ตอนที่ 5 รัก…ไม่รัก

3244 คำ
ตอนที่ 5 รัก…ไม่รัก เสียงเพลงเคารพธงชาติดังขึ้นในวันเปิดเรียนวันแรกของสัปดาห์ ทั้งนักเรียนและครูรวมทั้งบรรดาทหารทุกนายต่างพร้อมใจกันยืนเคารพธงชาติอย่างพร้อมเพรียงและเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อนักเรียนเสร็จสิ้นจากกิจกรรมด้านหน้าเสาธงแล้ว สายตาคมกริบของผู้กองหนุ่มก็เริ่มมองสอดส่ายหาใครบางคนที่ทำให้เขานอนไม่หลับมาเกือบทั้งคืน เมื่อคืนชายหนุ่มไม่ได้กลับฐานบัญชาการที่อยู่บนภูเขาสูง เนื่องจากสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนบ่ายของเมื่อวานทำให้มีหลายคนคัดค้านเรื่องการเดินทางขึ้นไปในเวลาตอนกลางคืน เขาจึงตัดสินใจนอนที่ฐานเฉพาะกิจแห่งนี้ แต่กลับต้องนอนไม่หลับเนื่องจากจิตใจคิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้น ความใกล้ชิดกำลังจะนำพาความยุ่งยากมาสู่ใจที่พยายามต่อต้านไม่ให้หาห่วงมาผูกคอ ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าถ้าปล่อยให้ความรักเกิดขึ้นในจิตใจเมื่อใด เมื่อนั้นเขาจะทำงานในพื้นที่แสนอันตรายลำบากมากขึ้น เสียงรถแล่นเข้ามาจอดส่งผลให้ผู้กองทัตเทพตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มหันไปมองก็พบว่าเป็นผู้กองชัชฤทธิ์และชุดตชด.ได้เดินทางมาที่ฐานของเขา “ไงครับ เจอรับน้องเข้าแล้วผู้กองผม” ผู้กองชัชฤทธิ์หัวเราะร่วนโชว์ไรฟันขาวสะอาด จริงๆ แล้วนึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันไม่ใช่น้อย “อืม…แม่ง ล่อซะเกือบไป” ผู้กองทัตเทพหัวเราะออกมาเบาๆ การมีอารมณ์ขันในพื้นที่อันตรายเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้จิตใจหมกมุ่นอยู่กับการกลัวตายมากเกินไป “แล้วคุณครูคนสวยเป็นไงบ้างครับ” ผู้กองชัชเอ่ยถามพลางมองไปยังด้านหน้าเสาธงที่บัดนี้นักเรียนได้แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนไปหมดแล้ว “คงไม่เป็นอะไรแล้ว…เห็นยังออกไปสอนได้ ผมเองก็ยังไม่ได้คุยกับเธอเลยวันนี้” ผู้กองทัตเทพเอ่ยก่อนมองไปยังจุดเดียวกับผู้กองชัชฤทธิ์ เพื่อมองหาใครบางคน “หายากนะครับที่ครูสาวๆ สวยๆ แบบนี้จะขอย้ายมาสอนอยู่ที่นี่” คนพูดคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ชายหนุ่มยอมรับว่าถูกชะตากับครูสาวตั้งแต่แรกพบ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจมาเยือนฐานเฉพาะกิจแห่งนี้ “อือฮึ…” ทัตเทพพยักหน้าแทนคำตอบ เพราะไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงนอกจากตัวเขาเอง “ผู้กองอยู่ใกล้ชิดเธอ…ผมอยากรู้ว่าเธอมีคนในหัวใจหรือยัง” ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยถามตรงประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา “ไม่รู้สิ...