เด็กสาวจ้องมองเขาตาแป๋ว คำนั้นของเขานางล้วนได้ยินมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว แม้ใจจะรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ได้ยิน ทว่าในเมื่อเขายังไม่มีคนอื่นหัวใจของนางก็ดื้อรั้นนัก นางยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง
"แล้วอย่างไรเพคะ ชอบแล้วอย่างไร ไม่ชอบแล้วอย่างไร ในเมื่อเป็นท่านพี่ไม่ปฏิเสธคำขอของเสด็จแม่ และข้าเองก็ยินดีที่จะแต่งกับท่านสุดท้ายแล้วก็เป็นเราสองคนไม่ใช่หรือที่ต้องเลือกเอง"
เขามองนางด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ
"หากข้าบอกเสด็จแม่และขอยกเลิกงานแต่งนี้ หลี่เอ๋อร์เจ้าเป็นสตรีต้องเสียหน้าเพียงใด สตรีที่ถูกบุรุษปฏิเสธอนาคตย่อมไม่มีผู้ใดอยากแต่งด้วยอีก แต่หากเจ้าเป็นฝ่ายเอ่ยปาก ศักดิ์ศรีของเจ้าย่อมไม่ถูกดูแคลน"
กูหลี่เอ๋อร์หัวเราะขัน
"มิต้องมาห่วงใยหลี่เอ๋อร์ในเรื่องนี้เพคะ ต่อให้ต่อไปไม่ได้แต่งกับผู้ใดหลี่เอ๋อร์ก็พึ่งพาตนเองได้"
"หลี่เอ๋อร์เจ้ายังดื้อรั้น ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย"
กูหลี่เอ๋อร์เชิดใบหน้าขึ้น ทั้งยังกอดอก
"ท่านพี่ก็เช่นกันไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย คิดจะให้ข้าเป็นฝ่ายปฏิเสธและล้มเลิกงานแต่งนี้หรือ ท่านพี่ประเมินหลี่เอ๋อร์ต่ำเกินไปแล้ว ท่านบอกไม่ชอบข้าแต่ข้าก็ไม่เห็นว่าในใจของท่านจะมีผู้ใด อีกทั้งเสด็จแม่ก็ต้องการให้ข้าแต่งกับท่าน เพื่อตอบแทนบุญคุณเสด็จแม่หลี่เอ๋อร์ย่อมต้องทำตาม ชีวิตของหลี่เอ๋อร์ล้วนเป็นเสด็จแม่ที่มอบให้ ท่านอย่าได้บังคับให้ข้าทำเรื่องที่เสด็จแม่ไม่สบายพระทัย ข้าไม่เอ่ยปากก่อนเป็นแน่ หากท่านไม่ต้องการไยท่านไม่พูดเองเล่า"
จากนั้นนางก็มองค้อน ใบหน้างามบึ้งขึ้นเล็กน้อยอย่างอวดดีแล้วลุกขึ้นเดินไปชมดอกไม้ ท่าทางไม่สนใจที่จะสนทนากับเขาต่อแล้ว
โจวหลิวหยางลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งขยับมายืนเบื้องหน้านาง เขาค่อย ๆ โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาหานางช้า ๆ นางยังไม่ยอมสบตาเขา โจวหลิวหยางจึงเชยคางมนแล้วบีบบังคับเล็กน้อย ตรึงใบหน้างามเอาไว้ให้สบตา
"หลี่เอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าข้าเองก็ไม่อาจเอ่ยได้ทั้งหมดส่งผลต่อเจ้าอย่างไรเจ้าก็นับเป็นน้องสาวผู้หนึ่งของข้า ในเมื่อเจ้าดื้อรั้นเช่นนี้ก็ได้ หนึ่งปีต่อจากนี้ก่อนเข้าพิธีสมรสข้าจะทำให้เจ้ารู้เองว่า โจวหลิวหยางมิได้คู่ควรให้เจ้ามอบหัวใจให้เลยแม้แต่น้อย ข้าจะทำให้เจ้าล่าถอยไปเอง"
