นางปรานีพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของลูกสาวเท่าใดนัก แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะเซ้าซี้เรื่องมาก
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ แล้วค่อยลงมาทานข้าว กลับมาครั้งนี้จะอยู่กี่วัน” นางปรานีเปลี่ยนเรื่องถามลูกสาว
“อยู่ได้แค่วันเดียวค่ะแม่ วันจันทร์ก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว เดียร์หนีเที่ยวซะหลายวัน” หญิงสาวตอบกลับมารดาเสียงกลั้วหัวเราะ เพราะไม่อยากให้มารดาเกิดประเด็นจับผิดอีก
ปาจรีย์ใช้เวลาเพียงสิบนาทีในการจัดการกับตัวเอง เธอกลับมาอีกครั้งด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ร้านของมารดาเธอเป็นตึกขนาดสี่ชั้น ความกว้างของหน้าร้านสิบหกเมตร ด้านล่างเปิดเอาไว้สำหรับทำเป็นร้านอาหาร ส่วนชั้นสามและชั้นสี่เป็นห้องแบ่งเช่า รวมถึงทำเป็นที่พักให้กับพนักงานในร้าน ซึ่งส่วนมากจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาทำงานพาร์ตไทม์ให้กับทางร้าน
ขณะที่ชั้นสองแบ่งเป็นสองโซน ครึ่งหนึ่งเป็นห้องพักสำหรับคนในครอบครัว ส่วนอีกครึ่งเป็นส่วนบริการ มีโต๊ะสำหรับให้แขกนั่ง ผนังกรุกระจกรอบด้านทำให้มองเห็นด้านนอกได้ชัดเจน
ด้านล่างเป็นหน้าร้านที่ถูกตกแต่งคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมากที่สุด เพราะอยากให้ลูกค้าได้รับกลิ่นอายของความเป็นไทย อย่างน้อยก็ทำให้ลูกค้าชาวไทยจำนวนหนึ่งลดความคิดถึงเมืองไทยไปได้บ้าง
อีกด้านของชั้นล่างเป็นโซนเล็กๆ คล้ายมินิมาร์ตสำหรับขายวัตถุดิบในการประกอบอาหารไทย รวมไปถึงน้ำซอสปรุงรสสําเร็จรูปที่ทางร้านบริการจัดจำหน่ายเพื่อความสะดวกสำหรับคนไทยในต่างแดนที่โหยหารสชาติอาหารไทย และปาจรีย์มักนำซอสพวกนั้นติดไม้ติดมือกลับไปที่อพาร์ตเมนต์เสมอ
ช้อนสีเงินในมือเล็กของหญิงสาวรีบจ้วงตักน้ำพริกกุ้งสดที่วางอยู่หน้ามารดามาไว้ในจานของตัวเอง ก่อนจะหยิบผักแนมที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างดีจากอีกจานมาวางเคียง เธอใช้ส้อมในมืออีกข้างเขี่ยสองสิ่งที่เพิ่งตักมาวางบนช้อนอีกครั้งพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ควันฉุยส่งเข้าปากคำโตแล้วเคี้ยวอย่างมีความสุข
“แม่ หนูมีแฟนแล้วนะ” หญิงสาวบอกมารดาขึ้นมาลอยๆ ทั้งที่เธอยังเคี้ยวน้ำพริกกุ้งสดคำนั้นไม่หมด
แกร๊ง!
