หนูซันหลับไปแล้ว…คนตัวเล็กนอนซุกตัวขดกลมอยู่กับกองผ้าห่มสีฟ้าอ่อน เหมือนลูกนกตัวน้อยที่รอคอยความอบอุ่น เทาเย่ยืนพิงขอบประตูมองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู มุมปากหยักลึกดึงดูดทุกเพศให้อยากสัมผัสยกยิ้ม หนูซันในวัย15ปีวันนั้น ตอนนี้กลายมาเป็นหนูซันวัย21ปี ที่ยังตัวเล็กไม่ถึงอกเขาเช่นเดิม ทว่าความแสบและฝีปากจิกกัดกลับพุ่งทะยานเกินส่วนสูง แถมแรงถีบเมื่อช่วงหัวค่ำก็รุนแรงมากซะด้วย สมแล้วที่เป็นลูกชายของท่านพิษณุ หนูซันของเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ครืนนน…ครืน….!!
แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงดึงสติให้เทาเย่เลิกมองคนน้องสักที ร่างสูงอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อยเมื่อเห็นเบอร์ที่โทร.เข้ามา จะโทร.เข้ามาขัดช่วงเวลาหลงว่าที่เมียทำไม? ไอ้เฉิน! ไอ้คนไม่รู้งาน! ไอ้เพื่อนเวร!!!
“เออ…ว่า กูยังไม่ได้จุดธูปอัญเชิญเลย มึงจะโทร.มาทำไม”
[ปากกล้านะมึง ถ้าโดนน้องเทขันหมากขึ้นมาจริงๆอย่ามาครางหงิงๆให้กูช่วยล่ะกัน] เฉินเหน็บแนมเรื่องราวสุดแทงใจดำเพื่อนสนิท [กูแค่จะโทร.มาถามว่าคืนนี้มึงจะแวะมาไหม มีคนมารอเจอ]
“ใครวะ”
[กูไม่รู้จักว่ะ แต่รู้อย่างเดียวว่าสวยมาก เซ็ก เอ็กซ์ อึ๋มสุดๆ ช่วงนี้มึงไปติดต่อดีลอะไรกับใครไว้ไหมล่ะ เขาถึงได้มารอเจอมึงที่คลับกู]
“กูเปล่า แค่ต้องรับมือคุณเข็มคนเดียวกูก็เหนื่อยแล้ว” เทาเย่รู้สึกหัวจะปวดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึง คุณเข็ม หรือ เข็ม อัปสร ดาราและนางแบบเซ็กซี่แถวหน้าของวงการ ที่ช่วงนี้ชักจะเรียกร้องจากเขามากขึ้นทุกที ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นคนเดียวที่จะพาเขาไปพบกับมีนได้ เขาจัดการกับคนได้คืบจะเอาศอกไปนานแล้ว
[แล้วมึงจะมาไหม]
“ไม่อะ คืนนี้กูไม่ว่าง”
[ไม่ว่างของมึงนี่มึงติดธุระอะไร แต่ก่อนก็เห็นมึงว่างทุกคืน]
“แต่ช่วงนี้กูไม่ว่างแล้ว กูยืนดูหนูซันหลับอยู่ เข้าใจยัง?”
[มึงมันคนบ้าไอ้เทา ประสาท!] เฉินด่าเพื่อนตัวดีทันทีที่ได้ยิน [กูเป็นน้องซันกูก็ไม่อยู่กับมึงหรอก ไอ้ห่า! ขนาดหลับยังทำตัวโรคจิตมายืนมอง สติมึงยังดีอยู่ไหมเนี่ย]
เทาเย่ไม่อยู่รอฟังให้เฉินด่าตัวเองไปมากกว่านี้หรอก เขาจัดการตัดสายอีกฝ่ายทิ้งอย่างไร้เยื่อใย แล้วกลับมายืนกอดอกพิงขอบประตู มองภาพนุ่มนิ่มน่ารักด้านหน้าต่อไป จากที่ก่อนหน้านั้นเขายิ้มให้กับความน่ารักของหนูซันอยู่แล้ว ตอนนี้กลับยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพราะความน่ารักและความคนสวยขาของหนูซันมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นแบบอัลลิมิตทะลุขีดจำกัดไปแล้ว
ในขณะที่เทาเย่กำลังยิ้มกว้างราวกับคนบ้า จู่ๆคำพูดเมื่อครู่ของเฉินก็ดังก้องขึ้นในหัว
‘นี่กูโรคจิตอย่างที่ไอ้เฉินว่าจริงๆเหรอวะ?’
.
