Chapter 3 หวงก้าง (2)
รัญชน์เดินเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย ภาพที่เห็นเธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือยุคปัจจุบัน หญิงสาวคิดไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในยุคสงครามโลก ตามถนนเต็มไปด้วยทหารถือปืน รถหุ้มเกราะที่ผู้คนเห็นจนชินตา เธอเห็นทหารลงจากรถคุ้มกันมาซื้อกับข้าวยังต้องสะพายปืนลงมา พลางคิดว่าเมืองไทยเกิดอะไรขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตของข้าราชการที่นี่น้อยมาก
ข้าราชการที่มาทำงานอยู่พื้นที่นี้ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก ซึ่งเธอเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะได้มาเดินเล่นในสถานที่ที่ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้
รัญชน์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วดูอีก เกือบบ่ายโมงแล้วแต่อีกฝ่ายหนึ่งยังคงไม่ปรากฏกาย หญิงสาวถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอนั่งรอผู้กองทัตเทพมาเป็นชั่วโมงแล้ว ทั้งเข้าร้านเสริมสวย เดินเล่น และพยายามซื้อของให้ช้าที่สุดเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ แต่ก็ยังเร็วไปอยู่ดี จนต้องมานั่งรออีกฝ่ายอย่างน่าเบื่ออยู่เช่นนี้
นิตยสารในมือถูกเปิดไปเปิดมาอยู่หลายรอบ แต่เจ้าของกลับไม่สนใจเนื้อหาในนั้นเท่าใดนัก ด้วยจิตใจจดจ่ออยู่กับการกลับบ้านมากกว่า
สายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงกำลังเดินมาพร้อมนายทหารอีกหลายนายทำให้หญิงสาวยิ้มออก เมื่อการรอคอยอันยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้ว
ผู้กองทัตเทพยืนคุยกับกลุ่มทหารอยู่สักพัก ก่อนหันหน้ามาทางเธอแล้วหันไปเอ่ยอะไรบางอย่างกับพวกเขา จากนั้นจึงแยกย้ายกันไป หนึ่งในนั้นเดินตามหลังเขามา
“มากับผู้กองหรือครับ คุณครู”
ชายในชุดพรางที่เดินมากับผู้กองทัตเทพเอ่ยทัก เมื่อทั้งสองมาหยุดยืนอยู่หน้าเธอ
“อ๋อ ใช่ค่ะ” รัญชน์ตอบสั้นๆ ก่อนส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่าย
“ครูรัญชน์ นี่ผู้กองชัชฤทธิ์ หัวหน้าชุดตชด.ของที่นี่”
ทัตเทพเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นฝ่ายชายมองคุณครูคนสวยตาไม่กระพริบ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ…ครูรัญชน์”
ผู้กองชัชฤทธิ์เอ่ยพลางยื่นมือออกมารอ ก่อนที่รัญชน์จะยื่นมือไปสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายตามมารยาทการทักทายแบบสากล
“เช่นกันค่ะ”
“ยังไงวันนี้ผมกับครูรัญชน์ต้องขอตัวกลับก่อน บังเอิญว่าคุณ ครูจะรีบไปซักผ้าน่ะครับ”
“หือ?”
รัญชน์ทำหน้างงขณะหันไปมองหน้าเจ้าของคำพูด แต่อีกฝ่ายกลับแอบหยิกที่แขนของเธอโดยที่ผู้กองชัชไม่ทันสังเกตเห็น
“อะ...อ๋อ…ค่ะ รัญชน์ลืมไปว่าแช่เสื้อผ้าไว้”
รับมุกพลางยิ้มแหยๆ ใส่หน้าผู้กองชัชฤทธิ์ ไม่เข้าใจตัวว่าจะไปเชื่อผู้กองทัตเทพทำไม
“แล้วเจอกันใหม่นะครับผู้กอง”
ทัตเทพตัดบทก่อนเดินไปหยิบถุงหลายใบของรัญชน์ใส่ไว้ท้ายรถกระบะ จากนั้นจึงหันหน้ามาพยักพเยิดให้ครูสาวเดินไปขึ้นรถ ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงเล็กน้อยด้วยรู้สึกขัดหูขัดตากับภาพตรงหน้าขึ้นมาเสียดื้อๆ
“หวังว่าคงได้พบกันอีกนะครับคุณครู”
ผู้กองชัชฤทธิ์ตะโกนตามไป ชายหนุ่มส่งยิ้มกว้างเมื่อเธอหันกลับมายิ้มให้เพื่อรับไมตรีจากเพื่อนใหม่
“ค่ะ ผู้กอง”
“จะล่ำลาอะไรกันนักกันหนาคุณ ผมรำคาญ”
ทัตเทพกระซิบกระซาบอย่างหัวเสียเมื่อเห็นคุณครูคนสวยหันไปยิ้มให้ผู้กองชัชฤทธิ์ราวกับคุ้นเคยกันมานาน
“เรื่องของคุณ”