ผมไม่เคยสนใจ แต่อาจจะมีหนุ่มซุกไว้อยู่ที่บ้านก็ได้ ถ้าไม่ดูทิศทางลมให้ดี ผมเกรงว่าคุณจะโดนสอยร่วงซะก่อนที่คิดจะจีบเธอน่ะสิ” ผู้กองทัตเทพตอบเป็นเชิงกั๊กพร้อมมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่กำลังจะถูกแย่งของเล่นไป ของเล่นที่เด็กอย่างเขาไม่เคยแม้แต่จะคิดแกะกล่องออกมาดูสินค้าที่อยู่ข้างใน เขารู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่ออีกฝ่ายแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน “ผู้กองก็พูดไป ถ้ามีแฟนจริง คงไม่ทิ้งแฟนมาที่นี่หรอก” “ถ้ามีโอกาสผมจะถามให้ละกัน…ว่าแต่ คุณสนใจเธอเหรอ” “ใครบ้างจะไม่สนคนสวยๆ จริงไหม ผู้กอง” การที่อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้พร้อมคำพูดแลดูจริงจัง ทำให้คนฟังยืนยิ้มปร่าแปร่ง “ถ้าคุณไม่คิดจริงจัง ผมว่าอย่ายุ่งกับเธอเลยจะดีกว่า” “ผู้กองกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกหวงก้างยังไงไม่รู้” ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยอย่างรู้ทันในความคิดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ผู้กองก็พูดไป ผมจะหวงก้างทำไมมิทราบครับ” ทัตเทพหัวเราะร่วน มือแกร่งยื่นไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ ราวกับว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่อันตราย “ไปคุยกันในเต็นท์ดีกว่า ผมมีเรื่องจะบอกคุณ” ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อนึกได้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนวันนี้ “อืม…ไปสิ” ทัตเทพเดินนำหน้าอีกฝ่ายไปยังเต็นท์สนามที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องวางแผนชั่วคราว “การซุ่มโจมตีเมื่อวานมันไม่ได้สุ่มแบบมั่วๆ แต่มีการมาร์คเป้า หมายเอาไว้แล้ว…ซึ่งเป้าหมายของมันน่าจะเป็นตัวผู้กอง” ชัชฤทธิ์เอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาอยู่เพียงลำพังสองคนภายในเต็นท์ “แสดงว่ามันรู้ว่าผมต้องผ่านไปทางนั้น” “แน่นอน” “เมื่อวานตอนแวะทานข้าว ผมสงสัยกลุ่มวัยรุ่นอยู่เหมือนกัน มีคนมองผมแปลกๆ ตั้งแต่ในร้านแล้ว” แผงคิ้วเข้มของผู้กองทัตเทพถึงกับขมวดเข้าหากัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน “บางทีพวกนั้นอาจจะเป็นสายให้กับกลุ่มคนร้ายก็ได้” “ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหนบ้างน่ะสิ” ผู้กองทัตเทพเอ่ยก่อนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความกลัดกลุ้ม “นั่นแหละ ผมถึงอยากเตือนให้คุณระวังตัว…ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สายได้รายงานมาว่าค่าหัวของคุณตอนนี้แพงมาก แพงยิ่งกว่าหลายปีก่อนเสียอีก” “อย่าบอกนะ ว่าพวกมันจำหน้าหล่อๆ ของผมได้” ผู้กองทัตเทพหัวเราะร่วนอวดไรฟันขาวสะอาด ชายหนุ่มพยายามสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานเข้าไว้ ด้วยไม่อยากไปกังวลกับความจริงอันแสนน่ากลัวมากนัก “ก็คุณกับผู้พันปรานต์เล่นสร้างวีรกรรมไว้ซะเยอะก่อนย้ายไปแถวตะวันตก ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่โดนต้อนรับดีขนาดนี้หรอก” “อืม…พวกมันก็จัดปาร์ตี้ให้ผมซะชุดใหญ่เลย” “ครูรัญชน์ก็เกือบโดนหางเลขไปด้วย ดีนะที่รอดมาได้” “นั่นน่ะสิ ถ้าเมื่อวานผมไม่ชวนเธอไปด้วย เธอก็คงไม่ต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์หวาดเสียวนั่น” มาถึงตรงนี้ผู้กองทัตเทพถึงกับยิ้มไม่ออก ใบหน้าคมคร้ามเริ่มแสดงความเครียดออกมาทันที เขาเริ่มกังวลไปถึงชีวิตของเธอหากมีเขาเข้าไปพัวพัน “คิดไรมากผู้กอง ดวงคนเราอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราเลี่ยงชะตะฟ้าลิขิตไม่ได้หรอก” ผู้กองชัชพูดปลอบอีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจและไม่อยากให้คิดมาก เนื่องจากจะส่งผลกระทบกับการทำงานขึ้นมาทันที “จริงของผู้กอง…บางเรื่องเราเลี่ยงได้ แต่ถ้าคิดจะเอาชนะฟ้าคงทำไม่ได้” ผู้กองทัตเทพยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อคิดไปถึงเรื่องราวระหว่างเขากับครูสาวที่ยังไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป นอกจากเขาและเธอ และชายหนุ่มไม่สามารถบอกได้เลยว่า ความลับนี้เขาจะทนปิดไปได้อีกนานแค่ไหนกัน “ผู้กอง!” รัญชน์ตกใจเล็กน้อยจนผงะถอยไปก้าวหนึ่ง เมื่อเดินกลับมายังบ้านพักแล้วเห็นผู้กองทัตเทพยืนกอดอกพิงผนังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน “เด็กๆ กลับกันหมดแล้วหรือครับ” ทัตเทพเอ่ยถามขณะเดินเข้ามาประจันหน้ากับคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงบันไดบ้าน “อะ…เอ่อ ค่ะ” รัญชน์อึกอักตอบไป ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เพราะไม่ชินกับการที่เขามาดี “คุณเป็นยังไงบ้าง” คนถามสบตากลับมา รัญชน์สังเกตเห็นความอาทรที่แฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น “ดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ” ตอบพร้อมกับความรู้สึกแปลกใจเล็กๆ ที่วันนี้อีกฝ่ายไม่ชวนทะเลาะเหมือนเช่นที่ผ่านมา “ถ้าคุณขาดเหลืออะไรก็บอกได้นะ ผมจะให้คนไปซื้อให้” ผู้กองทัตเทพยิ้มปร่าแปร่ง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่ามือไม้ของตัวเองช่างเกะกะสิ้นดี “เอ่อ…ค่ะ” รัญชน์พยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็นิ่งเงียบเพราะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะชวนเขาคุยอะไรดี “…..” สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันนิ่ง ผู้กองทัตเทพถอนหายใจเล็กน้อยก่อนแสร้งเบนสายตาไปทางอื่น เนื่องจากอยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียดื้อๆ ด้านรัญชน์เองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ด้วยเธอเองไม่คุ้นชินในท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมายามนี้ ความขวยเขินฟ้องขึ้นมาบนดวงหน้าหวานซึ้ง “คุณไม่คิดอะไรมากก็ดีแล้ว…ผมจะได้สบายใจ” ผู้กองหนุ่มพูดพลางเอามือล้วงกระเป๋าแก้เขิน “ในเมื่อฉันตัดสินใจมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องก้าวเดินต่อไป เหตุการณ์เมื่อวานไม่ทำให้ฉันท้อไปได้หรอกค่ะ” รัญชน์เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นอย่างเห็นได้ชัด “ที่นี่อันตรายรอบด้าน…ทุกย่างก้าวคือการเดินเข้าไปหาความตายที่ไม่รู้ว่าเราจะโดนวันไหน ผมไม่เห็นว่ามันจะเหมาะกับผู้หญิงอย่างคุณสักนิด” ผู้กองทัตเทพถอนหายใจออกมา