บทที่ 1 จากกันตลอดกาลแต่ไม่ลืมจากใจ 3

909 คำ
ภาคภูมิกำลังยืนคุยกับพนักงานขายในร้านเรื่องการบริการลูกค้า และเรื่องความปลอดภัยของร้าน ถึงแม้ว่าจะมีตำรวจมาคอยคุ้มภัยให้ร้านตั้งสามคนก็ตาม แต่สมัยนี้โจรมันชุมจะมีตำรวจกี่คนต่อกี่คนก็ไม่กลัวถ้าโจรคิดจะมาปล้น ระหว่างที่คุยกับพนักงานขายนั้นชายวัยกลางคนก็เห็นภรรยากำลังเดินมาทางที่ตนอยู่ “พวกลื้อไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว อย่าลืมบริการลูกค้าด้วยใจนะ อย่าบริการเพราะต้องการขายเท่านั้น ถึงลูกค้าจะซื้อไม่ซื้อเราก็ต้องดูแลบริการเขาให้ดีที่สุด เพราะลูกค้าคือพระเจ้า” “ค่ะ/ครับ” พนักงานทั้งแปดขานรับพร้อมกัน ก่อนจะแยกไปประจำที่ของตน “อากิมฮวยลื้อทำไมไม่พักผ่อนในบ้าน ออกมาช่วยงานอั๊วทำไมฮึ” เมื่อภรรยาเดินมาถึงภาคภูมิก็ไม่รอช้าที่จะตำหนิเอา ก็ดูสีหน้าของนางตอนนี้สิซีดไม่มีอะไรดีเลย เห็นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ “อั๊วไม่อยากพัก อั๊วคิดถึงอาหงส์ อาเฮียให้อั๊วมาช่วยงานเถอะนะ ยิ่งอยู่ว่างๆ ยิ่งคิดถึง” “ลื้อนี่น้า...ดื้อจริงๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมอาหยกถึงได้ดื้อ” เข้าใจภรรยาดี เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากอยู่ในบ้านเหมือนกัน ขนาดมาที่ทำงานมองไปยังโต๊ะบัญชีของร้านซึ่งเป็นที่ทำงานของหงสรถที่เคยนั่งทำงานเป็นประจำเมื่อเปิดร้านเขายังเศร้าเลย “อั๊วเปล่าดื้อนะ อาหยกเหมือนเฮียต่างหาก” นางแย้งสามี “เหมือนอั๊วก็เหมือนอั๊ว ลื้อไปนั่งพักเถอะ อย่ามายืนแบบนี้เลยปวดขาแย่” ด้วยความเป็นห่วงภรรยาเลยประคองไปนั่งยังมุมตอนรับแขกของร้าน “อาเฮียก็เหมือนกันแก่แล้วพักบ้างนะ” นางก็เป็นห่วงสามีไม่ต่างกัน “หวานกันจริงๆ นะม้า ป๊า สงสารคนโสดอย่างหยกบ้างสิคะ หรือถ้าไม่สงสารก็อายเด็กๆ ในร้านบ้างดูสิเขินไปกับป๊าและม้ากันใหญ่เลย” หยกรดาเดินมาทันได้ยินประโยคที่พ่อกับแม่หวานกันพอดีเลยเอ่ยแซวบ้าง “เห็นไหมอาเฮียอายลูก อายเด็กๆ ในร้านไหมเฮีย” กิมฮวยก้มหน้าเขินเอียงอายให้กับสายตาของพนักงานในร้านและสายตาล้อเลียนของลูกสาว แต่งงานอยู่กินกันมา 30 ปี ไม่เคยมีวันไหนที่นางและสามีจะไม่หวานกัน ความน่ารักหมั่นเติมความหวานให้กันนั้นเองทำให้เด็กๆ ในร้านอมยิ้มไปกับความรักของคนทั้งคู่ จนอดอิจฉาเสียไม่ได้ “โทษอั๊วคนเดียวไม่ได้นะอากิมฮวย ลื้ออยากน่ารักเองใช่ไหมเด็กๆ” ภาคภูมิหาแนวร่วม “พอได้แล้วอาป๊า ดูสิม้าอายใหญ่แล้วใบหูแด๊งแดง คิกๆ” บอกแต่คนอื่น แต่ตัวเองไม่เลิกแซวผู้เป็นแม่สักที “อาหยกม้าจะไม่อายเลยนะถ้าลื้อไม่แซว ไปทำงานได้แล้ว โน่นที่ทำงานลื้อโต๊ะบัญชี และอย่าทำบัญชีผิดอีกล่ะ” ลูกสาวคนนี้ตลอดเลย ไม่เคยที่จะไม่แซวแม่อย่างนาง ถูกของสามีที่บอกว่าหยกรดาดื้อเหมือนตน ก็เล่นถอดแบบพิมพ์นิสัยนางมาเป๊ะเว่อร์ขนาดนี้ “เจ้าค่ะม้า” แล้วหญิงสาวก็เดินสะบัดตูดไปนั่งประจำที่ทำงานที่ประจำของหงสรถ แต่ตอนนี้เป็นที่ทำงานของเธอเสียแล้ว “อากิมฮวยวันนี้อั๊วจะไปสมาคม ลื้อจะไปกับอั๊วไหม พอดีเพื่อนๆ ที่สมาคมจีนนัดพูดคุยกันตามประสาคนแก่ ลื้อไปกับอั๊วไหม” ภาคภูมิถามภรรยา “อั๊วยังไม่แก่ ไม่ไปหรอกเฮีย” คนไม่ยอมแก่ปฏิเสธอย่างมั่นใจ “ไม่แก่จริงนะ รอยอะไรน่ะบนใบหน้า เขาเรียกตีนการึเปล่า” ภาคภูมิเย้าหยอก “เฮียก็ เขาไม่เรียกรอยตีนกา เขาเรียกรอยประสบการณ์ชีวิต ใช่ไหมอาหยก” หันไปขอความเห็นจากลูกสาว “ฮะ...ใช่ก็ใช่ค่ะม้า” หยกรดาที่กำลังวุ่นกับตัวเลขในบัญชีตอบเออออแบบงงๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตรวจดูบัญชี “เห็นไหมเฮีย จำไว้นะเขาเรียกรอยประสบการณ์ชีวิต ยิ่งมีเยอะยิ่งมีประสบการณ์ชีวิตเยอะ เฮียไปเถอะ แต่ขากลับแวะซื้อเป็ดพะโล้เจ้าเก่ามาฝากอาหยกด้วยนะเฮีย เมื่อวานตอนเย็นเห็นบ่นว่าอยากกิน” “รับทราบครับคุณแม่ของลูก งั้นอั๊วไปก่อนนะกิมฮวย อาหยกป๊าไปก่อนนะ” หยกรดาผละจากหน้าบัญชีมาส่งยิ้มให้พ่อ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาศึกษาบัญชี โดยมีน้องๆ พนักงานในร้านช่วยสอนเธอ ก็คนไม่ชอบตัวเลขสอนให้ตายก็ไม่จำ สำหรับหยกรดาเลขคือสิ่งที่ไม่ประสงค์จะเจอ แต่ก็ต้องจำใจเจอและอดทนกับมัน วันทั้งวันจนค่ำหญิงสาวก็วุ่นอยู่แต่กับบัญชี ไม่มีเวลาคิดอะไรเลย พอตกค่ำหลังอาหารเย็นสาวเจ้าก็มานั่งคิดนอนคิดว่าควรจะไปตามหาความจริงที่กาญจนบุรีหรือไม่ คิดทบทวนอยู่นานก็ได้คำตอบ ตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะลาบุพการีทั้งสองไป ส่วนจะไปทำอะไรนั้นคนอย่างหยกรดาซะอย่างโกหกเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม