พชรถือโอกาสเข้ามาในบ้านที่ไม่ได้มาหลายปีแล้ว ทุกอย่างก็ยังคงเดิม วราลีรักษาบ้านได้อย่างดี ไม่ดูทรุดโทรม ร่างสูงหยุดมองดูรูปภาพในกรอบหลุยส์สีทองที่แขวนอยู่บนผนัง เป็นภาพขนมชั้นแต่งกายด้วยชุดบัณฑิตน้อย ในมือมีช่อกุหลาบสีชมพู ฝั่งซ้ายเป็นภาพของวราลี
“หึ!”
พชรส่ายหน้า เดี๋ยวเขาจะจัดการคนโกหกให้หน้าหงาย ดวงตาคมกริบมองกรอบภาพอีกหลายภาพ มีแต่ภาพสองแม่ลูกเต็มไปหมด ไม่ปรากฏภาพของผู้ชายที่อ้างว่าเป็นพ่อของขนมชั้นเลยสักภาพเดียว เป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะไม่เคยถ่ายรูปกับลูกเลย
วราลีที่รีบจ้ำตามมามองแผ่นหลังที่เคยคุ้นเคยอยู่ช่วงหนึ่งแล้วถอนใจ เห็นยืนมองกรอบรูปที่ผนังก็เดาออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไร เธอยังไม่ทันถาม เขาก็หันมาถามเธอก่อน
“แปลกนะ สามีของคุณเป็นคนยังไง ไม่เคยถ่ายรูปร่วมกับคุณกับลูกสาวบ้างเหรอ”
“หมอเขางานยุ่ง” รู้ว่าโกหกไม่เก่ง แต่ก็อยากจะกันเขาออกไปนอกกรอบชีวิตของเธอกับลูก
เขาหันกลับมามองหน้าหวานๆ แบบไทยๆ หน้าเดิมๆ ที่ไม่เคยผ่านมีดหมอเหมือนสาวยุคใหม่สมัยนี้
“อ๋อ สามีใหม่ของคุณเป็นหมอด้วยเหรอลี แล้วถ้าหมอหน้าแตก หมอด้วยกันเขาจะรับเย็บไหม”
เขาพูดเหมือนมั่นใจว่าไม่เชื่อเรื่องที่เธอกับธีรกานต์แต่งขึ้น
“นี่คุณพชร คนเป็นหมอเขามีจรรยาบรรณแพทย์ ใครหน้าแตก เขาก็เย็บให้ทุกคนนั่นแหละ แต่ถ้าหน้าแตกจากการสงสัยไม่เข้าท่า ทึกทักเอาเองว่าเป็นพ่อของลูกชาวบ้าน เคสแบบนี้ หมอที่ไหนเขาก็ไม่รับเย็บนะคะ”
พชรอึ้งเล็กน้อย ไม่ได้เจอหลายปีวราลีฝีปากกล้าขึ้น ยิ่งหญิงสาวขึงตาใส่ทำเหมือนไม่กลัว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอกำลังปิดบังเรื่องใหญ่เอาไว้
“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะหน้าแตก หน้ายับ” เขาก้าวตรงไปยังห้องโถงอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน ถ้าวันนี้เขาไม่รู้เรื่องที่ค้างคาใจคงนอนไม่หลับ
ร่างสูงไม่คิดจะเสียเวลาฟังคำโกหกของวราลีอีก พชรเห็นขนมชั้นนั่งตัวกลมอยู่ที่โซฟาโดยมีธีรกานต์นั่งอยู่ใกล้ๆ กำลังหัวร่อต่อกระซิก ช่วยกันปั้นอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่เรียกว่าเซนส์มันยิ่งแรงกว่าเดิม ทำไมเขาถึงเชื่อว่าหมอนั่นกำลังโกหกคำโต
