ตอนที่ 5
รัก…ไม่รัก
เสียงเพลงเคารพธงชาติดังขึ้นในวันเปิดเรียนวันแรกของสัปดาห์ ทั้งนักเรียนและครูรวมทั้งบรรดาทหารทุกนายต่างพร้อมใจกันยืนเคารพธงชาติอย่างพร้อมเพรียงและเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อนักเรียนเสร็จสิ้นจากกิจกรรมด้านหน้าเสาธงแล้ว สายตาคมกริบของผู้กองหนุ่มก็เริ่มมองสอดส่ายหาใครบางคนที่ทำให้เขานอนไม่หลับมาเกือบทั้งคืน
เมื่อคืนชายหนุ่มไม่ได้กลับฐานบัญชาการที่อยู่บนภูเขาสูง เนื่องจากสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนบ่ายของเมื่อวานทำให้มีหลายคนคัดค้านเรื่องการเดินทางขึ้นไปในเวลาตอนกลางคืน เขาจึงตัดสินใจนอนที่ฐานเฉพาะกิจแห่งนี้ แต่กลับต้องนอนไม่หลับเนื่องจากจิตใจคิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้น ความใกล้ชิดกำลังจะนำพาความยุ่งยากมาสู่ใจที่พยายามต่อต้านไม่ให้หาห่วงมาผูกคอ ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าถ้าปล่อยให้ความรักเกิดขึ้นในจิตใจเมื่อใด เมื่อนั้นเขาจะทำงานในพื้นที่แสนอันตรายลำบากมากขึ้น
เสียงรถแล่นเข้ามาจอดส่งผลให้ผู้กองทัตเทพตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มหันไปมองก็พบว่าเป็นผู้กองชัชฤทธิ์และชุดตชด.ได้เดินทางมาที่ฐานของเขา
“ไงครับ เจอรับน้องเข้าแล้วผู้กองผม”
ผู้กองชัชฤทธิ์หัวเราะร่วนโชว์ไรฟันขาวสะอาด จริงๆ แล้วนึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันไม่ใช่น้อย
“อืม…แม่ง ล่อซะเกือบไป”
ผู้กองทัตเทพหัวเราะออกมาเบาๆ การมีอารมณ์ขันในพื้นที่อันตรายเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้จิตใจหมกมุ่นอยู่กับการกลัวตายมากเกินไป
“แล้วคุณครูคนสวยเป็นไงบ้างครับ”
ผู้กองชัชเอ่ยถามพลางมองไปยังด้านหน้าเสาธงที่บัดนี้นักเรียนได้แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนไปหมดแล้ว
“คงไม่เป็นอะไรแล้ว…เห็นยังออกไปสอนได้ ผมเองก็ยังไม่ได้คุยกับเธอเลยวันนี้”
ผู้กองทัตเทพเอ่ยก่อนมองไปยังจุดเดียวกับผู้กองชัชฤทธิ์ เพื่อมองหาใครบางคน
“หายากนะครับที่ครูสาวๆ สวยๆ แบบนี้จะขอย้ายมาสอนอยู่ที่นี่”
คนพูดคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ชายหนุ่มยอมรับว่าถูกชะตากับครูสาวตั้งแต่แรกพบ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจมาเยือนฐานเฉพาะกิจแห่งนี้
“อือฮึ…”
ทัตเทพพยักหน้าแทนคำตอบ เพราะไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงนอกจากตัวเขาเอง
“ผู้กองอยู่ใกล้ชิดเธอ…ผมอยากรู้ว่าเธอมีคนในหัวใจหรือยัง”
ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยถามตรงประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา
“ไม่รู้สิ...ผมไม่เคยสนใจ แต่อาจจะมีหนุ่มซุกไว้อยู่ที่บ้านก็ได้ ถ้าไม่ดูทิศทางลมให้ดี ผมเกรงว่าคุณจะโดนสอยร่วงซะก่อนที่คิดจะจีบเธอน่ะสิ”
ผู้กองทัตเทพตอบเป็นเชิงกั๊กพร้อมมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่กำลังจะถูกแย่งของเล่นไป ของเล่นที่เด็กอย่างเขาไม่เคยแม้แต่จะคิดแกะกล่องออกมาดูสินค้าที่อยู่ข้างใน เขารู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่ออีกฝ่ายแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน
“ผู้กองก็พูดไป ถ้ามีแฟนจริง คงไม่ทิ้งแฟนมาที่นี่หรอก”
“ถ้ามีโอกาสผมจะถามให้ละกัน…ว่าแต่ คุณสนใจเธอเหรอ”
“ใครบ้างจะไม่สนคนสวยๆ จริงไหม ผู้กอง”