ใบหน้าฉายแววตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ฉันมาด้วยใจ แม้อันตรายแค่ไหนฉันก็จะฟันฝ่ามันไปให้ได้” “ดูเด็กๆ ที่นี่จะรักคุณมากเลยนะ” “รู้อย่างนี้แล้ว จะให้ฉันใจดำทิ้งพวกเขาไปหรือคะ” “ผมไม่ค่อยเจอผู้หญิงคนไหนมีความคิดแบบคุณเลยให้ตายสิ” “ผู้กองเลิกมองฉันในแง่ร้ายแล้วใช่ไหม” “…..” ไม่มีคำตอบจากปากของผู้กองหนุ่ม มีเพียงรอยยิ้มเล็กๆ ที่ส่งมาให้เธอ "ผมเคยมองคุณแบบนั้นด้วยเหรอ แย่จังสงสัยผมจะสมองเสื่อมจริงๆ" ชายหนุ่มแค่นหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่าที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ “น่าตลกนะคะ ฉันขอย้ายตัวเองมาถึงที่นี่ ไม่คิดว่าจะโคจรมาพบกัน แต่คนบางคนกลับหาว่าฉันตามมาเสียนี่” “นั่นน่ะสิ ผมเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ว่าที่เจ้าสาวของผมจะกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ สงสัยผมคงต้องกลับไปพิจารณาตัวเองเสียแล้ว” “นั่นมันอดีต ตอนนี้ฉันไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาวของใครนะคะ” รัญชน์มองใบหน้าคมคร้ามของอีกฝ่ายนิ่ง น่าแปลกที่พูดออก ไปแล้วก็กลัวจะเสียเขาไปจริงๆ หญิงสาวใจหายวาบพลางคิดไปถึงวันข้างหน้าว่าถ้าเจ้าสาวเปลี่ยนจากเธอไปเป็นคนอื่น เมื่อนั้นเธอจะยินดีหรือไม่ “แล้วคุณคิดว่าจะหนีผมพ้นหรือเปล่า คุณไม่กลัวผมเปลี่ยนใจหรือไง” คำพูดนั้นมาพร้อมกับแววตาจริงจัง รัญชน์รีบหลุบตาลงต่ำเพื่อหลบนัยน์ตาคู่คมนั่น “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ” รัญชน์รีบตัดบท ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวมากไปกว่านี้ จิตใจเริ่มเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาววิ่งหนีเขาขึ้นบันไดบ้านไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าคุณตื่นทัน ผมอยากให้คุณไปใส่บาตร ผมจะรอนะ” เสียงผู้กองหนุ่มตะโกนไล่หลังตามมา รัญชน์ปิดประตูอย่างรวดเร็วก่อนเอนกายพิงไว้ ริมฝีปากระเรื่อเผลอคลี่ยิ้มออกมาด้วยกำลังคิดว่า อย่างน้อยการมีไมตรีที่ดีต่อกันก็ยังดีกว่าเจอหน้ากันแล้วต้องปะทะคารมกันตลอด แสงแดดเริ่มสาดส่องลงมาอาบไล้ทุกสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน แพรวพรรณเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐรูสีสันสวยงามอย่างมีลูกเล่น หล่อนเดินชมความงดงามของธรรมชาติเพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่แลเห็นอยู่เบื้องหน้า เมื่อเดินมาถึงบ้านทรงไทย ผู้ที่รอต้อนรับอยู่ก่อนแล้วปราดออกมาจับมือถือแขนและทักทายด้วยความสนิทสนม “ไปคุยกันข้างในเถอะค่ะ” เนตรทิพย์ยิ้มกว้างพลางผายมือเชิญชวนแขกผู้มาเยือนเข้าไปด้านใน พร้อมกับสามีตนที่มารอรับหน้าเช่นเดียวกัน “ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกจ้ะ คนกันเองทั้งนั้น” แพรวพรรณเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเกรงใจพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้เจ้าบ้าน “สมใจเตรียมน้ำกับของว่างมารับแขกหน่อย” “พอพี่เห็นลูกออกข่าว