Chapter 2 ขมิ้นกับปูน (1)
เช้าวันที่อากาศครึ้มฝน ผู้หมวดนรธีร์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังห้องวางแผนของฐานปฏิบัติการ เมื่อผู้กองทัตเทพวานให้พลทหารไปตามเขามาพบด่วน ผู้หมวดหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมคำถามในใจ
“นั่งก่อนสิหมวด”
“ผู้กองให้คนไปตามผม มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“โรงเรียนข้างล่างถูกลอบวางระเบิดเมื่อคืนนี้…สงสัยมันคิดจะเอาคืนที่เราไปดักถล่มมันเมื่อวันก่อน ก็เลยไปลงกับโรงเรียนแทน”
ผู้กองทัตเทพสันนิษฐานพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยความ เครียดที่เริ่มถาโถมเข้ามา
“แล้วมีใครเป็นอะไรบ้างครับ”
ผู้หมวดหนุ่มภาวนาว่าขออย่าให้ได้ยินข่าวร้ายออกมาจากปากของอีกฝ่ายเลย เนื่องจากถ้ามีการสูญเสียคงหนีไม่พ้นเพื่อนทหารอีกตามเคย ถึงแม้คนที่เสียชีวิตจะไม่รู้จักกัน แต่เขาก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
“คราวนี้มีทหารบาดเจ็บสองนาย ยังดีที่มันมากันกลางคืนและเป็นวันหยุด ครูและนักเรียนเลยรอดไป”
“พวกนี้นับวันมันยิ่งเหิมเกริมนะครับ”
คนพูดมีสีหน้าเศร้าหมองลงไป เพราะมันเป็นข่าวที่เขาอยากให้มันหมดไปเสียที
“คงยากที่จะหยุดพวกนี้ได้…และตอนนี้ทางผู้ใหญ่เขาขอความร่วมมือให้ผมจัดกองกำลังส่วนหนึ่งลงไปสมทบยังพื้นที่เสี่ยงเพื่อคอยเฝ้าระวังสถานการณ์ไปสักระยะหนึ่ง”
“จริงเหรอครับ แล้ว…ผู้กองจะส่งใครลงไปบ้างครับ”
หมวดหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ด้วยตัวเขาเองก็อยากลงไปปฏิบัติงานข้างล่างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจะได้เจอหน้าคนที่อยากเจอได้ทุกวัน
“ช่วงแรกผมจะลงไปเองก่อน และผมคิดว่าจะให้หมวดเป็นหัว หน้าชุดรปภ. เดี๋ยวหมวดช่วยบอกพลฯเจี๊ยบให้ไปเชิญเจ้าหน้าที่ทั้ง หมดมาประชุมพร้อมกันที่นี่สามโมงเช้านะ”
“ครับผู้กอง”
เมื่อลับร่างของหมวดนรธีร์แล้ว ผู้กองหนุ่มต้องถอนหายใจออก มาเล็กน้อยด้วยความเครียด…เขามาเหยียบย่างที่นี่ได้ไม่ทันไรก็มีงานใหญ่เข้ามาเสียแล้ว ทัตเทพคิดพลางเอนกายพิงเก้าอี้แล้วหลับตานิ่งแล้วคิดไปถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งนี้…เขาคิดว่ามันคงไม่มีวันสงบสุขหากยังมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่คนตายเท่านั้นจะได้รู้
เจ้าของร่างเพรียวบางในชุดตัดเย็บเข้ารูปพอดีตัวและผมยาวสลวยรวบเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย กำลังรีบก้าวเดินออกมาจากบ้านพักเพื่อมุ่งหน้าสู่โรงเรียนที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก ขาเรียวสวยก้าว
ยาวๆ ไปตามทางเดินด้วยจวนเจียนจะได้เวลาเคารพธงชาติเต็มที
ร่างบางต้องหยุดชะงักชั่วครู่เมื่อสายตาไปสบเข้ากับกลุ่มทหาร
ติดอาวุธยืนกันเต็มลานเคารพธงชาติ อาจเป็นเพราะข่าวที่มีโรงเรียนอีกหมู่บ้านหนึ่งถูกลอบวางระเบิดเมื่อคืนก่อน เจ้าหน้าที่เลยต้องจัดกองกำลังเพื่อมาคุ้มครองโรงเรียนอื่นๆ ที่อาจจะตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเช่นกัน เมื่อคิดดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจอะไรหากจะมีทหารมายืนกันเต็มหน้าโรงเรียน
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีเคารพธงชาติแล้วนักเรียนต่างทยอยเดินเข้าห้องเรียนไป ทางด้านของผู้กองทัตเทพเมื่อสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเลี่ยงออกมาเพื่อสำรวจพื้นที่รอบๆ บริเวณโรงเรียน ในขณะที่รัญชน์เองก็กำลังก้าวเดินออกจากลานเคารพธงชาติเพื่อเข้าไปทำการสอนในชั่วโมงแรก
‘ผะ ผู้กอง!’