การที่อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้พร้อมคำพูดแลดูจริงจัง ทำให้คนฟังยืนยิ้มปร่าแปร่ง “ถ้าคุณไม่คิดจริงจัง ผมว่าอย่ายุ่งกับเธอเลยจะดีกว่า”
“ผู้กองกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกหวงก้างยังไงไม่รู้”
ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยอย่างรู้ทันในความคิดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ผู้กองก็พูดไป ผมจะหวงก้างทำไมมิทราบครับ”
ทัตเทพหัวเราะร่วน มือแกร่งยื่นไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ ราวกับว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่อันตราย
“ไปคุยกันในเต็นท์ดีกว่า ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อนึกได้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนวันนี้
“อืม…ไปสิ”
ทัตเทพเดินนำหน้าอีกฝ่ายไปยังเต็นท์สนามที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องวางแผนชั่วคราว
“การซุ่มโจมตีเมื่อวานมันไม่ได้สุ่มแบบมั่วๆ แต่มีการมาร์คเป้า หมายเอาไว้แล้ว…ซึ่งเป้าหมายของมันน่าจะเป็นตัวผู้กอง”
ชัชฤทธิ์เอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาอยู่เพียงลำพังสองคนภายในเต็นท์
“แสดงว่ามันรู้ว่าผมต้องผ่านไปทางนั้น”
“แน่นอน”
“เมื่อวานตอนแวะทานข้าว ผมสงสัยกลุ่มวัยรุ่นอยู่เหมือนกัน มีคนมองผมแปลกๆ ตั้งแต่ในร้านแล้ว”
แผงคิ้วเข้มของผู้กองทัตเทพถึงกับขมวดเข้าหากัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน
“บางทีพวกนั้นอาจจะเป็นสายให้กับกลุ่มคนร้ายก็ได้”
“ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหนบ้างน่ะสิ”
ผู้กองทัตเทพเอ่ยก่อนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความกลัดกลุ้ม
“นั่นแหละ ผมถึงอยากเตือนให้คุณระวังตัว…ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สายได้รายงานมาว่าค่าหัวของคุณตอนนี้แพงมาก แพงยิ่งกว่าหลายปีก่อนเสียอีก”
“อย่าบอกนะ ว่าพวกมันจำหน้าหล่อๆ ของผมได้”
ผู้กองทัตเทพหัวเราะร่วนอวดไรฟันขาวสะอาด ชายหนุ่มพยายามสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานเข้าไว้ ด้วยไม่อยากไปกังวลกับความจริงอันแสนน่ากลัวมากนัก
“ก็คุณกับผู้พันปรานต์เล่นสร้างวีรกรรมไว้ซะเยอะก่อนย้ายไปแถวตะวันตก ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่โดนต้อนรับดีขนาดนี้หรอก”
“อืม…พวกมันก็จัดปาร์ตี้ให้ผมซะชุดใหญ่เลย”
“ครูรัญชน์ก็เกือบโดนหางเลขไปด้วย ดีนะที่รอดมาได้”
“นั่นน่ะสิ ถ้าเมื่อวานผมไม่ชวนเธอไปด้วย เธอก็คงไม่ต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์หวาดเสียวนั่น”
มาถึงตรงนี้ผู้กองทัตเทพถึงกับยิ้มไม่ออก ใบหน้าคมคร้ามเริ่มแสดงความเครียดออกมาทันที เขาเริ่มกังวลไปถึงชีวิตของเธอหากมีเขาเข้าไปพัวพัน
“คิดไรมากผู้กอง ดวงคนเราอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราเลี่ยงชะตะฟ้าลิขิตไม่ได้หรอก”
ผู้กองชัชพูดปลอบอีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจและไม่อยากให้คิดมาก เนื่องจากจะส่งผลกระทบกับการทำงานขึ้นมาทันที
“จริงของผู้กอง…บางเรื่องเราเลี่ยงได้ แต่ถ้าคิดจะเอาชนะฟ้าคงทำไม่ได้”
ผู้กองทัตเทพยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อคิดไปถึงเรื่องราวระหว่างเขากับครูสาวที่ยังไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป นอกจากเขาและเธอ และชายหนุ่มไม่สามารถบอกได้เลยว่า ความลับนี้เขาจะทนปิดไปได้อีกนานแค่ไหนกัน
“ผู้กอง!”
รัญชน์ตกใจเล็กน้อยจนผงะถอยไปก้าวหนึ่ง เมื่อเดินกลับมายังบ้านพักแล้วเห็นผู้กองทัตเทพยืนกอดอกพิงผนังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน
“เด็กๆ กลับกันหมดแล้วหรือครับ”
ทัตเทพเอ่ยถามขณะเดินเข้ามาประจันหน้ากับคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงบันไดบ้าน
“อะ…เอ่อ ค่ะ” รัญชน์อึกอักตอบไป ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เพราะไม่ชินกับการที่เขามาดี
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
คนถามสบตากลับมา รัญชน์สังเกตเห็นความอาทรที่แฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น
“ดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ”
ตอบพร้อมกับความรู้สึกแปลกใจเล็กๆ ที่วันนี้อีกฝ่ายไม่ชวนทะเลาะเหมือนเช่นที่ผ่านมา
“ถ้าคุณขาดเหลืออะไรก็บอกได้นะ ผมจะให้คนไปซื้อให้”
ผู้กองทัตเทพยิ้มปร่าแปร่ง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่ามือไม้ของตัวเองช่างเกะกะสิ้นดี
“เอ่อ…ค่ะ” รัญชน์พยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็นิ่งเงียบเพราะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะชวนเขาคุยอะไรดี
“…..”
สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันนิ่ง ผู้กองทัตเทพถอนหายใจเล็กน้อยก่อนแสร้งเบนสายตาไปทางอื่น เนื่องจากอยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียดื้อๆ
ด้านรัญชน์เองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ด้วยเธอเองไม่คุ้นชินในท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมายามนี้ ความขวยเขินฟ้องขึ้นมาบนดวงหน้าหวานซึ้ง
“คุณไม่คิดอะไรมากก็ดีแล้ว…ผมจะได้สบายใจ”
ผู้กองหนุ่มพูดพลางเอามือล้วงกระเป๋าแก้เขิน
“ในเมื่อฉันตัดสินใจมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องก้าวเดินต่อไป เหตุการณ์เมื่อวานไม่ทำให้ฉันท้อไปได้หรอกค่ะ”
รัญชน์เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นอย่างเห็นได้ชัด
“ที่นี่อันตรายรอบด้าน…ทุกย่างก้าวคือการเดินเข้าไปหาความตายที่ไม่รู้ว่าเราจะโดนวันไหน ผมไม่เห็นว่ามันจะเหมาะกับผู้หญิงอย่างคุณสักนิด”
ผู้กองทัตเทพถอนหายใจออกมา ใบหน้าฉายแววตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันมาด้วยใจ แม้อันตรายแค่ไหนฉันก็จะฟันฝ่ามันไปให้ได้”
“ดูเด็กๆ ที่นี่จะรักคุณมากเลยนะ”
“รู้อย่างนี้แล้ว จะให้ฉันใจดำทิ้งพวกเขาไปหรือคะ”
“ผมไม่ค่อยเจอผู้หญิงคนไหนมีความคิดแบบคุณเลยให้ตายสิ”
“ผู้กองเลิกมองฉันในแง่ร้ายแล้วใช่ไหม”
“…..”
ไม่มีคำตอบจากปากของผู้กองหนุ่ม มีเพียงรอยยิ้มเล็กๆ ที่ส่งมาให้เธอ
"ผมเคยมองคุณแบบนั้นด้วยเหรอ แย่จังสงสัยผมจะสมองเสื่อมจริงๆ"
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่าที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้
“น่าตลกนะคะ ฉันขอย้ายตัวเองมาถึงที่นี่ ไม่คิดว่าจะโคจรมาพบกัน แต่คนบางคนกลับหาว่าฉันตามมาเสียนี่”
“นั่นน่ะสิ ผมเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ว่าที่เจ้าสาวของผมจะกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ สงสัยผมคงต้องกลับไปพิจารณาตัวเองเสียแล้ว”
“นั่นมันอดีต ตอนนี้ฉันไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาวของใครนะคะ”
รัญชน์มองใบหน้าคมคร้ามของอีกฝ่ายนิ่ง น่าแปลกที่พูดออก ไปแล้วก็กลัวจะเสียเขาไปจริงๆ หญิงสาวใจหายวาบพลางคิดไปถึงวันข้างหน้าว่าถ้าเจ้าสาวเปลี่ยนจากเธอไปเป็นคนอื่น เมื่อนั้นเธอจะยินดีหรือไม่
“แล้วคุณคิดว่าจะหนีผมพ้นหรือเปล่า คุณไม่กลัวผมเปลี่ยนใจหรือไง”
คำพูดนั้นมาพร้อมกับแววตาจริงจัง รัญชน์รีบหลุบตาลงต่ำเพื่อหลบนัยน์ตาคู่คมนั่น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
รัญชน์รีบตัดบท ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวมากไปกว่านี้ จิตใจเริ่มเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาววิ่งหนีเขาขึ้นบันไดบ้านไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าคุณตื่นทัน ผมอยากให้คุณไปใส่บาตร ผมจะรอนะ”
เสียงผู้กองหนุ่มตะโกนไล่หลังตามมา รัญชน์ปิดประตูอย่างรวดเร็วก่อนเอนกายพิงไว้ ริมฝีปากระเรื่อเผลอคลี่ยิ้มออกมาด้วยกำลังคิดว่า อย่างน้อยการมีไมตรีที่ดีต่อกันก็ยังดีกว่าเจอหน้ากันแล้วต้องปะทะคารมกันตลอด
แสงแดดเริ่มสาดส่องลงมาอาบไล้ทุกสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน แพรวพรรณเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐรูสีสันสวยงามอย่างมีลูกเล่น หล่อนเดินชมความงดงามของธรรมชาติเพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่แลเห็นอยู่เบื้องหน้า
เมื่อเดินมาถึงบ้านทรงไทย ผู้ที่รอต้อนรับอยู่ก่อนแล้วปราดออกมาจับมือถือแขนและทักทายด้วยความสนิทสนม
“ไปคุยกันข้างในเถอะค่ะ”
เนตรทิพย์ยิ้มกว้างพลางผายมือเชิญชวนแขกผู้มาเยือนเข้าไปด้านใน พร้อมกับสามีตนที่มารอรับหน้าเช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกจ้ะ คนกันเองทั้งนั้น”
แพรวพรรณเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเกรงใจพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้เจ้าบ้าน
“สมใจเตรียมน้ำกับของว่างมารับแขกหน่อย”
“พอพี่เห็นลูกออกข่าว เชื่อมั้ย พี่เป็นลมทั้งยืนเลย”
แพรวพรรณเปิดหัวข้อสนทนา เมื่อหย่อนก้นนั่งลงบนเบาะที่ปูทับไว้บนเก้าอี้ไม้สักตัวยาว
“ผมสองคนทำใจแล้วล่ะครับ ข่าวเกี่ยวกับผู้กองเขาน่ะ”
ทรงพลเอ่ยพร้อมทำสีหน้าเครียด แม้จะชาชินกับงานของลูกชาย แต่คราวนี้นับว่าค่อนข้างตกใจอยู่เหมือนกัน เมื่อฝ่ายคนร้ายมาร์คเป้าหมายอย่างชัดเจน
“ตอนดูข่าวทีแรก เนตรก็งงมากว่าลูกเราสองคนไปด้วยกันได้ยังไง” เนตรทิพย์เล่าพลางยิ้มเล็กน้อย เพราะนั่นคือสัญญาณที่ดี
“นั่นน่ะสิ ต่างคนต่างวิ่งหนี ถ้าไม่มีข่าวออกมาก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปอยู่ที่เดียวกัน”
แพรวพรรณเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน ถ้าไม่มีข่าวเรื่องผู้กอง
ทัตเทพถูกซุ่มโจมตีออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์และตามโทรทัศน์ เธอก็คงไม่รู้เนื่องจากลูกสาวไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยตั้งแต่ย้ายไปประจำอยู่ภาคใต้
“พ่อตัวดีของเนตรก็ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปเจอกันที่โน่น เพิ่งจะรู้ความจริงก็ตอนโทรไปถามข่าวเมื่อวันก่อน”
“ของพี่ก็เหมือนกัน เคยบอกอะไรซะที่ไหน ถ้าไม่มีเรื่องพวกเราก็คงไม่รู้ไปอีกนาน” แพรวพรรณเสริมขึ้นมาบ้าง
“จะว่านัดกันไปก็คงไม่ใช่ คงบังเอิญไปเจอกันมากกว่า เห็นทีต้องเรียกตัวกลับมาคุยเป็นงานเป็นการซะแล้ว ว่าจะเอายังไง”
ทรงพลเสนอแนะหลังจากที่นิ่งฟังอยู่นาน
“เรื่องงานแต่งพี่ว่ายังไม่ต้องรีบก็ได้ คนไม่รู้จักนิสัยใจคอกัน แต่งกันไปก็มีแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ พี่อยากให้เขาสองคนศึกษากันไปก่อน เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ทั้งคู่ก็เริ่มคุยกันบ้างแล้ว”
แพรวพรรณแนะนำ เพราะหล่อนเองก็ไม่อยากให้ชีวิตคู่ของลูกสาวต้องพังลงเพราะการคลุมถุงชน
“ถึงอย่างไรก็ต้องแต่งเพราะผู้ใหญ่คุยกันไว้หมดแล้ว ทางพี่แพรวมีแต่จะเสียหาย เดี๋ยวผมจะจัดการเองว่าลูกชายตัวดีของผมจะเอายังไง”
“จะยอมง่ายๆ หรือเปล่า”
เนตรยิ้มแหยๆ ใส่หน้าแพรวพรรณ ด้วยรู้จักอิทธิฤทธิ์ของลูกชายดี มาถึงตอนนี้คนต้นคิดอย่างเธอถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“นั่นน่ะสิ ของพี่ก็ดื้อเงียบ”
“ผมไม่กลัวอะไรหรอกคุณ ไปอยู่ไกลหูไกลตาพวกเราแบบนั้น แล้วหญิงชายถ้าได้ใกล้ชิดกันทุกวัน ผมกลัวว่าจะชิงสุกก่อนห่ามเสียก่อนนะสิ แล้วถ้าเกิดท้องขึ้นมาพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ทรงพลเอ่ยในฐานะที่เขาเองก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีคนนับหน้าถือตา เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เขาจึงต้องแสดงความรับผิดชอบเพื่อเป็นการให้เกียรติครอบครัวของฝ่ายหญิง ถึงแม้ในทีแรกจะไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องการคลุมถุงชนครั้งนี้ก็ตาม
ผู้กองทัตเทพต้องรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นหมวดคนสนิทไปนั่งคุยกับคุณครูแทบทุกเช้ากลางวันเย็น บางครั้งหมวดนรธีร์ยังหอบหิ้วขนมติดไม้ติดมือมาฝากรัญชน์เมื่อยามที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในตัวเมือง
ความรู้สึกอยากแสดงความเป็นเจ้าของแล่นปราดเข้ามาในห้วงความคิด ให้ทุกคนได้รู้ว่าเธอคือของเขาที่ใครก็ห้ามยุ่ง แต่อีกใจหนึ่งก็แย้งกัน เนื่องจากเขายังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใคร ยามนี้ความรู้สึกสองอย่างจึงตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
“หมวดครับ ผู้กองให้มาเชิญครับ”
เสียงจ่าเดินมาตามหมวดธีร์ที่หน้าฮัทในค่ำวันหนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
หมวดนรธีร์เอ่ยขอบคุณก่อนลุกตามไปทันที คิดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องงานใหม่ๆ ตามเคย
“อ้อ หมวด…นั่งก่อนสิ”
ผู้กองทัตเทพละสายตาจากเอกสารราชการตรงหน้า ก่อนผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม
“ผู้กองมีเรื่องด่วนหรือครับ”
“ก็ไม่เชิงด่วน…แต่ผมมีงานใหม่จะให้หมวดทำ”
“งานอะไรครับ”
“จริงๆ แล้วจุดประสงค์หลักของฐานเราก็คือ การปฏิบัติงานในเชิงรุก ผมอยากให้หมวดเป็นหัวหน้าทีมของฐานเราร่วมกับชุดปฏิบัติ การจากฐานอื่นๆ เข้าไปตามหมู่บ้าน เพื่อดึงมวลชนให้กลับมาอยู่ฝ่ายเราให้มากที่สุด
ผู้กองทัตเทพเอ่ยถึงงานชิ้นล่าสุดที่เขาคิดว่าจะให้หมวดธีร์รับผิดชอบ เพราะอีกฝ่ายเก่งเรื่องจิตวิทยา เหตุผลอื่นนั้นเขาไม่มีอะไรแอบแฝง เขาไม่ได้ต้องการจะแยกใครออกจากกัน
“แล้ว…มีใครไปกับผมบ้างครับ” ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยถามพลางลอบถอนใจ เพราะมันหมายถึงเขาจะไม่ค่อยได้เจอหน้ารัญชน์เหมือนที่ผ่านมา
“หลักๆ เลยก็มีหมวดแบงค์กับคุณ นอกนั้นผมจะจัดอีกที ว่าจะให้ใครไปบ้าง”
“ชาวบ้านแถบนี้ระแวงข้าราชการกันมาก เราจะทำสำเร็จหรือครับ” ผู้หมวดหนุ่มมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นแหละ…ผมถึงได้อยากให้หมวดเข้าไป แผนแบ่งแยกของอีกฝ่ายสำเร็จไปมากแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อทำลายแผนนั้นให้ได้ แม้มันจะต้องใช้เวลานานก็ตามที”
ผู้กองทัตเทพเอ่ยพลางจ้องหน้าผู้หมวดหนุ่มนิ่ง ยากที่อีกฝ่ายจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ครับผู้กอง”
หมวดนรธีร์รับคำสั้นๆ แต่ภายในใจกลับคิดแย้งกันว่าทำไมต้องเป็นเขาด้วย ทั้งๆ ที่ทหารคนอื่นที่เก่งด้านจิตวิทยาก็มี
“หมวดจะใช้ยุทธวิธีอะไรก็ได้ ผมเชื่อในความสามารถของคุณ มะรืนนี้คือวันเริ่มงาน และทุกครั้งหมวดต้องเอาผลการประชุมที่จะมีขึ้นทุกวันหลังเลิกงานมารายงานผม เอาละไปพักผ่อนเถอะ ผมรบกวน คุณแค่นี้แหละ”
หมวดนรธีร์ทำความเคารพก่อนเดินออกจากห้องวางแผนไป ผู้กองหนุ่มนวดปลายนิ้วไปตามขมับเมื่อนึกถึงภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงที่รออยู่ข้างหน้า ความเป็นจริงที่เขาได้รับรู้มาเนิ่นนานมันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่สองมือของเขาจะรับไหว และเขาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสงครามแบ่งแยกดินแดนครั้งนี้จะสิ้นสุดลงวันใด…