หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก้านแล้วก็อดที่จะชำเลืองตามองหาภัทรดนัยไม่ได้
“เมื่อกี้ยังเห็นหลังอยู่ไวๆ เลย หายไปไหนเร็วนักนะ” หล่อนพึมพำในลำคอ ก่อนจะลุกขึ้นจากอาหารเย็นที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังคงนั่งคุยกันอยู่
“จะไปไหนล่ะ แก้ว” แม่ของหล่อนถามทันทีเมื่อหล่อนขยับตัวลุกขึ้นยืน
“เอ่อ... ฉันจะไปเดินเล่นน่ะจ้ะแม่ ขอตัวนะคะคุณนาย” ตอบมารดาแล้วก็หันมาเอ่ยกับคุณนายสายสมรด้วยเลยจะได้ไม่เสียเที่ยว
“ตามสบายเลยจ้ะหนูแก้ว อ้อ ฝากดูพ่อภัทรด้วยนะหนู”
ก้านแก้วแทบเก็บสีหน้าแดงๆ บนใบหน้าเอาไว้ไม่มิด
“ได้ค่ะคุณนาย”
หล่อนยิ้มสดใสให้กับคุณนายสายสมรเสร็จแล้วก็รีบปลีกตัวลงไปจากเรือนทันที
เมื่อลงมาถึงพื้นดินด้านล่างของตัวบ้านแล้ว ก้านแก้วก็มองซ้ายขวาที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความมืดสลัว
“เดินไปทางไหนกันนะเนี่ย”
หล่อนยืนลังเลอยู่สักพักก็เลือกที่จะเดินไปทางซ้ายมือ ซึ่งทางนี้จะมีศาลาไม้เก่าแก่ที่ถูกสร้างเอาไว้ริมแม่น้ำ
และก็เป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้จริงๆ เพราะเมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ ศาลาริมน้ำที่มีดวงไฟประดับประดาเอาไว้ตามหัวเสาหลายดวง สายตาก็ปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างของผู้ชายตัวสูงเหมือนต้นเสาไฟฟ้าเข้าทันที
“มาอยู่ที่นี่เอง”
หล่อนพึมพำในลำคอ ก่อนจะเดินอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะไปหยุดด้านหลังของภัทรดนัย ตั้งใจจะแกล้งทำให้เขาตกใจเล่น แต่เท้าก็ดันเผลอไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้าเสียได้
แกร่ก
คนตัวสูงที่ยืนกอดอกมองผืนน้ำในยามค่ำคืนหันขวับกลับมามองอย่างรวดเร็ว
หล่อนจึงต้องยืนตัวตรง และฉีกยิ้มแห้งๆ ให้กับเขา
“ฉัน... มารบกวนเวลาส่วนตัวของคุณหรือเปล่าคะ”
หล่อนถามและก็เดินเข้าไปหยุดห่างจากร่างสูงประมาณสองเมตร
ดวงตาคมเข้มของภัทรดนัยจ้องมองหน้าหล่อน แววตาของเขามืดลึกเย็นชา และแน่นอนว่าไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย นอกจากเบื่อหน่าย จนคนถูกมองอย่างหล่อนตัวหดเล็กเกือบเท่ามดตะนอยเลยทีเดียว
“ใช่”
“อะไรกันเนี่ยคุณ ไม่คิดจะตอบรักษาน้ำใจกันบ้างเลยหรือไง...” หล่อนบ่นอุบ ใบหน้าแห้งเหี่ยวตามความรู้สึก
หล่อนได้ยินเสียงถอนใจของคนใกล้ๆ ตัว จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าตอนนี้เขาหันกลับไปจ้องมองผิวน้ำอีกครั้งแล้ว
เขาคงฝืนใจมากกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นสินะ
“คุณคงทุกข์ใจมากเรื่องงานแต่งงานของ... เรา... ใช่ไหมคะ”
คำถามของหล่อน สามารถกวักมือเรียกสายตาคมเข้มให้เลื่อนกลับมามองสบตาได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย
“แล้วเธอล่ะ ไม่ทุกข์ใจเลยหรือที่ต้องแต่งงานกับใครสักคนที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน”
ตอนแรกน่ะใช่ แต่พอรู้ว่าเจ้าบ่าวเป็นเขา หล่อนก็ไม่ได้ทุกข์ใจอีกแล้ว ตรงกันข้ามรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากต่างหากล่ะ