ครูสาวยืนนิ่งดั่งถูกสาป เมื่อเห็นร่างคุ้นตาในชุดลายพรางกำลังเดินมาทางตน ที่ผ่านมาแม้ไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่เธอก็เคยพบเขามาบ้างเมื่อยามที่สองครอบครัวไปทานข้าวด้วยกัน
“รัญชน์!”
ด้านผู้กองหนุ่มก็มีท่าทีไม่ต่างกัน เขาผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างคุ้นตายืนอยู่เบื้องหน้า ต่างฝ่ายต่างยืนงงและนิ่งงันไปพักใหญ่ คิดด้วยใจที่ตรงกันว่ามันช่างบังเอิญกับการที่หนีมาไกลแล้วยังโคจรมาเดินทับรอยเท้ากันจนได้
ทัตเทพรีบตีสีหน้าให้เป็นปรกติ ก่อนจะค่อยๆ สาวเท้าตรงไปหาคนที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้จนประจันหน้าใน
ระยะหายใจรด สายตาคู่คมจับจ้องดวงหน้าหวานแล้วกระตุกยิ้มออก
มา มันเป็นรอยยิ้มหยันที่สร้างความไม่พอใจให้คนมองขึ้นมาทันที
“อย่าบอกนะครับคุณครูว่าหนีว่าที่เจ้าบ่าวมาไกลถึงที่นี่น่ะ แหม…บังเอิญจังเลยแฮะ”
เพียงประโยคแรกก็ฟังไม่เข้าหู รัญชน์จึงสวนออกมาทันควัน “แล้วผู้กองล่ะคะ หนีว่าที่เจ้าสาวมาไกลถึงนี่เชียวเหรอ แหม…บังเอิญจังแฮะ”
คนฟังหุบยิ้มเมื่อถูกย้อนยอก ให้ตายสิเขาไม่ชอบท่าทีอวดดีของคนตรงหน้าเอาเสียเลย ผู้กองหนุ่มคิดพร้อมไหวไหล่ยียวนพร้อมริมฝีปากหยักได้รูปแสยะยิ้มเย้ยหยัน
“ผมก็อยากจะหนีอยู่หรอกนะ แต่ดูท่าว่าผมจะโดนจับไม่ปล่อยซะแล้วสิ”
“นี่หาว่าฉันตามคุณมาอย่างนั้นเหรอ เหอะ ฉันนี่นะตามคุณ”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก ใบหน้าสวยเริ่มบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจกับคำพูดของบุรุษตรงหน้า ยิ่งท่าทางยียวนที่อีกฝ่ายแสดงออก มา ยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของเธอคุกรุ่นมากขึ้นเป็นทวีคูณ
“ผมยังไม่ได้เอ่ยชื่อใครเลยนะครับคุณครู…คุณครูร้อนตัวเกิน ไปหรือเปล่าครับ”
“ช่างเถอะ แล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน แต่ขอบอกให้ทราบไว้ตรงนี้เลยว่าคนอย่างคุณไม่มีวันที่ฉันจะยอมแต่งงานด้วยเด็ดขาด
แม้ว่าผู้ชายทั้งโลกจะเหลือเพียงคุณคนเดียวก็ตาม”
นัยน์ตาสีน้ำผึ้งสบประสานกับนัยน์ตาดำเข้มนิ่ง ผู้กองทัตเทพรับรู้ได้ถึงความดื้อรั้นที่ฉายอยู่ในแววตาคู่นั้น เขากำลังรู้สึกถูกท้าทาย
เป็นอย่างมาก ไม่เคยมีใครกล้าทำท่าทีอวดดีใส่เขาแบบนี้มาก่อน
“หึ ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดละกัน เพราะผมก็ใช่ว่าอยากจะแต่งกับคุณ ทุกวันนี้แม้แต่หน้าคุณผมยังไม่อยากจะมอง”
“แล้วคิดว่าฉันอยากมองหน้าคุณนักรึไง คนขี้เก๊ก”