เชื่อมั้ย พี่เป็นลมทั้งยืนเลย” แพรวพรรณเปิดหัวข้อสนทนา เมื่อหย่อนก้นนั่งลงบนเบาะที่ปูทับไว้บนเก้าอี้ไม้สักตัวยาว “ผมสองคนทำใจแล้วล่ะครับ ข่าวเกี่ยวกับผู้กองเขาน่ะ” ทรงพลเอ่ยพร้อมทำสีหน้าเครียด แม้จะชาชินกับงานของลูกชาย แต่คราวนี้นับว่าค่อนข้างตกใจอยู่เหมือนกัน เมื่อฝ่ายคนร้ายมาร์คเป้าหมายอย่างชัดเจน “ตอนดูข่าวทีแรก เนตรก็งงมากว่าลูกเราสองคนไปด้วยกันได้ยังไง” เนตรทิพย์เล่าพลางยิ้มเล็กน้อย เพราะนั่นคือสัญญาณที่ดี “นั่นน่ะสิ ต่างคนต่างวิ่งหนี ถ้าไม่มีข่าวออกมาก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปอยู่ที่เดียวกัน” แพรวพรรณเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน ถ้าไม่มีข่าวเรื่องผู้กอง ทัตเทพถูกซุ่มโจมตีออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์และตามโทรทัศน์ เธอก็คงไม่รู้เนื่องจากลูกสาวไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยตั้งแต่ย้ายไปประจำอยู่ภาคใต้ “พ่อตัวดีของเนตรก็ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปเจอกันที่โน่น เพิ่งจะรู้ความจริงก็ตอนโทรไปถามข่าวเมื่อวันก่อน” “ของพี่ก็เหมือนกัน เคยบอกอะไรซะที่ไหน ถ้าไม่มีเรื่องพวกเราก็คงไม่รู้ไปอีกนาน” แพรวพรรณเสริมขึ้นมาบ้าง “จะว่านัดกันไปก็คงไม่ใช่ คงบังเอิญไปเจอกันมากกว่า เห็นทีต้องเรียกตัวกลับมาคุยเป็นงานเป็นการซะแล้ว ว่าจะเอายังไง” ทรงพลเสนอแนะหลังจากที่นิ่งฟังอยู่นาน “เรื่องงานแต่งพี่ว่ายังไม่ต้องรีบก็ได้ คนไม่รู้จักนิสัยใจคอกัน แต่งกันไปก็มีแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ พี่อยากให้เขาสองคนศึกษากันไปก่อน เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ทั้งคู่ก็เริ่มคุยกันบ้างแล้ว” แพรวพรรณแนะนำ เพราะหล่อนเองก็ไม่อยากให้ชีวิตคู่ของลูกสาวต้องพังลงเพราะการคลุมถุงชน “ถึงอย่างไรก็ต้องแต่งเพราะผู้ใหญ่คุยกันไว้หมดแล้ว ทางพี่แพรวมีแต่จะเสียหาย เดี๋ยวผมจะจัดการเองว่าลูกชายตัวดีของผมจะเอายังไง” “จะยอมง่ายๆ หรือเปล่า” เนตรยิ้มแหยๆ ใส่หน้าแพรวพรรณ ด้วยรู้จักอิทธิฤทธิ์ของลูกชายดี มาถึงตอนนี้คนต้นคิดอย่างเธอถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว “นั่นน่ะสิ ของพี่ก็ดื้อเงียบ” “ผมไม่กลัวอะไรหรอกคุณ ไปอยู่ไกลหูไกลตาพวกเราแบบนั้น แล้วหญิงชายถ้าได้ใกล้ชิดกันทุกวัน ผมกลัวว่าจะชิงสุกก่อนห่ามเสียก่อนนะสิ แล้วถ้าเกิดท้องขึ้นมาพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ทรงพลเอ่ยในฐานะที่เขาเองก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีคนนับหน้าถือตา เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เขาจึงต้องแสดงความรับผิดชอบเพื่อเป็นการให้เกียรติครอบครัวของฝ่ายหญิง ถึงแม้ในทีแรกจะไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องการคลุมถุงชนครั้งนี้ก็ตาม ผู้กองทัตเทพต้องรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นหมวดคนสนิทไปนั่งคุยกับคุณครูแทบทุกเช้ากลางวันเย็น