ไม่ได้ๆ ไอ้แก้ว แกจะตอบแบบนี้ออกไปไม่ได้ ต้องรักษาฟอร์มหน่อย
ก้านแก้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปั้นเสียงตอบออกไป
“ก็... เหมือนๆ คุณนั่นแหละ”
รอยยิ้มน้อยๆ เหมือนหยันโลกผุดขึ้นที่มุมปากหยักสวยสีแดงระเรื่อของคนข้างตัว
หล่อนมองด้วยความตะลึง เพราะแม้จะเป็นแค่รอยยิ้มหยันๆ แต่มันก็ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งหล่อเหลามากขึ้นเป็นร้อยเท่า
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือ”
“เอ่อ... ไม่มีค่ะ”
หล่อนตอบ และรีบละสายจากจากใบหน้าสมบูรณ์แบบของเขา ไปมองสายน้ำเบื้องหน้าแทนแก้เขิน
“ฉันอยากให้คุณทำใจให้สบายๆ เพราะการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นนี้ มันก็เพื่อตัวของคุณเอง”
“ถ้าเธอหมายถึงความเจ็บป่วยแปลกประหลาดของฉันล่ะก็ ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก แต่ก็ขัดใจคุณแม่ท่านไม่ได้”
“คุณต้องเชื่อนะคะ”
ก้านแก้วขยับจากยืนข้างๆ ไปยืนตรงหน้าของภัทรดนัยแทน และเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนเด็กๆ คุณก็เคยหายจากอาการแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งน่ะ”
“ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ” น้ำเสียงของคนพูดเย็นชาเหมือนเดิม
ก้านแก้วส่ายหน้าพรืด บอกให้รู้ว่าไม่เห็นด้วย “แต่เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องสำคัญถึงชีวิตแบบนี้ ล้อเล่นไม่ได้นะคะ มีวิธีไหนก็ต้องลองทั้งนั้นแหละค่ะ” หล่อนยืนมือไปจับท่อนแขนของชายหนุ่มเอาไว้อย่างลืมตัว จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณนายสายสมรรักคุณมากนะคะ คุณเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน ดังนั้นอย่าเสี่ยงเด็ดขาดค่ะ เราต้องแต่งงานกัน”
เขายืนนิ่งเล็กน้อย จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของหล่อน ก่อนจะหรี่ตาแคบมองท่อนแขนแข็งแรงที่ถูกมือเล็กจับเอาไว้
ก้านแก้วมองตามสายตาคมเข้มไปก็รู้สึกตัว รีบปล่อยมือจากแขนของเขาทันที พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ออกมา
“ขอโทษทีค่ะ ฉันลืมตัวไป”
เขาไม่ได้ว่าอะไรต่อ นอกจากยืนกอดอกนิ่งๆ จนหล่อนที่เกลียดความเงียบ ต้องทำลายความสงัดนั้นขึ้น
“อย่าคิดมากเลยค่ะ แค่ปีเดียวเอง”
“เธอใจกว้างกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน เธอเสียหายนะ เพราะเธอเป็นผู้หญิง”
“ถ้า... คุณหมายถึงเรื่องนั้น... ฉันคิดว่าเรา... เอ่อ...”
ก้านแก้วคิดไปไกลเลย มโนไปถึงเรื่องเร่าร้อนบนเตียงที่คู่แต่งงานจะทำกัน
“พอเราหย่ากันแล้ว เธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว...”
นี่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องบนเตียงหรอกเหรอ...
ก้านแก้วรู้สึกหน้าแตกขึ้นมาทันที แต่ก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรสักหน่อย แม่คุณจ่ายฉันตั้งสองล้านบาท คุ้มแล้วล่ะค่ะ”
หล่อนแกล้งหัวเราะ แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่แห้งแล้งเหลือเกิน
“เงินสำคัญกับเธอมากสินะ”