รัญชน์พูดแค่นั้นก่อนเดินหนี เธอกระแทกไหล่ของตนกับไหล่กว้างอย่างจงใจ สาวเท้าก้าวเดินไปอย่างรีบเร่งเนื่องจากกลัวเด็กๆ จะคอย เพราะมัวแต่เถียงกันจนเลยเวลามาหลายนาทีแล้ว
“ผู้หญิงจองหอง”
ผู้กองหนุ่มกัดฟันกรอดพูดกับตัวเองพลางมองตามร่างที่ก้าวเดินฉับๆ หนีตนไป ความรู้สึกขณะนี้ไม่แน่ใจว่าจะดีใจหรือเสียหน้าดี ที่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาเช่นกัน
ช่วงพักกลางวันอันแสนมีค่า หมวดนรธีร์กับเพื่อนทหารอีกกลุ่มหนึ่งเดินมารับประทานอาหารภายในโรงอาหารของโรงเรียน สายตาของผู้หมวดหนุ่มสอดส่ายหาร่างของคุณครูที่เคยแวะเวียนมาคุยด้วยก่อนหน้านั้น ด้วยหวังเข้าไปทักทายเพื่อกระชับความสัมพันธ์กันมากกว่านี้
ร่างเพรียวบางที่ก้าวเดินเข้ามาเมื่อเกือบบ่ายโมงทำให้หมวด หนุ่มหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะกลับออกไป เขาหันไปบอกเพื่อนทหารให้กลับไปก่อน และนั่นก็เรียกเสียงแซวที่มาจากกลุ่มเพื่อนนักรบจนลั่นโรงอาหาร
“หมวด มาทำงานนะครับ ไม่ใช่มาจีบครู”
“ยุ่งน่าจ่า ไปกันได้แล้ว”
“เฮ้อ พวกผมละอิจฉาคนโสดจริงๆ ขอให้โชคดีนะครับหมวด”
จ่าอาวุโสนายหนึ่งแซวกลับ ก่อนพากันเดินออกจากบริเวณโรงอาหารไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะจากทหารคนอื่นๆ ที่ดังสมทบขึ้นมา
“สวัสดีครับครูรัญชน์ ผมนั่งได้หรือเปล่า”
เขาหันมาเอ่ยทักคนที่นั่งยิ้มรออยู่ แต่ถามแล้วก็ไม่รอคำตอบ รีบหย่อนกายลงนั่งตรงข้ามอีกฝ่ายทันที
“ตามสบายเลยค่ะ ว่าแต่หมวดลงมาดูแลที่นี่เหรอคะ”
“ครับ ผู้กองให้ผมลงมาเฝ้าสถานการณ์ที่โรงเรียนนี้สักระยะหนึ่งน่ะครับ”
“บังเอิญจังเลยนะคะ” รัญชน์เอ่ยพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“ผมก็ว่าอย่างนั้น”
คนพูดใช้เสียงหัวเราะกลบเกลื่อน เมื่อจู่ๆ เขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียดื้อๆ
สองหนุ่มสาวนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระเพื่อสร้างความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยไปได้เวลาเข้าทำงาน ทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
วันเวลาที่หมุนผ่านไปทำให้รัญชน์เริ่มผูกพันกับสถานที่ใหม่ และเด็กๆ ก็รักคุณครูคนใหม่มากเช่นกัน หญิงสาวตั้งใจเอาไว้แล้วว่า
เธอจะขอเป็นครูอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ เนื่องจากสงสารเด็กหลายคนที่อายุเลยเกณฑ์มามากแล้วแต่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ด้วยไม่มีครูคนไหนอยากเอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่จึงค่อนข้างขาดแคลนครูเป็นอย่างมาก
ในขณะที่หมวดนรธีร์ก็พยายามแวะเวียนมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเธออยู่เสมอ ทำให้ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น หญิงสาวไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกกับตนเช่นไร แต่ยามนี้เธอให้อีกฝ่ายได้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น
ส่วนเธอกับผู้กองทัตเทพยังคงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอดเมื่อยามที่ต้องเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเรื่องที่ทั้งสองปะทะคารมกันก็หนีไม่พ้นเรื่องแต่งงาน และเรื่องที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอ ลงทุนตามลงมาถึงที่นี่เพื่อหวังจะจับเขาให้ได้นั่นเอง
นักเรียนต่างทยอยเดินออกมาเมื่อได้เวลาเลิกเรียน รัญชน์ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนเพื่อคอยส่งเด็กๆ กลับบ้าน จนกระทั่งเด็กคนสุดท้ายกลับไป บรรยากาศโดยรอบก็มีความเงียบมาห่มคลุมทันที
หมวดนรธีร์ซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว รีบสาวเท้าเข้ามาหาคนที่กำลังจะหันหลังเดินย้อนกลับไปภายในตัวอาคารเพื่อเก็บของกลับบ้านพัก
“ครูรัญชน์ครับ รอผมก่อน”
“หมวด…”
รัญชน์หันไปตามเสียงเรียก ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาเมื่อแลเห็นว่าเป็นใคร
“จะกลับแล้วเหรอครับ” คำถามมาพร้อมกับร่างสูงที่เดินมาหยุดตรงหน้าพอดี
“ไปเก็บของแล้วจะเข้าบ้านเลยน่ะค่ะ”
“แล้วนี่เอ่อ…เย็นนี้ครูรัญชน์มีนัดหรือเปล่าครับ”
“นัดเหรอคะ ไม่มีค่ะ หมวดถามทำไมคะ”
คนถามเอียงหน้าเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
“ผมจะชวนครูรัญชน์ไปทานข้าวในเมือง มีร้านอร่อยหลายร้าน คุณครูจะได้รู้จักแถบนี้มากขึ้นไงครับ”
หมวดนรธีร์ส่งยิ้มยื่นไมตรีมาให้ พลางกลั้นใจรอคำตอบ รัญชน์ทำท่าคิดชั่วครู่ก่อนส่งยิ้มไปให้คนตรงหน้า
“ดีเหมือนกันค่ะ เพราะรัญชน์เองก็ไม่ค่อยได้เข้าเมือง คงต้องรบกวนหมวดธีร์เป็นไกด์แล้วล่ะค่ะ”
“ยินดีครับ เอาเป็นว่าถ้าผมเลิกงานแล้วจะเดินไปรับครูรัญชน์ถึงบ้านพักดีมั้ยครับ”
“หมวดรอตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวรัญชน์เดินออกมาเอง”
“ก็ได้ครับ เดี๋ยวเจอกันนะครับ”
ผู้หมวดหนุ่มยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าการหยิบยื่นไมตรีครั้งนี้ท่าจะไปได้สวย