วันถัดมา…
คนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าถูกคนพี่ยืนมองอยู่เกือบตลอดคืนเดินลงมาจากห้องนอน เทาเย่เห็นคนน้องเดินลงมาก็รีบวางแก้วกาแฟลงทันที แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้ทักทาย หนูซันก็เชิดหน้าหนีเขาแถมด้วยการเมิน หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอน
“ใจคอจะเมินจนเฮียเป็นหมาหัวเน่าเลยใช่ไหมคะหนูซัน”
“เราไม่ได้เมิน เราแค่ไม่อยากเจอหน้าเฮียเฉยๆ” คนตัวเล็กตอบทั้งที่ยังยืนหันหลัง
“แล้วทำไมถึงไม่อยากเจอคะ เฮียทำผิดมากเลยเหรอคะ”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น หนูซันที่ยืนหันหลังก็รีบหันหน้ามาเผชิญคนพี่ในทันใด พร้อมกับแขนเรียวสองข้างที่ยกขึ้นกอดอก กดสายตาเรียบนิ่งมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านหน้า
“ถามทำไมเหรอ ถ้าเราตอบเฮียจะยอมรับเหรอว่าตัวเองผิด เราว่าเรานี่แหละคือคนที่ผิด”
“หนูซันจะผิดได้ยังไงคะ หนูซันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
“ผิดที่วันนั้นเราหลงคารมณ์ยอมหมั้นกับเฮียไง มันผิดยิ่งกว่าเราติดกระดุมสลับเม็ดอีกอะ ติดกระดุมผิดยังปลดออกแล้วติดใหม่ได้ แต่หมั้นกับคนอย่างเฮียเราต้องแก้ไขยังไงให้มันดีขึ้นได้เหรอ จะถอนหมั้นก็ไม่ยอม ให้ยกเลิกงานแต่งก็ไม่ทำ” พูดแล้วคนน้องก็ถอนหายใจแรง ทั้งยังเสยผมขึ้นไปด้านหลังเหมือนกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ที่จวนจะระเบิดเต็มทน
“ใจคอเฮียจะให้เราทิ้งชีวิตเราทั้งชีวิตไว้กับคนอย่างเฮียจริงๆเหรอ ไม่สงสารเราหน่อยเหรอ คุณเทาเย่ ฉาง”
ประโยคคำถามที่มากับน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายทำให้เทาเย่ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป หนูซันไม่เคยเรียกชื่อเต็มเขามาก่อน การที่น้องเรียกแบบนี้มันทำเขาใจคอไม่ดี เรียกเหมือนคนห่างเหินกันเลย นี่เขากับหนูซันเป็นคู่หมั้นกันนะ
เทาเย่รีบลุกเดินเข้ามาหาคนน้องที่ยืนนิ่ง “หนูซันจะทิ้งให้เฮียอยู่คนเดียวเหรอคะ หนูไม่สงสารเฮียบ้างเหรอ”
“เหอะ!” หนูซันหัวเราะเสียงขึ้นจมูก ดวงตากลมสั่นครอนเล็กน้อย ริมฝีปากบางสั่นระริกแล้วเม้มแน่น “คนเจ้าชู้ไม่รู้จักพออย่างเฮียมันน่าสงสารตรงไหนอะ คนที่รักเฮียข้างเดียวมาตลอดอย่างเราดิที่น่าสงสาร”
เขารักเฮียเทามาตลอด ถึงไม่เคยบอกก็เถอะ แต่ตลอดระยะเวลา6ปีที่ผ่านเขาไม่เคยมีใคร ไม่เคยทำตัวไม่ดี เป็นคู่หมั้น เป็นว่าที่ภรรยาที่ดีมาตลอด แต่สิ่งที่อีกฝ่ายตอบแทนมามันไม่สมกับความรักและความซื่อสัตย์ที่เขาให้ไปซะเลย! เขาสิที่ต้องเป็นฝ่ายที่น่าสงสารที่สุด!
“เมื่อ6ปีที่แล้วเฮียให้คำสัญญาไว้กับพ่อแม่หนูซัน ว่าเฮียจะดูแลปกป้องหนูซันไปตลอดชีวิต เฮียก็ยังยืนยันจะทำแบบนั้นอยู่ เพราะฉะนั้นงานแต่งของเราจะเกิดขึ้นแน่ๆ แล้วมันก็จะถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นด้วยค่ะ เราจะแต่งงานกันก่อนหนูจะสอบจบ”
“เฮีย!” หนูซันตวาดเสียงใส่คนพี่
หมั้นก็หมั้นด้วยกัน แต่งก็ต้องแต่งด้วยกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องกำหนดงานแต่งที่ถูกเลื่อนขึ้นมาเลยล่ะ ไม่มีใครคิดจะบอกเขาเลยเหรอไง นี่เขาเป็นเจ้าสาวนะ หรือคิดว่าแค่ หนูซัน ดัสกร กิตติกูล คนนี้ยอมหมั้นด้วยแล้วอยากจะเปลี่ยนอยากจะทำอะไรตามใจก็ได้งั้นเหรอ!