“คุณพชร นี่คุณจะไปไหน ที่นี่มันบ้านฉัน กลับไปได้แล้วค่ะ”
เขาหัวเราะเสียงเครือๆ เหลียวมองเธอที่เดินขนาบข้าง “ขนมชั้นแกบอกว่าจะปั้นขนมลูกชุบให้ผมเอากลับไปกินที่บ้าน เดี๋ยวได้ของฝากก่อนแล้วผมค่อยกลับ”
“ถ้าอยากกินเดี๋ยวฉันให้คนเอาไปส่งให้ที่บ้านก็ได้”
“ไม่ได้อยากกินฝีมือคุณ อยากกินฝีมือขนมชั้น อยากดูเด็กปั้นขนมลูกชุบขายหาเงินส่งแม่เรียน”
“คุณพชร” วราลีหน้าซีดเป็นกระดาษเอสี่ยังไม่ถูกพิมพ์
พชรมองหน้าวราลีที่สีหน้าเหมือนจะร้องไห้เพราะถูกเขาแซวแรง
“ภูมิใจสิคุณ แม่คนอื่นเขาส่งลูกเรียน คุณมีลูกส่งเรียน เจ๋งจริง”
“คนบ้า” ใบหน้าซีดขาวเวลานี้เห่อแดงขึ้นทันที
พอเห็นหน้าวราลีใกล้ๆ รอยแดงระเรื่อที่สองแก้มเวลาหญิงสาวอาย ความรู้สึกเก่าที่พยายามฝังกลบไปแล้วมันกลับพวยพุ่งขึ้นมาราวกับเดินไปเจอตาน้ำผุดที่ซึมออกมาไม่หยุด ที่แท้เขาไม่เคยลืมหน้าไทยๆ สวยใสไร้เสน่ห์ของเธอคนนี้ได้เลย เขากำลังจะขยับปากแซวแม่ของขนมชั้นว่า ถ้าต่อไปขาดค่าเทอม แค่มากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขาก็พอ แต่ยั้งคำพูดนั้นไว้เมื่อนึกถึงสาเหตุที่เลิกกัน
พชรเดินไปตรงหน้าแม่หนูตัวกลม เห็นภาชนะอะลูมิเนียม ข้างในมีถั่วกวนเนื้อละเอียด ตรงกลางทำหลุมเว้นที่ว่างเอาไว้ใส่เทียนอบ วราลีอบควันเทียนไว้เมื่อเช้า ตอนเย็นก็จะมาช่วยกันปั้นกับลูกสาวอย่างนี้ทุกวัน
แรกๆ วราลีไม่ได้ให้ขนมชั้นช่วยทำขนมหรอก เพราะแกยังเล็ก ทั้งที่แกคอยมาวนเวียนขอทำด้วยเสมอ วราลีเกรงว่าลูกจะเหนื่อย แล้วขนมจะออกมาไม่สวย หาคนซื้อไม่ได้ แต่หมอธีรกานต์ ลูกค้ารายใหญ่ที่ช่วยเกื้อหนุนน้องสาว แนะนำว่าการปั้นจะช่วยในเรื่องสร้างกล้ามเนื้อมือให้เด็กเป็นอย่างดี เธอจึงเริ่มให้ขนมชั้นลองทำตั้งแต่นั้นมา แรกๆ ก็ดูไม่เป็นผลไม้นัก แต่ไม่นาน แม่หนูก็พัฒนาฝีมือจนปั้นได้สวยเหมือนผู้ใหญ่
“กำลังปั้นลูกชุบให้ลุงใช่ไหมครับคนเก่ง” เสียงทุ้มแต่นุ่มดังขึ้น
แม่ตัวกลมเหลือบตามองเห็นลุงใจดีเข้ามาหาถึงในบ้าน “ใช่ค่ะ เดี๋ยวขนมชั้นจะปั้นลูกชุบให้คุณลุงเอากลับไปกินที่บ้านแลกกับชมพู่ค่ะ”
“ต้องอร่อยแน่” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
ไม่มีใครเชิญให้นั่ง แต่พชรทิ้งบั้นท้ายลงบนโซฟาใกล้ๆ ขนมชั้น หันมายิ้มหวานให้เขาอีกครั้ง “คุณลุงขา คอยดูนะคะ”