หญิงสาวโต้กลับก่อนปิดประตูรถอย่างแรง ด้วยรู้สึกว่าชายหนุ่มข้างกายช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“แต่ผมหิวข้าว หัดเกรงใจคนอื่นซะบ้าง”
“ฉันรอคุณเป็นชั่วโมงยังไม่บ่นสักคำ แค่ฉันคุยกับผู้ชายหน่อยเดียวทำเป็นกระฟัดกระเฟียด อย่าบอกนะว่าคุณหึงฉัน”
รัญชน์แกล้งยิ้มยั่วใส่หน้าอีกฝ่าย นัยน์ตาสีน้ำผึ้งจ้องลึกไปยังนัยน์ตาดำเข้มของอีกฝ่ายนิ่ง
“นี่คุณ ช่างกล้าพูด ผมเนี่ยนะหึงคุณ ตลกสิ้นดี”
ทัตเทพเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ราวกับหญิงสาวเล่าเรื่องตลกให้ฟัง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขำด้วย
“แล้วทำไมคุณต้องรีบกลับ แถมยังมาหยิกฉันอีก”
“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมหิวข้าว ถ้าคุณอยากจะคบกับใครก็คบไป ไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว”
“ไม่หึงก็แล้วไป”
“ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าคุณมีดีอะไร ผมถึงต้องหึงคุณ”
คนพูกยกยิ้มมุมปากใส่หน้าคนฟังอย่างยั่วเย้า ก่อนหันไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา
“จ่ายุทธ เดี๋ยวแวะร้านเดิมนะ ทานข้าวกันก่อน”
“ครับผู้กอง”
พลขับรับคำสั้นๆ ในขณะที่รถค่อยๆ เคลื่อนที่ออกมานอกตัวเมืองเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป
++++
“คุณไม่รีบใช่ไหม”
ผู้กองทัตเทพหันมาถามคนข้างกาย เมื่อจ่ายุทธเลี้ยวรถเข้ามาจอดยังร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ถึงรีบก็คงกลับไม่ได้” รัญชน์เอ่ยแกมประชดกลับไป
“ถ้าคุณรีบก็เดินไปก่อนได้นะ แค่ไม่กี่กิโลเอง”
ทัตเทพหัวเราะใส่หน้าอีกฝ่ายที่นั่งทำตาถลึงรออยู่ก่อนแล้ว จนจ่าเข้มต้องแทรกขึ้นมา “ไปครับคุณครู ทานข้าวกันก่อน”
“ขอบคุณค่ะจ่า”
รัญชน์เอ่ยขณะก้าวลงจากรถ หญิงสาวเดินตามร่างสูงของผู้กองหนุ่มเข้าไปด้านใน ซึ่งเขาเลือกโต๊ะที่อยู่มุมสุดเนื่องจากไม่ชอบความวุ่นวาย
“เบียร์ไหม”
ทัตเทพหันมาเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกาย สายตาคู่คมลอบสำรวจไปทั่วร่างบาง
“ฉันไม่ถูกกับแอลกอฮอล์ ขอน้ำเปล่าดีกว่า”
หญิงสาวส่ายหัวเล็กน้อย จ่าเข้มจึงหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ลืมไปว่าคุณต้องภาพพจน์ดีเลิศ แต่จะเป็นประเภทข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรงหรือเปล่า หึ”
“มันเรื่องของฉัน”
รัญชน์ไม่พูดเปล่า หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิกต้นขาอีกฝ่ายอย่างแรง โดยที่จ่าเข้มและจ่ายุทธไม่ทันสังเกตเห็น
“อูย ผมเจ็บนะ”
ผู้กองหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าเข้ามากระซิบแสร้งทำว่าเจ็บนักหนา ในขณะที่มือแกร่งพยายามแกะมือเล็กออกจากต้นขาของตนเอง ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดกันไปมา
“เอ่อ…ผู้กองครับ สั่งอาหารก่อนดีไหมครับ”
เสียงเจือความเกรงใจของจ่าเข้มเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของสองหนุ่มสาวเบื้องหน้า
“จ่าจัดการเลยผมทานได้หมด แล้วคุณล่ะอยากทานอะไร”
ทัตเทพเอ่ยถามคนข้างๆ กลบเกลื่อนสายตาจ่า ขณะที่มือแกร่งยังคงจับมือเล็กเอาไว้ให้อยู่กับที่ ด้วยกลัวจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีก
“เอ่อ…อะไรก็ได้ค่ะจ่า”
รัญชน์มองหน้าจ่าเข้มที่กำลังอมยิ้มเล็กน้อย หญิงสาวกัดฟันยิ้มใส่หน้าจ่าสองคนด้วยความขวยเขิน จ่าเข้มจดรายการอาหารลงในกระดาษจากนั้นจึงหันไปเรียกพนักงานเสิร์ฟให้มารับไป
“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
จ่าเข้มหันมาเอ่ยกับเจ้านาย ก่อนสะกิดให้จ่ายุทธลุกตามไป คล้ายกับต้องการเปิดทางให้ผู้กองหนุ่มกับครูสาวได้เคลียร์เรื่องบางอย่างที่ยังคงค้างคาเมื่อสักครู่