กูหลี่เอ๋อร์เห็นเป็นเรื่องขบขัน ทั้งยังรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่ถูกคนจับได้ว่านางชอบเขา แต่คนเช่นนางก็ไม่ยอมเสียหน้าง่าย ๆ เช่นกัน
"ท่านพี่เข้าใจผิดแล้วทั้งยังหลงตนเองยิ่ง หลี่เอ๋อร์ไม่ได้คิดมีใจให้ท่าน เพียงแต่การแต่งงานของสตรีล้วนต้องเชื่อฟังบิดามารดาพึ่งพาแม่สื่อ ในเมื่อหลี่เอ๋อร์เป็นคนกตัญญูเสด็จแม่ตรัสเช่นไรหลี่เอ๋อร์ย่อมปฏิบัติตาม ท่านพี่อย่าได้หลงตนเองคิดว่าหลี่เอ๋อร์มีใจให้ท่านสิเพคะ หนึ่งปีต่อจากนี้ไม่แน่ว่าคนที่ไม่อาจตัดใจได้อาจเป็นท่านก็ได้"
โจวหลิวหยางหัวเราะเบา ๆ ทว่าใบหน้าเรียบเฉย
"ได้เป็นข้าที่เข้าใจผิด แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าคนที่หลงตนเองเห็นจะเป็นเจ้าเสียมากกว่า ได้ เช่นนั้นหนึ่งปีต่อจากนี้เราสองคนมาคอยดูว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอ่ยเช่นไร"
กล่าวจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
กูหลี่เอ๋อร์มองตามร่างสูงโปร่งขององค์รัชทายาทจนลับตาแล้วถอนหายใจออกมา
"คนใจดำ"
นางได้แต่ก่นด่าเขาเพียงลำพัง เสี่ยวเหมยนางกำนัลคนสนิทขยับมารินชาให้นายของตนพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยความสงสาร
"องค์หญิง ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่มีใจไยองค์หญิงต้องอดทนเพคะ"
นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า
"ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะหัวใจของข้าได้มอบให้เขาไปแล้วกระมัง"
หลายวันต่อมาจู่ ๆ ก็มีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทพร้อมด้วยพระคู่หมั้นเสด็จในฐานะสามัญชนออกเยี่ยมราษฎรในแดนเหนือ มิหนำซ้ำการเดินทางครานี้ก็เป็นการเดินทางแบบลับ ๆ ไม่ได้ให้ผู้ใดล่วงรู้ คนที่ติดตามองค์รัชทายาทเป็นทหารองครักษ์ฝีมือดีไม่กี่นายเท่านั้น
โจวหลิวหยางเคยปฏิบัติภารกิจเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เขายังนับเป็นชาวยุทธ์ผู้หนึ่ง ทว่าบัดนี้กลับต้องพากูหลี่เอ๋อร์ไปด้วยทำให้เขาค่อนข้างเป็นกังวล
"เสด็จพ่อ การเดินทางยากลำบากจะให้นางติดตามไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้โจวจื่อเหลียงมองบุตรชายด้วยสายพระเนตรจนใจ
"เรื่องนี้เจ้าไปคุยกับเสด็จแม่ของเจ้าเถิด พ่อเองก็แย้งนางไปแล้ว แต่นางยังยืนกรานว่าอย่างไรก็ต้องให้หลี่เอ๋อร์ติดตามเจ้าไปด้วย"