แล้วรีบหยิบถั่วกวนมาปั้นอย่างชำนาญ ไม่นานถั่วกวนที่ปั้นเป็นชมพู่จิ๋วแต่สวยเหมือนจริงก็ถูกยื่นให้พชร ส่วนหมอธีรกานต์หยิบถั่วกวนขึ้นมาปั้นเป็นรูปพริกเพราะง่ายสุด
“ลูกสาวผมแกปั้นเก่งครับ กิจกรรมครอบครัวน่ะครับคุณ จริงไหมลี” เขาเหลือบมองน้องสาวที่ไม่รู้ว่าทำไมท่าทางตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์ โกหกไม่เนียนแบบนี้ยังจะชวนเขามาร่วมก๊วนโกหกอีก
“ค่ะ”
พูดแค่นั้นก็ปลีกตัวไปทางตู้เย็น เธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เขากลับไปโดยเร็วที่สุด ใช่ๆ เอาน้ำให้กินสักแก้ว เขาจะได้ไม่มีข้ออ้างตำหนิเธอว่ามาถึงบ้าน น้ำสักแก้วก็ไม่ได้กิน คิดดังนั้นก็หยิบแก้วน้ำมารินน้ำเย็น ทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด แม้จะรู้ว่ามันอาจจะสายไปแล้วก็ตาม
พชรเหลือบตามองชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อขนมชั้นแล้วสังเกตเห็นถั่วที่เลอะติดตามมือ เหมือนคนไม่เคยทำมากกว่าจะสอนลูกปั้นจนชำนาญ เขาเหลือบตามองคนที่จำใจเอาน้ำเย็นใส่แก้วมาวางตรงหน้า
พชรหยิบแก้วน้ำด้วยมืออีกข้าง เหลือบมองวราลีเล็กน้อย
“ไม่ได้วางยาผมใช่ไหม”
“ไม่กินก็ได้ค่ะ”
พชรยกดื่มจนหมดแก้วแล้ววางลง ธีรกานต์มองพ่อของหลานแล้วแอบหนักใจ ไม่รู้หมอนี่เป็นคนแบบไหน แต่บอกได้เลยว่าน่ากลัว รังสีจับผิดมันแผ่ออกมาจากตัวพชรจนรู้สึกได้ หรืออาจเป็นชนักติดหลังเขากับน้องสาวก็ไม่รู้
พชรดื่มน้ำหมดแก้วแล้วหันไปสบตากับหมอธีรกานต์ “ขนมชั้นปั้นเก่ง มีความสามารถในการปั้นมาก”
เขามองชมพู่จิ๋วในมือ เผลอเดี๋ยวเดียวขนมชั้นก็ปั้นมะละกอลูกเล็กส่งให้อีก พชรก็ชมไม่หยุด
“เหมือนมากเลยครับ มะละกอจิ๋ว น่ากินจริงๆ” แล้วเหลือบมองธีรกานต์ที่ปั้นเป็นแต่พริก “คุณหมอก็ปั้นเก่งนะครับ”
ธีรกานต์มองถั่วกวนที่ปั้นเป็นรูปพริกในมือแล้วยิ้มฝืดให้พชร เขามีหน้าที่กิน มาอุดหนุนน้องสาวไปแจกพยาบาลสาวๆ อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยปั้นสักที เวลานี้แม้แต่หมอธีรกานต์ก็รู้สึกว่าเหงื่อกำลังซึมเต็มแผ่นหลัง เขาไม่ชอบดวงตาราวกับเครื่องจับเท็จของหมอนี่เลย แต่ต้องจำใจตอบกลับ
“ขอบคุณครับ”
พชรผุดยิ้มหยันให้อีกฝ่าย “ปั้นเก่งจริงๆ ครับ ปั้นน้ำเป็นตัวเลย”