บางครั้งหมวดนรธีร์ยังหอบหิ้วขนมติดไม้ติดมือมาฝากรัญชน์เมื่อยามที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในตัวเมือง ความรู้สึกอยากแสดงความเป็นเจ้าของแล่นปราดเข้ามาในห้วงความคิด ให้ทุกคนได้รู้ว่าเธอคือของเขาที่ใครก็ห้ามยุ่ง แต่อีกใจหนึ่งก็แย้งกัน เนื่องจากเขายังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใคร ยามนี้ความรู้สึกสองอย่างจึงตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด “หมวดครับ ผู้กองให้มาเชิญครับ” เสียงจ่าเดินมาตามหมวดธีร์ที่หน้าฮัทในค่ำวันหนึ่ง “ขอบคุณครับ” หมวดนรธีร์เอ่ยขอบคุณก่อนลุกตามไปทันที คิดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องงานใหม่ๆ ตามเคย “อ้อ หมวด…นั่งก่อนสิ” ผู้กองทัตเทพละสายตาจากเอกสารราชการตรงหน้า ก่อนผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม “ผู้กองมีเรื่องด่วนหรือครับ” “ก็ไม่เชิงด่วน…แต่ผมมีงานใหม่จะให้หมวดทำ” “งานอะไรครับ” “จริงๆ แล้วจุดประสงค์หลักของฐานเราก็คือ การปฏิบัติงานในเชิงรุก ผมอยากให้หมวดเป็นหัวหน้าทีมของฐานเราร่วมกับชุดปฏิบัติ การจากฐานอื่นๆ เข้าไปตามหมู่บ้าน เพื่อดึงมวลชนให้กลับมาอยู่ฝ่ายเราให้มากที่สุด ผู้กองทัตเทพเอ่ยถึงงานชิ้นล่าสุดที่เขาคิดว่าจะให้หมวดธีร์รับผิดชอบ เพราะอีกฝ่ายเก่งเรื่องจิตวิทยา เหตุผลอื่นนั้นเขาไม่มีอะไรแอบแฝง เขาไม่ได้ต้องการจะแยกใครออกจากกัน “แล้ว…มีใครไปกับผมบ้างครับ” ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยถามพลางลอบถอนใจ เพราะมันหมายถึงเขาจะไม่ค่อยได้เจอหน้ารัญชน์เหมือนที่ผ่านมา “หลักๆ เลยก็มีหมวดแบงค์กับคุณ นอกนั้นผมจะจัดอีกที ว่าจะให้ใครไปบ้าง” “ชาวบ้านแถบนี้ระแวงข้าราชการกันมาก เราจะทำสำเร็จหรือครับ” ผู้หมวดหนุ่มมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด “นั่นแหละ…ผมถึงได้อยากให้หมวดเข้าไป แผนแบ่งแยกของอีกฝ่ายสำเร็จไปมากแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อทำลายแผนนั้นให้ได้ แม้มันจะต้องใช้เวลานานก็ตามที” ผู้กองทัตเทพเอ่ยพลางจ้องหน้าผู้หมวดหนุ่มนิ่ง ยากที่อีกฝ่ายจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ครับผู้กอง” หมวดนรธีร์รับคำสั้นๆ แต่ภายในใจกลับคิดแย้งกันว่าทำไมต้องเป็นเขาด้วย ทั้งๆ ที่ทหารคนอื่นที่เก่งด้านจิตวิทยาก็มี “หมวดจะใช้ยุทธวิธีอะไรก็ได้ ผมเชื่อในความสามารถของคุณ มะรืนนี้คือวันเริ่มงาน และทุกครั้งหมวดต้องเอาผลการประชุมที่จะมีขึ้นทุกวันหลังเลิกงานมารายงานผม เอาละไปพักผ่อนเถอะ ผมรบกวน คุณแค่นี้แหละ” หมวดนรธีร์ทำความเคารพก่อนเดินออกจากห้องวางแผนไป ผู้กองหนุ่มนวดปลายนิ้วไปตามขมับเมื่อนึกถึงภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงที่รออยู่ข้างหน้า ความเป็นจริงที่เขาได้รับรู้มาเนิ่นนานมันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่สองมือของเขาจะรับไหว และเขาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสงครามแบ่งแยกดินแดนครั้งนี้จะสิ้นสุดลงวันใด…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม