Chapter 3 หวงก้าง (1)
เช้าวันอาทิตย์เวลาประมาณเกือบสองโมงเช้า รัญชน์ออกมายืนรอรถแต่เช้าเพื่อที่จะเข้าไปซื้อของในตัวเมือง เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้บางอย่างใกล้จะหมดลง หญิงสาวเลยถือโอกาสที่จะไปเดินเที่ยวเล่นรอบๆ ตัวเมืองเพื่อทำตัวให้คุ้นชินกับสภาพความเป็นอยู่ที่นี่ด้วย
“จะไปไหนหรือครับ คุณครู”
เสียงที่ตะโกนถามพร้อมเสียงล้อรถบดกับถนนดังเอี๊ยด ส่งผลให้รัญชน์หันไปมองตามเสียงที่มา ที่แท้ก็เป็นผู้กองปากเสียในความคิดของเธอ
“ไปในเมือง”
หญิงสาวตะโกนกลับไปก่อนเบือนหน้าออกไปยังเส้นทางที่รถโดยสารจะผ่านมาโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
“ขึ้นมาสิ…ผมจะไปธุระในนั้นพอดี”
ผู้กองทัตเทพเอ่ยชวน เนื่องจากเห็นอีกฝ่ายยืนรอรถอยู่คนเดียวบริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้าน เขาคิดว่าในสถานการณ์ตอนนี้คงไม่เหมาะนักที่จะปล่อยให้ผู้หญิงต้องมายืนอยู่เพียงลำพังในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครสัญจรผ่านมา
“ขอบคุณ”
รัญชน์เอ่ยสั้นๆ ขณะก้าวขาขึ้นมานั่งเคียงข้างอีกฝ่ายบนรถกระบะสี่ประตูคันโต
“คราวหน้าคราวหลังถ้าจะไปไหนไกลๆ เพียงลำพังให้บอกคนของผมก็ได้ พวกเขาจะได้พาไป”
สายตาคนพูดที่จับจ้องมองมา รัญชน์รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังตำหนิเธอ
“ก็ฉันเกรงใจ เห็นว่าขึ้นรถต่อเดียวก็ถึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
หญิงสาวโต้กลับทันควัน เมื่อรู้สึกไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายใช้สายตาแบบนั้นกับเธอ
“ความเกรงใจของคุณจะทำให้ผมซวยไปด้วย เพราะคุณอยู่ในพื้นที่ที่ผมรับผิดชอบ ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาผมจะไปรายงานผู้ใหญ่ว่ายังไง ฮึ!”
นั่นคือข้ออ้างที่เขาใช้กับว่าที่เจ้าสาวที่ใจแสนชิงชัง ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ ว่าเพราะกลัวถูกเขียนรายงานหรือเพราะความเป็นห่วงนั้นมาจากใจ
“ฉันขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบากใจ”
รัญชน์เอ่ยตัดบท ด้วยเธอไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต
“รู้ตัวก็ดี…แล้วผมอยากให้คุณท่องเอาไว้ว่า ตอนนี้เป้าหมายหลักของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็คือแม่พิมพ์ของชาติ โดยเฉพาะคุณครูสาวๆ สวยๆ อย่างคุณ”
ประโยคหลังคนพูดทำน้ำเสียงกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน แสร้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้และใช้สายตาคู่คมไล่พินิจพิจารณาไปทั่วร่างบาง
“อย่ามามองฉันแบบนั้นนะ”
รัญชน์เข่นเสียงรอดไรฟันพลางเขม่นตามอง เรียกรอยยิ้มให้ผุดพราวขึ้นบนใบหน้าคมคร้าม
“อันที่จริงคุณแม่ของผมก็ตาถึงเหมือนกันนะ ที่เลือกเมียแบบคุณมาให้ผม แต่น่าเสียดายที่ผมดันไม่พิศวาสคุณสักนิด”
คนพูดทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในลำคอพลางส่ายหัวไปมา เขายังหัวเราะใส่หน้าอีกฝ่ายราวกับว่าตลกเสียนักหนา ในขณะที่เจ้าตัวไม่ขำด้วย
“เหอะ แล้วนึกว่าฉันพิศวาสคุณนักรึไง คนขี้เก๊ก”
รัญชน์โต้กลับ ริมฝีปากชมพูระเรื่อยื่นออกมาเล็กน้อยโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว
“ผู้หญิงจองหอง”
“คนขี้เก๊ก”
“เอาละๆ ผมยอมก็ได้ เพราะผมไม่อยากเสวนากับเด็กอมมือแบบคุณ”
“คุณ!”
รัญชน์อยากชกเปรี้ยงเข้าที่ริมฝีปากร้ายกาจนั่นสักทีสองที ที่เขาช่างสรรหาคำมาต่อว่าเธอได้สารพัด และเธอก็เสียเปรียบตรงที่เถียงใครไม่ขึ้นเสียด้วย
“ผมบอกว่ายอมไงครับ”
ผู้กองทัตเทพยกมือเป็นเชิงยอมยกธงขาว ด้วยชายหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นแววตาของพลขับที่มองทางกระจกส่องหลัง เหมือนกับกำลังขบขันในพฤติกรรมของคุณครูและเจ้านายที่ชวนกันกระซิบกระซาบทะเลาะกันอยู่ตอนหลังของรถ ในขณะเดียวกันจ่าเข้มที่นั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับก็เริ่มมองหน้ากับพลขับอยู่บ่อยครั้ง คล้ายต้องการสื่อความ หมายบางอย่าง
“ว่าคนอื่นเสร็จแล้วก็บอกให้หยุด”
“ผมบอกว่ายอมไง”
ผู้กองหนุ่มยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ก่อนขยิบตาให้หญิงสาวรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าของจ่าสองนาย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
รัญชน์เข่นเสียงกลับไปด้วยเธอเองก็เริ่มรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ากำลังตกเป็นที่สนใจของจ่าสองคนที่นั่งเงียบอยู่ตอนหน้าของรถ หากไม่เกรงใจผู้ใหญ่สองคนเธอคงไม่ยอมให้เขามาว่าฝ่ายเดียวแน่นอน
“ซื้อของเสร็จก็มารอผมอยู่ที่นี่ ผมไม่อยากให้คุณกลับคน
เดียว ได้ยินชัดเจนนะ ผมหวังว่าคุณจะไม่หาเรื่องใส่ตัวมาให้ผม”
ผู้กองทัตเทพหันมากำชับรัญชน์เมื่อร่างสูงในชุดพรางก้าวเดินอ้อมหน้ารถมายืนข้างๆ พร้อมมองหน้าคล้ายสื่อให้รู้ว่าคำสั่งของเขาคือปะกาศิตที่ต้องปฏิบัติตาม
“คุณประชุมนานหรือเปล่า ถ้านานฉันไม่รอนะ”
“ไม่นานหรอก แค่ครึ่งวันเอง”
“ใครจะไปรอคุณ”
“ถ้าคุณถูกโจรมันลากเข้าป่าไปเรียกค่าไถ่ ผมจะไม่ตามไปช่วยเลยคอยดู”
“ก็แล้วแต่คุณ เพราะถ้าคุณไม่ช่วยก็ต้องมีทหารหรือตำรวจหล่อๆ แถวนี้ตามไปช่วยฉันอยู่ดี”
รัญชน์แกล้งทำตาหวานเยิ้มเมื่อเอ่ยถึงหนุ่มๆ ที่ไม่ใช่คนตรงหน้า
“หึ! เสน่ห์แรงจริงนะ แม่คุณ”
“มันแน่อยู่แล้วค่ะคุณผู้กอง มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นแหละที่มองไม่เห็นมัน สงสัยจะตายด้าน”
“ตายด้านหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คนบางคนก็อยากลิ้มลอง จนถึงขนาดลงทุนตามมาถึงที่นี่ละกัน”
“เอ๊ะคุณ!พูดไม่รู้เรื่องหรือยังไงว่าฉันไม่ได้คิดจะตามคุณ ฉันจะวิ่งหนีคุณต่างหาก แต่ดวงซวยจริงๆ ที่ยิ่งหนีกลับยิ่งเจอ ถ้ารู้แบบนี้นะ ฉันไม่ทำเรื่องขอย้ายเอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่หรอก เพราะคุณคนเดียว”
รัญชน์รัวคำพูดใส่หน้าอีกฝ่ายเป็นชุด ด้วยเริ่มจะทนไม่ไหวที่เขายังกล่าวหากันไม่เลิก
“อย่างน้อยคุณก็ยังมีผมซวยเป็นเพื่อน เพราะผมเองก็ไม่คิดว่าจะมาเจอว่าที่เมียของตัวเองที่นี่เหมือนกัน”
“ฉันไม่ใช่ว่าที่เมียของใครทั้งนั้น อย่ามาอ้างสิทธิ์ เพราะเรายังไม่ได้เข้าพิธีอะไรทั้งสิ้น”
“ผมจะคอยดูว่าคุณไม่สนใจผมอย่างที่ปากพูด แล้วก็ไม่ได้ตามผมมาจริง ๆ”
แววตาดำเข้มจ้องลึกเข้าไปยังนัยน์ตาสีน้ำผึ้ง คล้ายคาดคั้นให้อีกฝ่ายยอมจำนน
“ไม่มีทาง วันนั้นจะไม่มีวันมาถึง อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยคุณผู้กอง”
รัญชน์ทิ้งท้าย ก่อนสะบัดหน้าหนีเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อทำธุระของตัวเองทันที
“แล้วอย่าลืมมารอผมอยู่ที่นี่นะ นี่คือคำสั่ง!”
ผู้กองทัตเทพตะโกนไล่หลังร่างบางไป เธอหันมามองแวบหนึ่ง ก่อนทำไม่สนใจแล้วเดินต่อไปราวกับว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีตัวตน ชายหนุ่มส่ายหัวเล็กน้อยก่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งเพื่อไปทำธุระของตนเองเช่นเดียวกัน
รัญชน์เดินเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย ภาพที่เห็นเธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือยุคปัจจุบัน หญิงสาวคิดไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในยุคสงครามโลก ตามถนนเต็มไปด้วยทหารถือปืน รถหุ้มเกราะที่ผู้คนเห็นจนชินตา เธอเห็นทหารลงจากรถคุ้มกันมาซื้อกับข้าวยังต้องสะพายปืนลงมา พลางคิดว่าเมืองไทยเกิดอะไรขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตของข้าราชการที่นี่น้อยมาก
ข้าราชการที่มาทำงานอยู่พื้นที่นี้ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก ซึ่งเธอเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะได้มาเดินเล่นในสถานที่ที่ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้