“ปล่อยสิ”
รัญชน์กระซิบเมื่อลับร่างจ่าทั้งสองแล้ว พยายามชักมือจากการถูกกอบกุมออกแต่ไม่เป็นผล เมื่ออีกฝ่ายยังคงตรึงไว้แน่น
“ปล่อยให้โง่สิ ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณจะไม่ทำร้ายร่าง กายผมอีก นี่ผมฟ้องร้องคุณได้เลยนะ”
“แล้วคุณจะทานข้าวได้ยังไง ถ้าจับฉันไว้อย่างนี้”
“ผมถนัดขวา ไม่ได้ถนัดซ้ายเสียหน่อย”
อีกฝ่ายตอบหน้าตาเฉย พลางยิ้มเล็กๆ ใส่ตาหญิงสาวข้างกาย
“คุณก็บอกมาตามตรงว่าอยากแต๊ะอั๋งฉัน ไม่เห็นต้องใช้ไม้นี้”
รัญชน์แกล้งยิ้มยั่ว แทนที่อีกฝ่ายจะโกรธชายหนุ่มกลับหัวเราะชอบใจ
“แล้วแต่คุณจะคิด”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาเปลี่ยนจากการกอบกุมมือเล็กไปโอบไหล่ของอีกฝ่ายแทน
“ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ!”
รัญชน์ปัดท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดเธออยู่ออกอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายยิ้มกริ่มที่แกล้งให้เธอโกรธได้สำเร็จ
“ด่าผมทำไม”
“ยังจะมีหน้ามาถาม”
“ทำไมล่ะคุณครู คุณเป็นของผม ผมก็มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนี้ได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันไปเป็นของคุณตอนไหน”
“ไหนๆ เราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว คุณสนใจที่จะมาอยู่ก่อนแต่งกับผมมั้ยล่ะ จะได้รู้จักกันให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ไง”
ผู้กองหนุ่มยิ้มมุมปาก นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ รอดูว่าอีกฝ่ายจะโต้กลับมาอย่างไร
“รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะคุณผู้กอง แล้วฉันไปบอกคุณตอนไหนว่าจะแต่งงานกับคุณ ทุกอย่างถูกล้มเลิกไปหมดแล้ว”
“ไม่รู้สิครับ ผมสมองเสื่อม จำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ค่อยได้”
ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉย จนรัญชน์เริ่มจะหงุดหงิดในความยียวนกวนอารมณ์ที่เขาแสดงกับเธอ
“ฉันไม่คุยกับคนกวนประสาทอย่างคุณแล้ว”
“ถ้าวันใดผมอยากได้ของของตัวเองคืน ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาขวาง จำเอาไว้นะครับคุณครูคนสวย”
รัญชน์นิ่งอึ้งเพราะไม่รู้เขาพูดเล่นหรือพูดจริง ขณะเดียวกันจ่าเข้มและจ่ายุทธได้เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ส่งผลให้การปะทะคารมจบลงแค่นั้น
พฤติกรรมของทั้งหมดหาได้รอดพ้นสายตาของกลุ่มวัยรุ่นท้องถิ่นสี่คนที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน พวกเขามานั่งที่นี่ก่อนที่กลุ่มของผู้กองทัตเทพจะเข้ามา ซึ่งในขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบนั้นสายตาคู่คมเหลือบไปเห็นสายตาสี่คู่ที่กำลังจ้องมองมาที่ตนโดยบังเอิญ
ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ด้วยสัญชาตญาณรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ฉายออกมาจากแววตาของวัยรุ่นกลุ่มนั้น เหมือนพวกนั้นจะรู้ว่าเขารู้ตัว ทั้งสี่คนเรียกพนักงานมาคิดเงินก่อนพากันลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านอาหารไป ผู้กองทัตเทพมองตามไปจนกระทั่งทั้งสี่คนขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซด์แล้วขี่ออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
วินาทีนั้นสายตาคู่คมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายแวบหนึ่ง เธอเปราะบางเกินไปที่จะมาคลุกคลีกับสังคมแสนอันตรายแบบนี้ ยิ่งเป็นคนนอกพื้นที่ด้วยแล้ว การตกเป็นเป้าของผู้ก่อความไม่สงบนั้นมีสูง ทัตเทพเริ่มกังวลถึงอนาคตของเธอว่าจะเป็นไปในทิศทางใด