป็นนายแบบหน้าใหม่มาเสียนาน”
“ทำไมต้องบอกด้วยครับพี่ ผมว่ามันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น วันนี้ผมก็มาเดินแบบเหมือนคนอื่นนี่นา”
“สำคัญสิ เศรษฐินีไฮโซที่ใครต่างก็อยากได้เป็นแม่สามีแต่จู่ ๆ ก็มาเปิดตัวน้องซะงั้น แสดงว่าน้องต้องถูกใจคุณวิมลมากแน่ ๆ ตอนนี้ใคร ๆ ก็เข้าใจว่าซอนย่าคือตัวจริงของคุณนาธาน เชื่อว่าพรุ่งนี้เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศแน่”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ไม่เชื่อคอยดูละกันค่ะ”
เราคุยกันไปเรื่อยอย่างถูกคอจนกระทั่งแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ไปแต่งตัวตามชุดที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้ ยิ่งใกล้ถึงเวลาที่จะต้องออกไปหน้าเวทีภายในห้องแต่งตัวก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น แม้จะเคยเรียนจากครูสอนเดินแบบมาอย่างเข้มข้นแต่ผมก็ยังตื่นเต้นเพราะนี่คืองานแรก เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองหน้าตาดีขึ้นเป็นกอง ส่องกระจกแล้วยิ้มพลางคิดในใจว่านี่คือผมจริง ๆ หรือ
ใกล้จะถึงเวลาเริ่มงานก็เห็นซอนย่าเข้ามาพร้อมผู้จัดการ นางแต่งหน้าทำผมมาพร้อมก่อนแล้วและเพิ่งมาสวมใส่ชุดที่นี่ ยอมรับว่าการเป็นดาราดังทำให้มีอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น มีคนเอาอกเอาใจให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ บังเอิญว่าเราเดินสวนทางกันผมจึงยิ้มทักทายตามมารยาทแต่กลับโดนเมินเสียอย่างนั้น รอยยิ้มจริงใจเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจื่อน รู้สึกเสียหน้าเป็นบ้าเลยล่ะ
“แกคงสำคัญตัวเองผิดไป” เอ่ยเบา ๆ กับตัวเอง
ในตอนนั้นพี่ช่างแต่งหน้าคนเดิมได้เดินเข้ามาเติมหน้าให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกไปหน้าเวที จู่ ๆ แกก็พูดประโยคที่ทำเอาซอนย่าต้องหันมาสนใจผม
“วันนี้น้องบิวน่ารักมากกก เหมาะสมกับการเป็นสะใภ้ตัวจริงของตระกูลแอนเดสันทุกประการค่ะ คุณวิมลอุตส่าห์มาฝากฝังด้วยตัวเองขนาดนี้พี่เลยฟาดหน้าให้ฉ่ำ ๆ ไปเลย วันนี้น้องบิวต้องเฉิดฉายบนเวทีแน่นอนค่ะเชื่อพี่” ดูเหมือนว่าพี่แกตั้งใจให้ซอนย่าได้ยิน
เมื่อพี่ช่างแต่งหน้าพูดประโยคนั้นจบผมก็ส่งสายตาไปมองซอนย่าเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของนาง แต่ดูเหมือนว่าสายตาที่มองมานั้นช่างน่ากลัวเหลือเดิน ยิ่งกว่าที่ผมเจอในออฟฟิศวันนั้นเสียอีก