บทที่ 1 บทนำ
ชีวิตของกูหลี่เอ๋อร์ตั้งแต่เกิดมาหากจะนับว่าโชคร้ายที่สุดก็ว่าได้ หรือหากจะนับว่าโชคดีที่สุดก็สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะนางเป็นเด็กกำพร้าไร้ซึ่งบิดามารดายังถูกญาติผู้หนึ่งนำมาเลี้ยงดู ญาติผู้นั้นของนางเป็นถึงฮูหยินของเจ้าเมืองผู ชีวิตของนางจึงนับว่าสุขสบายตามแบบฉบับคุณหนูผู้หนึ่ง ทว่าต่อมาไม่นานเจ้าเมืองผูผู้นั้นกลับทำเรื่องต่ำช้า คิดก่อกบฏ จนถูกทางการจับกุมตัวและสังหาร
ครานั้นจวนเจ้าเมืองผูถูกไฟไหม้คนในจวนสิ้นชีพ โชคดีนางยังรอดชีวิตได้สหายของญาติผู้นั้นช่วยเหลือ กูหลี่เอ๋อร์กลายเป็นเด็กกำพร้าอีกครั้ง นางสิ้นไร้หนทางสูญสิ้นคนในครอบครัว หากเป็นคนทั่วไปก็นับว่าชะตากรรมนี้ช่างน่าสงสารนัก ทว่าวาสนาของนางกลับพลิกผันเมื่อสหายของญาติผู้นั้นกลับมีฐานะเป็นถึงฮองเฮาของแคว้นฉิน
กูหลี่เอ๋อร์บัดนี้จึงกลายเป็นหลี่เอ๋อร์จวิ้นจู มีฐานะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ อีกทั้งนางยังรั้งตำแหน่งคู่หมั้นขององค์รัชทายาทโจวหลิวหยางผู้ที่จะเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นในอนาคต เช่นนี้แล้วนับว่ากูหลี่เอ๋อร์มีวาสนาสูงส่งเป็นหงส์ฟ้าเหนือสตรีใดในโลกนี้ก็ว่าได้
ในอดีตนางได้พบกับโจวหลิวหยางครั้งแรกเมื่ออยู่ในจวนอดีตเจ้าเมืองผู เมื่อตอนที่โจวหลิวหยางติดตามฮองเฮาหลิวฉูฉู่ไปพร้อมกับฝ่าบาท
สิ่งที่นางจำได้ไม่มีวันลืม คือโจวหลิวหยางผู้ใจดีและเครื่องบินกระดาษของเขาที่ทำให้นางยิ้มได้
บุรุษผู้นี้ช่างอ่อนโยนยิ่งนัก แน่นอนว่าตั้งแต่นั้นกูหลี่เอ๋อร์ก็มอบหัวใจทั้งหมดของตัวเองให้เขาไปแล้ว แต่นางได้แต่เก็บงำความรักนี้เอาไว้ในใจ ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดได้ล่วงรู้ มิหนำซ้ำนางยังแอบคิดว่าโจวหลิวหยางเองก็อาจจะมีใจให้นางเช่นกัน
เพราะคำสั่งของฮองเฮา กูหลี่เอ๋อร์ในฐานะหลี่เอ๋อร์จวิ้นจู ที่แต่เดิมช่วยดูแลกิจการค้าขายไกลถึงเมืองผูจึงได้กลับมาเพื่อเตรียมเข้าพิธีอภิเษกสมรส นางทั้งตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่วันที่ประกาศหมั้นหมายนางก็ถูกส่งตัวกลับมาเมืองผูเพื่อดูแลกิจการค้าขายลับของฮองเฮาหลิวฉูฉู่เช่นเดิม
กระทั่งสองปีต่อมาเมื่อนางมีอายุได้สิบแปดปีวันอภิเษกสมรสเป็นพระชายารัชทายาทของนางก็ได้กำหนดขึ้นแล้ว หนึ่งปีต่อจากนี้นางจำต้องเข้าพิธีแต่งงาน เพราะฉะนั้นบัดนี้นางต้องเข้าวังหลวงเพื่อฝึกฝนตัวเองเพื่อรับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท
ทว่าเมื่อได้พบหน้ากันกูหลี่เอ๋อร์กลับสัมผัสถึงความห่างเหินและเย็นชาของว่าที่สามีในอนาคต บุรุษที่เพียงมองผ่านหน้าและไม่ชายตาแลนางแม้แต่น้อย
หลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทและฮองเฮาเพื่อร่วมโต๊ะเสวยแบบครอบครัวนางก็ถูกฮองเฮารั้งตัวเอาไว้
หลิวฉูฉู่บัดนี้มีอายุใกล้จะสี่สิบปีแล้ว ทว่านางยังคงเป็นสตรีใบหน้าอ่อนเยาว์และงดงามเฉกเช่นสาวน้อย ด้วยนิสัยร่าเริงและลักษณะเฉพาะของนางทำให้ฮ่องเต้โจวจื่อเหลียงไม่ยอมรับพระสนมคนใดเลยแม้แต่คนเดียว
และเพราะนางธรรมเนียมปฏิบัติในรัชสมัยของฝ่าบาทโจวจื่อเหลียงก็เริ่มเปลี่ยนไป ขุนนางคนใดที่มีภรรยามากเกินไปก็คล้ายจะถูกดูแคลน เพราะแม้แต่โอรสสวรรค์ยังรักหมั่นในสตรีเพียงคนเดียว
หลิวฉูฉู่ก็หวังว่าบุตรชายของนางจะเป็นเช่นสามีของตน ไม่ต้องการให้โจวหลิวหยางมีสตรีอื่นให้กูหลี่เอ๋อร์เสียใจ
ณ ตำหนักชมสวน
ไอน้ำพวยพุ่งเป็นสายออกมาจากกาต้มชาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ หลิวฉูฉู่รินชาให้บุตรชายและบุตรสาวบุญธรรมที่อีกไม่นานก็จะกลายมาเป็นลูกสะใภ้ด้วยใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม
"ชานี่เป็นของดีจากประเทศอังกฤษ เป็นของที่แม่สั่งหลี่เอ๋อร์เอาไว้ว่าให้หามาให้ สุดท้ายก็หามาจนได้ ไม่มีใครเก่งเท่าหลี่เอ๋อร์ของแม่แล้ว"
เพราะหลิวฉูฉู่เป็นคนที่มาจากโลกอนาคต นางจึงรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี และได้สั่งสอนกูหลี่เอ๋อร์เอาไว้ ในขณะที่กูหลี่เอ๋อร์รับน้ำชามาจากมือของหลิวฉูฉู่กล่าวขอบพระทัย จากนั้นหลิวฉูฉู่ก็รินน้ำชาให้บุตรชาย โจวหลิวหยางรับไป หลิวฉูฉู่มองหน้าคนทั้งสองเอียงคอถามด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนโยน
"อร่อยหรือไม่ รสชาติเป็นอย่างไร"
กูลี่เอ๋อร์ตอบว่า
"ดื่มแล้วชื่นใจยังมีรสหวานติดอยู่ที่ปลายลิ้นเพคะ"
หลิวฉูฉู่หันมามองบุตรชาย
"แล้วหยางเอ๋อร์เล่าเจ้าว่าเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่"
โจวหลิวหยางพยักหน้ารับ
"ชอบพ่ะย่ะค่ะ รสชาติหวานติดปลายลิ้นอย่างที่น้องหลี่เอ๋อร์กล่าว ยังชุ่มคอเป็นอย่างยิ่ง"
หลิวฉูฉู่อมยิ้ม จู่ ๆ ก็ถามคำหนึ่งออกมา
"ชอบชาแล้วชอบคนที่นำชามาหรือไม่"
จากนั้นก็มองหน้าบุตรชาย ในขณะที่กูหลี่เอ๋อร์ใบหน้าแดงซ่าน นางก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกำมือแน่น
โจวหลิวหยางถูกมารดาคาดคั้นด้วยสายตา เขาไม่อาจไม่ตอบ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดเช่นไร
"เสด็จแม่ คำถามนี้ไม่สมควรถามต่อหน้าให้คนเขินอาย น้องหลี่เอ๋อร์เป็นสตรีนะพ่ะย่ะค่ะ"
"แม่ถามเจ้า ไม่ได้ถามนางเสียหน่อย หยางเอ๋อร์เจ้าว่านางเป็นอย่างไร คิดอย่างไรก็พูดตามนั้น แม่ไม่ชอบบังคับใครลูกก็รู้ ไม่นานพวกลูกสองคนต้องเข้าพิธีสมรส หากสองคนไม่ชอบกันแม่จะได้มองหาคนอื่นให้ที่เจ้าพึงใจแยกพวกเจ้าออกจากกันเสีย การแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักแม่ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว พวกเจ้าจะทุกข์ใจกันเปล่า ๆ"
โจวหลิวหยางเอ่ยถาม
"แล้วเสด็จพ่อเล่า และขุนนางพวกนั้นอีก"
หลิวฉูฉู่หัวเราะเสียงใส
"การแต่งงานลูกข้าทั้งสอง เกี่ยวอันใดกับคนนอกพวกนั้น เสด็จพ่อของเจ้ายิ่งไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ล้วนเป็นแม่ที่ตัดสินใจเพียงคนเดียว"
โจวหลิวหยางย่อมรู้ เสด็จพ่อตามใจเสด็จแม่เพียงใด ในขณะที่เขารู้ดีว่าเสด็จแม่ดีต่อเขามาก เขาจึงเกิดอาการอึกอักไม่รู้จะตอบเช่นใด
คนที่อยู่ในใจของเขานั้นหรือ... เขาไม่กล้าเอ่ยและไม่เอื้อมอาจคิดกับนางไปมากเกินกว่าน้องสาว