"นางเป็นสตรีจะร่วมทางกับบุรุษได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพ่อโปรดตรัสเรื่องนี้กับเสด็จแม่ด้วย"
"เป็นสตรีแล้วอย่างไร ยามนั้นที่เสด็จพ่อของเจ้าไปที่เมืองผูก็มิใช่เป็นแม่และเจ้าที่ยังเด็กเพียงนั้นติดตามไปหรือ"
ฉับพลันหลิวฉูฉู่ก็ปรากฏกายในตำหนักทรงงานของฝ่าบาทพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง
โจวหลิวหยางรีบทำความเคารพผู้มาใหม่ แต่เดิมประเพณีคือต้องขานชื่อฮองเฮาก่อนเข้าเฝ้า แต่เป็นเพราะว่าหลิวฉูฉู่นางนี้ไม่เคยทำตามธรรมเนียมมาก่อน ท้ายที่สุดแล้วฝ่าบาทจึงให้ยกเว้นการขานชื่อฮองเฮาปล่อยให้นางเข้านอกออกในตำหนักทรงงานได้ตามใจชอบมาเนิ่นนาน
หลิวฉูฉู่ยอบกายเล็กน้อยถวายบังคมฝ่าบาทก่อนจะเดินไปนั่งเคียงข้างเขา ยังถือวิสาสะยกถ้วยน้ำชาของสามีมาดื่มก่อนจะมองไปยังบุตรชายที่คงกำลังคิดหาวิธีโต้แย้ง
"ที่ไม่อยากให้นางติดตามเป็นเพราะสิ่งใดกันแน่"
โจวหลิวหยางจึงเอ่ยว่า
"เสด็จแม่ น้องหลี่เอ๋อร์เป็นสตรีที่บอบบาง การเดินทางของลูกที่ผ่านมาล้วนไปในฐานะชาวยุทธ์ผู้หนึ่งหลายครั้งต้องปะทะกับชาวยุทธ์และโจรป่า ค่ำที่ไหนนอนที่นั่นมิหนำซ้ำหลายครั้งต้องนอนกลางดินกินกลางทรายลำบากอย่างยิ่ง นางจะทนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ"
หลิวฉูฉู่กลับยิ้ม
"กังวลสิ่งใดกัน วรยุทธ์เจ้าสูงส่งสตรีนางเดียวจะปกป้องไม่ได้หรืออีกทั้งหลี่เอ๋อร์ของแม่ยังมีวรยุทธ์ติดกาย แม้จะสู้เจ้าไม่ได้แต่ก็นับว่าไม่เป็นรองผู้ใด อนาคตหลี่เอ๋อร์ต้องดำรงตำแหน่งฮองเฮา ทุกข์สุขราษฎรต้องให้นางได้เรียนรู้ด้วยตนเอง จึงจะสามารถดำรงตำแหน่งอันสูงส่งนี้ได้ หากนางอดทนไม่ได้แม่อนุญาตให้เจ้าไล่นางกลับไปเมืองผูเสีย ดีหรือไม่"
"แต่เสด็จแม่ลูกก็ยังไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งลูกจะขับไล่นางให้กลับเมืองผูได้อย่างไร”
กล่าวจบหลิวฉูฉู่ก็หันไปมองสามีแล้วกระแอม โจวจื่อเหลียงจึงตีสีหน้าขรึมตรัสออกไป
"รัชทายาท นี่คือราชโองการของข้าผู้เป็นโอรสสวรรค์ เจ้ายังไม่คุกเข่ารับราชโองการ ให้ว่าที่พระชายาติดตามไปดูแลทุกข์สุขราษฎรอีก คุกเข่าเดี๋ยวนี้"
กล่าวจบก็พยักพเยิดทำสีหน้าเป็นเชิงขอร้องบุตรชายว่าให้ทำตามที่สั่งเถิด มิเช่นนั้นเรื่องนี้หลิวฉูฉู่ย่อมไม่ยอมรามือแน่ สุดท้ายโจวหลิวหยางก็ถอนหายใจยาว คุกเข่ารับราชโองการแต่โดยดี
โจวหลิวหยางออกจากตำหนักทรงงาน เขายังกลุ้มใจนักด้วยอย่างไรก็ไม่ต้องการให้กูหลี่เอ๋อร์ติดตามตนไปให้เป็นภาระ และคนที่จะช่วยเขาได้ยามนี้คงมีเพียงนางแล้ว
คิดได้ดังนี้โจวหลิวหยางจึงก้าวเท้ายาวเดินตรงไปที่ตำหนักของกูหลี่เอ๋อร์ คิดว่าจะข่มขู่สาวน้อยนางนั้นให้เกรงกลัวและวิ่งไปอ้อนวอนเสด็จแม่ไม่ขอติดตามเขาไปด้วยตนเอง
เมื่อถึงตำหนักองค์หญิงกงกงขานพระนามองค์รัชทายาทเสด็จ เขาถูกเชิญให้ไปรอที่ห้องโถงรับรอง นั่งรอกูหลี่เอ๋อร์อย่างใจเย็น และในยามนั้นเองที่ร่างอรชรของกูหลี่เอ๋อร์โผล่หน้ามา โจวหลิวหยางก็พบว่าตนเองคิดผิดเสียแล้วที่จะมาข่มขู่สตรีนางนี้
นางอยู่ในชุดของชาวยุทธ์สีเหลืองอ่อนทะมัดทะแมง รวบผมตึงเกล้าเหนือศีรษะรัดเกล้าด้วยหยกสีขาวผ่อง ขับเน้นใบหน้าให้งดงามและบริสุทธิ์ขึ้นหลายส่วน บริเวณรอบเอวยังมีกระบี่อ่อนพันรอบโดยรอบ
โจวหลิวหยางรู้ว่านางมีวรยุทธ์แต่ไม่รู้ว่าอยู่ขั้นไหน แต่เมื่อเห็นกระบี่อ่อนก็คิดว่าฝีมือของนางคงจะสูงส่งไม่น้อย มิเช่นนั้นก็คงไม่สามารถควบคุมกระบี่เล่มนั้นได้
เมื่อนางเห็นเขากลับทำสีหน้าตื่นเต้นยินดี ยังกระโดดดีดขาไปมาเหมือนกวางน้อยตัวหนึ่งที่กำลังมีความสุข นั่นเป็นเพราะกูหลี่เอ๋อร์คิดว่าเขามาเพื่อบอกให้นางเตรียมตัว
"ท่านพี่ หลี่เอ๋อร์พร้อมแล้วเราจะออกเดินทางกันเลยใช่หรือไม่"
โจวหลิวหยางพ่นลมยาวออกมาทางปาก เขามองนางเยียบเย็นแล้วเอ่ยว่า
"หนทางลำบากและอากาศหนาวยิ่งนัก บางคราก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากและความหิว ค่ำที่ใดนอนที่นั่นยังต้องหลบหนีสัตว์ป่า กูหลี่เอ๋อร์การเดินทางร่วมกับข้ามิใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด"
นางกลับยิ้มกว้าง
"ความฝันของข้าคือการออกท่องโลกกว้างตั้งแต่ฝึกวิชากับอาจารย์มาก็มีความฝันนี้มาตลอด เพียงแต่หน้าที่การค้าขายที่เสด็จแม่มอบให้ทำให้ต้องติดอยู่ที่เมืองผู ครานี้ได้โอกาสข้าย่อมไม่พลาดที่จะทำสิ่งนี้ ท่านพี่ไม่ต้องห่วงข้า ข้าดูแลตัวเองได้เพคะ ท่านดูนี่ ไม่ว่าจะเป็นยาสมุนไพรหรือตั๋วเงินหลี่เอ๋อร์เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ท่านพี่พวกเรารีบเดินทางเถิดข้าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับแล้วเพคะ"
โจวหลิวหยางได้แต่มองคนอย่างปลงตก เอาเถิดในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็คงต้องให้นางติดตามไปแล้ว ทว่าหากหนทางลำบากเกินนางรับไหวเขาย่อมยินดีจะส่งนางกลับเมืองผู และยามนั้นกูหลี่เอ๋อร์ก็คงรามือไปเองด้วยทนความลำบากไม่ไหว
หากมองในแง่ดี ครานี้ก็ถือเป็นโอกาสทำให้นางเกลียดชัง และไม่คิดติดตามเขาอีกต่อไป