เสียงช้อนในมือของมารดาตกกระทบจานกระเบื้องที่วางอยู่ด้านหน้าของนาง เงยหน้ามองลูกสาวอย่างแปลกใจ ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่นางเลี้ยงลูกสาวในต่างบ้านต่างเมือง ปาจรีย์ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับมารดาเลยสักครั้ง
“ว่าอะไรนะ” นางปรานีถามย้ำ
“แม่ฟังไม่ผิดหรอก เดียร์กำลังมีความรัก” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนดวงหน้า แววตามีประกายสดใสอย่างเห็นได้ชัด
“พูดแบบนี้ก็แปลว่าพร้อมที่จะพามาแนะนำให้แม่รู้จักแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ พร้อมกับตักกะหล่ำปลีผัดน้ำปลามาวางไว้ในจาน เอื้อมมือไปตักน้ำพริกกุ้งสดมาวางข้างบนแล้วรวบเข้าในช้อนและส่งเข้าปากอีกครั้ง
“หิว...ขอกินก่อนค่ะแม่” หญิงสาวตอบมารดากลับไปอีกเรื่อง
“แม่ไม่สนุกนะเดียร์” เสียงของนางปรานีเริ่มเข้มขึ้น
หญิงสาววางช้อนในมือลงบนจานกระเบื้องที่มีข้าวสวยวางอยู่ ก่อนจะเงยหน้ามองมารดา “ยังไม่พร้อมที่จะพามาแนะนำให้แม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เขาทำให้หัวใจของเดียร์สดใสและมีความสุข อย่างนี้เขาเรียกว่าความรักหรือเปล่าคะแม่”
นางปรานีอมยิ้มให้ลูกสาว พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูดออกมา “เดียร์ยังจำคำสอนของแม่ได้ไหม”
“จำได้ค่ะแม่ อย่ารักใครเกินกว่าตัวเอง และเผื่อใจเอาไว้เจ็บบ้าง อย่ายึดติดกับความรักและคิดว่ามันเป็นสมบัติของตัวเอง พร้อมที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติ” หญิงสาวทวนคำสอนของมารดาพลางสบตานางอีกครั้ง
“เพราะอย่างนี้เดียร์ถึงอยากดูให้มั่นใจเสียก่อน เดียร์จะไม่รีบร้อนในเรื่องความรัก” หญิงสาวบอกมารดาเสียงหนัก
“แม่เชื่อในการตัดสินใจของเดียร์ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่พร้อมที่จะรับฟังและอยู่เคียงข้างเดียร์เสมอ”
“ขอบคุณค่ะแม่” หญิงสาวบอกขอบคุณมารดาอีกครั้ง
“กินข้าวต่อเถอะ แม่ขอไปดูในครัวก่อน ถึงเวลาเปิดร้านแล้ว ไม่รู้ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างหรือยัง” นางปรานีบอกลูกสาว โดยไม่รอคำตอบนางก็ลุกขึ้นเดินไปจากตรงนั้นทันที
ปาจรีย์หันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าของเธอต่ออย่างมีความสุข อาหารของแม่ รสมือของแม่สร้างความสุขให้คนเป็นลูกอย่างเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะปรุงอาหารได้รสชาติดีไม่แตกต่างจากมารดาก็ตาม
หญิงสาวแหงนหน้ามองสเตเดียมด้วยแววตาเป็นประกายสดใส วันนี้เป็นวันเริ่มต้นทำงานของเธอวันแรก หลังจากที่ไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาที่นี่เกือบยี่สิบวันนับจากวันที่โดนไล่ออกวันนั้น และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายในชีวิต จนวันที่เธอกลับมาและได้คุยกับอันโตนิโอ
วันนี้เธอพร้อมที่จะทำงานที่นี่อีกครั้ง ในตำแหน่งที่เธอยอมแลกกับสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง แม้จะบอกตัวเองว่าเธอไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนั้น แต่ในความรู้สึกลึกๆ มันก็คือสิ่งสำคัญที่สุดของลูกผู้หญิงอยู่ดี
หญิงสาวก้าวเดินเข้าไปอย่างมาดมั่น ความมั่นใจของเธอกลับมาเต็มร้อยอีกครั้ง จะเรียกได้ว่ามันเกินร้อยมากกว่าเดิมเสียอีกก็ไม่ผิดนัก
คนที่เคยถูกไล่ออกเดินผ่านพนักงานไปหลายคน ทุกคนมองเธออย่างแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครหยุดทักทาย กระทั่งมือเล็กของเธอยกบัตรแตะที่หน้าห้องพร้อมกับเครื่องมือทันสมัยส่งเสียงดังเป็นสัญญาณ
หญิงสาวผลักกระจกบานหนาเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องมองเธออย่างประหลาดใจ ตอนนี้โต๊ะทำงานที่เธอเคยนั่งประจำมีหญิงสาวนางหนึ่งมานั่งประจำแทนที่ และเธอก็จำได้แม่นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่เธอกล่าวหาว่าขี้เกียจ
ทว่าวันนี้ผู้หญิงคนนั้นกลับดูแปลกตาไปกว่าเดิม ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มเพียงบางเบา แต่ปาจรีย์ก็คิดว่าเธอสวยดูดีมากกว่าวันที่เจอนั่งแต่งหน้าอยู่หน้าห้องทำงานของประธานสโมสร
เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวปาจรีย์ก็นึกย้อนไปถึงเรื่องที่เธอคอมเพลนเจ้าหล่อนวันนั้น คิดมาถึงตรงนี้ก็อดนึกขำตัวเองไม่ได้ ที่ทำลงไปในตอนนั้นเพราะความรู้สึกโดยแท้
ปาจรีย์ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเธอจะนั่งทำงานตรงไหน ความคิดของหญิงสาวตกตะกอนพร้อมกับเรียวขาสองข้างก้าวฉับๆ ไปที่ห้องทำงานของเอเดน เจ้านายโดยตรงของเธอ และเป็นคนที่จะตอบคำถามเธอได้ดีที่สุดในเวลานี้