เป็นเพราะฉันต้องนั่งรถกลับจากหอไอ้นุ่นไปเปลี่ยนชุดที่หอของตัวเองซึ่งห่างกันเป็นโยชน์
ฉันสวมเดรสสั้นสีดำประมาณเข่า สวมสร้อยโช๊คเกอร์รอยหยักๆ
เสริมลำคอให้โดดเด่น และด้วยอาถรรพ์ที่ติดตัวฉันมาแต่ไหนอย่างหน้าดุๆ นี่
ทำให้การแต่งแต้มริมฝีปากด้วยสีแดงเลือดนกเป็นเหตุให้ฉันดูน่าสะพรึงหนักกว่าเก่า ส้นสูงอีกสามนิ้วทำให้ตัวฉันสูงเป็นเสาไฟฟ้า เห็นเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกลหลายคนแหวกทางให้ฉันเดินโดยไม่ต้องเอ่ยปาก
“ทำไมมาช้านักวะไอ้นัท” ไอ้หลิวบ่นอุบทันทีที่ฉันโผล่หัวมา มันเป็นอีกหนึ่งคนที่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาเวลาเจอหน้าฉัน
อาจเพราะมันคบกับไอ้นุ่นมาหลายปีดีดักเลยชินกับความหน้าโหดจนปกติไปก็ได้
“มาช้าดีกว่าไม่มาน่า”
ฉันอ้างโดยไม่ได้บอกเหตุผลว่าความจริงแล้วฉันไปอ้อยอิ่งที่ไหนมา
“อ้าว แล้วไอ้นุ่นอ่ะ”
“มันบอกมันง่วง”
“กูว่าละ” ไอ้หลิวจิ๊จ๊ะก่อนจะเชื้อเชิญให้ฉันนั่งที่เก้าอี้
นอกจากมันแล้วยังมีบรรดาเพื่อนพ้องอีกสามคน บางคนฉันก็ไม่เคยเห็นหน้า
พวกเขายิ้มรับแต่แอบมองฉันด้วยท่าทีหวั่นๆ
ฉันพยายามทำหน้าตาน่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เหมือนยิ่งฝืน ยิ่งออกแนวน่ากลัวกว่าเดิม
“นี่ไอ้เจ รูมเมทกู” ไอ้หลิวแนะนำเจ้าของผมสีน้ำตาลทองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ธรรมดาๆ
ก่อนจะตวัดนิ้วชี้มาที่ฉันเพื่อแนะนำฉันให้หมอนั่นรู้จัก “ไอ้เจ นี่ไอ้นัท เพื่อนของเพื่อนกู”
“หวัดดี” ฉันเอ่ยทักทายแล้วระบายยิ้มกว้าง
เขายิ้มรับก่อนจะมองหน้าฉันนิ่งๆ
“หน้าดุนะเราอ่ะ” นั่นคือคำทักทายแรกจากคนที่ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตา
พิจารณาจากบุคลิกและน้ำเสียงแล้ว คาดได้เลยว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชายกวนประสาทพอสมควร
“หน้าหล่อนะนายอ่ะ” ฉันยักคิ้ว พูดเสียงทีเล่นทีจริง ทำให้คนถูกแซวหัวเราะ
“เฮ้ย ไอ้เจมันมีแฟนแล้วนะ จีบไม่ได้
มึงนี่เจอเพื่อนกูหล่อเข้าหน่อยจะบวกเขาอย่างเดียวเลยนะ”
ไอ้หลิวออกตัวขัดขวางทันที แหม ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ลองทอดสมอดู ได้ก็ดี
ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็มีไอ้นุ่นเป็นตัวสำรองอยู่แล้ว
“ก็แค่ชม” ฉันพูดเสียงเรียบ ไม่ปรากฏพิรุธใดๆ
บนสีหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามพลางกวาดสายตาไปยังอีกคนที่นั่งกระดกแอลกอฮอล์ในมือไม่หยุดตั้งแต่ที่ฉันเดินมา ใบหน้าเขาดูคุ้นเคยอย่างประหลาด
เขามีดวงตาชั้นเดียว เรียวรีเหมือนตัวร้าย ใบหน้าเป็นรูปตัววี จมูกโด่งเป็นสัน
คิ้วไม่เข้มนัก ผมสั้นสีดำดูไม่ค่อยเป็นทรง รูปร่างผอมสูง
สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์เข้าทรงดูภูมิฐาน
แบรนด์ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ประเมินจากสายตาฉันแล้ว หมอนี่น่าจะรวยอยู่ไม่เบา
เขาวางแก้วในมือลงก่อนจะกระตุกยิ้มให้ฉัน
และจ้องฉันนานมากโดยที่ไม่เอ่ยอะไร
“ส่วนนี่ เพื่อนที่ชมรมอาสาพัฒนาชนบทเพิ่งจะเข้ามาใหม่...”
ไอ้หลิวเอ่ยกำลังจะพูดต่อหากแต่หมอนั่นยกมือขึ้นมาเบรกซะก่อน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูแนะนำตัวเอง”
ฉันเงียบ พลางมองหน้าเขากลับอย่างพินิจพิจารณา เพราะแสงไฟที่นี่มันสลัวเลยมองไม่ชัดนัก
รอยยิ้มประหลาดของหมอนั่นเป็นเหตุให้ทุกอย่างรอบตัวหยุดหมุน คิ้วของฉันย่นเข้าหากัน
เสียงเพลงที่ชวนให้ขยับแข้งขยับขาไม่มีผลต่อโสตประสาทของฉันเลยในตอนนี้
“เราชื่อนนท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะนัท” คนพูดว่าพลางยื่นมือออกมา
ฉันยืนนิ่งรู้สึกร้อนวาบบริเวณทรวงอก พยายามเก็บอาการประหลาดนี่ไม่ให้แสดงออกมา
“เหมือนกัน” ฉันตอบรับแต่ไม่ยื่นมือออกไปจับเขาแล้วทิ้งตัวนั่งลง
ปล่อยให้คนร่างสูงยื่นมือเก้ออยู่พักนึง เขาก็ชักมือกลับแล้วแค่นหัวเราะในลำคอ
“ไอ้นัทเสียมารยาทว่ะ” ไอ้หลิวติงฉันก่อนจะเบ้หน้า ในขณะที่นนท์ยิ้มไม่ถือสา
“ไม่เป็นไรหรอก”
“เจ้าตัวเขาบอกไม่เป็นไร จบนะหลิว”
ฉันเน้นย้ำก่อนจะมองหน้าไอ้หลิวอย่างเอาเรื่อง มันก็เลยเงียบปากไป
ส่วนคนที่ชื่อเจก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ เขาเอาแต่ก้มหน้ากดมือถือแล้วสบถเบาๆ
“เพื่อนมึงนี่ นิสัยดุเหมือนหน้าเลยนะ”
เจ้าของผมสีน้ำตาลทองเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือแล้วแซวฉันอีก
“เออ ช่างเหอะ ไอ้นัทแม่งก็งี้แหละ”
ไอ้หลิวว่าแล้วรินแอลกอฮอล์ใส่ในแก้วของฉัน ความจริงฉันไม่ใช่สายเมา
แต่ก็กินได้นิดหน่อยพอเข้าสังคม ฉันชอบเห็นคนอื่นเมามากกว่า
“มาชนแก้วกันหน่อยมั้ย?”
นนท์ว่าแล้วยิ้มหวานให้ฉันอีกครั้งก่อนจะยื่นแก้วแอลกอฮอล์มาตรงหน้า
ฉันมองเขาอยู่พักนึงแล้วนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงแสดงท่าทีเหมือนพวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก
ช่างเถอะ...
“ได้” ฉันตอบรับก่อนจะสะบัดความคิดไร้สาระออกจากหัว
ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่เห็นหมอนี่ทีไร ฉันรู้สึกแย่ทุกที
ฉันไม่คิดว่าชาตินี้พวกเราจะได้เจอกันอีกด้วยซ้ำ
แกร๊ง!
ฉันชนแก้วกับเขา ในขณะที่พวกเรามองหน้ากันไปด้วย
หน้าของเขาเปลี่ยนไปตามวัยที่มากขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังคงเค้าเดิมอยู่
พอแก้วของเราผละออกจากกัน ฉันก็กระดกรวดเดียวหมด
“แน่ะ นี่คิดจะบวกไอ้นนท์อีกคนปะเนี่ย?” ไอ้หลิวตั้งข้อสันนิษฐาน
ไม่รู้ว่ามันเห็นฉันเป็นคนยังไง ถึงคิดว่าฉันจะจีบมนุษย์เพศผู้ทุกคนที่เป็นเพื่อนมัน บางทีฉันก็เลือกนะ
“นี่คิดว่ากูจะอ่อยเพื่อนมึงทุกคนเลยรึไง”