เขาย่อมรู้ว่ามารดารักและหวังดีกับเขาเพียงใด มารดาของเขาผู้นี้ แม้จะเป็นเพียงมารดาเลี้ยงแต่ก็คือคนที่รักเขาด้วยใจจริง ทั้งยังช่วยให้เขารอดพ้นจากความตาย บุญคุณและความรักนี้ต่อให้ต้องใช้ชีวิตตอบแทน โจวหลิวหยางก็ยังคิดว่าน้อยเกินไป ในที่สุดก็ตอบส่ง ๆ ออกไปว่า
"น้องหลี่เอ๋อร์ดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ"
หลิวฉูฉู่ยิ้ม ถามจี้เข้าไปอีกครั้ง
"ที่ว่าดี ดีตรงที่ใด หน้าตาหรือ"
"หน้าตานางงดงามพ่ะย่ะค่ะ"
"แล้วนิสัยล่ะ เจ้าชอบหรือไม่ ในแคว้นฉินมีคนงามมากมายแต่คนที่จะมาเป็นภรรยานิสัยย่อมต้องถูกใจเจ้าเสียก่อนจึงจะแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาได้"
โจวหลิวหยางยิ้มบาง แต่หลิวฉูฉู่ก็รู้ว่ารอยยิ้มนี้มีไว้เพื่อเอาอกเอาใจนางเท่านั้น มิได้แสดงออกมาด้วยความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
"นิสัยนับว่าดีมากพ่ะย่ะค่ะ"
หลิวฉูฉู่ถอนหายใจ นางเลี้ยงโจวหลิวหยางมาจนโต ไยนางจะไม่รู้ว่าบัดนี้บุตรชายของนางคิดอย่างไร การแต่งงานในครั้งนี้เขาแต่งเพราะนางจัดสรรให้ก็เท่านั้น
ในขณะที่กูหลี่เอ๋อร์คิดอย่างไร หลิวฉูฉู่เองก็รู้ สตรีนางนี้มีใจให้บุตรชายของเขาจนเต็มเปี่ยม ไม่ต้องถามให้เมื่อยปาก และกูหลี่เอ๋อร์ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้โจวหลิวหยางรักนางในสักวันหนึ่ง
แต่ว่า สักวันหนึ่งของกูหลี่เอ๋อร์เมื่อไหร่จะมาถึงกัน
หลังจากนั้นหลิวฉูฉู่ก็ลุกขึ้น นางกำนัลรีบมาพยุงหลิวฉูฉู่เอ่ยว่า
"พวกเจ้าสองคน ไม่ได้พบกันนานเช่นนั้นก็พูดคุยเพื่อให้คุ้นเคยกันเถิด"
ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน เมื่อในที่สุดกูหลี่เอ๋อร์ก็ได้อยู่เพียงลำพังกับบุรุษที่ตนเองเฝ้าคิดถึงมาเนิ่นนาน แม้นางจะสวมใส่อาภรณ์ที่อบอุ่นทว่ากลับรู้สึกถึงมืออันเย็นเฉียบของตนเองและหัวใจที่เต้นระรัว นางยังคงนั่งก้มหน้ามือไม้แข้งขาคล้ายจะอ่อนแรง
เมื่อสักครู่จากคำถามของฮองเฮาและคำตอบขององค์รัชทายาท ทำให้กูหลี่เอ๋อร์แทบจะกลายร่างเป็นกุ้งต้มสุก ด้วยบัดนี้ร่างกายแดงก่ำไปทั้งตัว
ความจริงนางมิใช่สตรีขี้อาย เพราะคนที่เลี้ยงดูนางมาคือฮองเฮาหลิวฉูฉู่ผู้ไร้ยางอายผู้นั้น ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขากูหลี่เอ๋อร์กลับกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
"เงยหน้าขึ้นเถิด เสด็จแม่ไม่อยู่แล้วเราสองคนไม่จำเป็นต้องแสดงงิ้วกันอีก"
น้ำเสียงทุ้มนั้นทำให้นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ และหันไปมองเขา
"ท่านพี่หมายความว่าอย่างไรเพคะ"
"ข้ากับเจ้า เราสองคนแม้จะบอกว่าไม่ได้ถูกบีบบังคับ แต่ด้วยความรักที่มีต่อเสด็จแม่จึงไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ให้นางเสียใจ ดังนั้นก็นับว่าเราเป็นพวกเดียวกัน"
"ท่านหมายความว่าอย่างไร"
กูหลี่เอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ มองเขาด้วยความสงสัย โจวหลิวหยางยกยิ้มเย็น ใบหน้าเรียบเฉย
"กูหลี่เอ๋อร์เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือ ว่าข้ามิได้ชอบเจ้าเลยสักนิด"