“ขา...” เทาเย่ขานรับเสียงหวาน ช่างผิดกับน้ำเสียงที่คนน้องเรียกเขาซะจริง
จากที่เมื่อครู่หนูซันอยากจะร้องไห้เพราะผิดหวังและอึดอัดกับการกระทำของคนพี่ ตอนนี้เขาอยากจะร้องไห้เพราะความโมโหซะมากกว่า เฮียเทากำลังทำให้เขาหมดความอดทนลงเรื่อยๆ
“หนูจะด่าจะว่าหรือปล่อยให้เฮียนอนพื้นแข็งๆทุกวันยังไงก็ช่าง เฮียก็ยังยืนยันว่าเราจะต้องแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันค่ะ”
“….” หนูซันไม่พูดอะไร คนตัวเล็กยืนกำหมัดแน่น ดวงตากลมสองข้างมีน้ำเอ่อคลอ และใกล้จะหยดลงบนแก้มนิ่มทุกที
“หนูซันเป็นอะไรคะ หนูจะร้องไห้เหรอคะ หนูเสียใจมากเลยเหรอคะที่ต้องมีเฮียเป็นสามี”
“เราโมโหเฮียนั่นแหละ!” หนูซันตะโกนใส่หน้าคนพี่เสียงดัง เพราะหมดความอดทนแล้วจริงๆ นอกจากตะโกนหนูซันก็ยังอยากจะเข้าไปทุบคนพี่ให้นอนลงบนพื้นด้วย แล้วตามไปกระทืบซ้ำๆให้สลบคาเท้า!
“พูดมาตั้งเยอะขนาดนี้แล้วยังจะแต่งอีก ก็บอกแล้วไงไม่แต่งๆ จะถอนหมั้นด้วย เราอยากสั่งให้คนของคุณพ่อจับเฮียไปนั่งยางเผาแถวชายป่ามากที่สุดเลยตอนนี้! แล้วเราก็อยากหนีเฮียไปบวชด้วย เราจะออกธุดงค์เข้าป่าไม่ออกมาให้เฮียเห็นอีกเลย!”
“หนูซัน! แรงไปปะคะ จะจับเฮียนั่งยางเผามันยังไม่หดหู่เท่าว่าที่เมียจะหนีไปบวชแถมธุดงค์หนีเข้าป่าเลยนะคะ”
“ให้เราโกนหัวบวชไปอยู่กับสิงสาราสัตว์ มันยังดีกว่าอยู่กับคนหลายใจ ควงคนนั้นทีคนนี้ทีแบบเฮียเลย ถ้าอยากแต่งเราก็จะแต่ง แต่แต่งเสร็จแล้วเราจะบวช!”
“หนูซัน!”
คำประกาศกร้าวที่ดังเมื่อครู่ทำเทาเย่ลมแทบจับ คนพี่ถึงกลับไปไม่เป็น นี่เขามันแย่ถึงขนาดที่ว่าเป็นพระยังดีกว่าเป็นเมียเขาอีกเหรอ การเป็นดวงตะวันดวงเดียวให้กับตระกูลฉางมันแย่มากนักหรือไง หรือการเปลี่ยนมาใช้นามสกุลฉางมันน่าอดสูซะเหลือเกินงั้นเหรอ(?)
“เฮียมีเหตุผลค่ะ ว่าทำไมเฮียถึงต้องไปเจอคนพวกนั้น แล้วที่พาไปที่คอนโดเฮียก็มีเหตุผลเหมือนกันค่ะ”
“งั้นบอกเหตุผลที่น่าฟังของเฮียมาให้เราฟังหน่อยสิ เราอยากรู้ใจจะขาดแล้วเนี้ย ว่าเหตุผลดีๆของเฮียมันคืออะไร”
“…คือ…” คนถูกถามอึกอัก
ไม่ใช่เขาไม่อยากบอก แต่กลัวว่าบอกไปตอนนี้น้องจะหนีไปบวชแล้วธุดงค์เข้าป่าอย่างไม่มีวันกลับเลยซะมากกว่า อย่างน้อยบวชตอนแต่งเสร็จก็ถือว่ายังได้แต่ง แต่ถ้าบอกตอนนี้ไม่ได้แต่งแถมไปบวชหนีเขาด้วย
“เฮียยังบอกตอนนี้ไม่ได้ค่ะ”
“หึ! ตอแหล”
“หนูซัน! แรงกว่าจะบวชออกธุดงค์เข้าป่าอีกนะคะ”
ปากหนูซันร้ายมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก นี่เผลอๆปากอาจจะร้ายกว่าหนูอิ้งคนแซ่บซะด้วยมั้ง หรือเพราะว่าเขาปล่อยให้หนูซันอยู่กับเพื่อนร้ายๆแบบหนูอิ้ง มากเกินไป หนูซันตัวน้อยสุดจะบอบบางถึงหยาบคายใส่เขาได้ถึงขนาดนี้
“ได้ค่ะ ถ้าแต่งแล้วหนูซันจะหนีไปบวช เฮียก็จะไม่ห้าม แต่เดี๋ยวเฮียจะตามไปเป็นเด็กวัดค่ะ เฮียจะช่วยหนูถือของตอนบิณฑบาตเอง ดีไหมคะ”
คนน้องส่ายหน้าพรืดทันที ก่อนจะตอบกลับมาด้วยประโยคที่ตบหน้าเทาเย่ยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ “พอเถอะเฮีย เป็นมารชีวิตเราอย่างเดียวก็พอแล้ว อย่าไปเป็นมารศาสนาให้พระท่านต้องเหนื่อยใจเลย”