ขณะนั้นระตีได้เดินมาสมทบกับลูกสาว พลางทำตามคำแนะนำที่เพียงเดือนว่ามา โดยการสูดเอาลมหายใจเข้า ก่อนจะทำท่าตกใจคล้าย ๆ คนเป็นลูก
"แม่เองก็ได้กลิ่นอะไรตุ ๆ คล้ายกลิ่นอะไรนะลูกเดือน"
"ก็กลิ่นหญ้า กลิ่นฟางอย่างไรล่ะคะคุณแม่ ทำไมเราสองคนมายืนอยู่ตรงนี้ กลิ่นฟาง กลิ่นหญ้ามันเหม็นฉุนขึ้นมาอย่างนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยได้กลิ่นอะไรแบบนี้เลย"
"จริงด้วยลูกเดือน ทำไมกลิ่นเหม็นรุนแรงแบบนี้นะ!"
ปานยิหวาเริ่มหน้าชาขึ้น เข้าใจความหมายและกริยาที่ส่อแสดงอาการดูถูกหล่อนและหนูปลาอย่างชัดเจนขึ้น หญิงสาวพยายามนิ่งงันเข้าไว้ ก่อนจะเหลือบเห็นผลชมพู่ที่หนูปลาได้หยิบมาจากถาดบนโต๊ะอาหารด้วย หล่อนจึงย่อตัวลงไปหาหลาน พลางเอ่ยขอชมพู่ที่อยู่ในมือเล็ก ๆ ข้างนั้น ท่ามกลางสายตางุนงงของสองแม่ลูกที่กำลังรับส่งมุกดูถูกผู้อื่นกันอยู่
"หนูปลา เอาชมพู่มาให้อาหวาเถอะ เช้านี้หนูปลากินชมพู่ไปหลายลูกแล้วนะคะ"
หลานสาวเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ในเมื่อคุณอาขอ ก็ยอมยื่นให้ "นี่ค่ะ อาหวา"
หล่อนรับชมพูขึ้นมาแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินผ่านหน้าสองแม่ลูกตรงไปยังถังขยะพร้อมปาชมพู่ลูกนั้นลงไป แล้วจึงเดินกลับมาหาหลานรัก ทำทีเป็นสั่งสอนไปด้วยว่า "อย่ากินเยอะเลยนะชมพู่เนี่ย"
"ทำไมล่ะคะ?" เด็กน้อยเอียงคอมองอย่างสงสัย
"เพราะหนูกินเข้าไปมาก ๆ เดี๋ยวมันจะส่งกลิ่นเหม็นออกมาจากเนื้อตัวได้ เพราะคนเราถ้ากินอะไรเข้าตัวไปมาก ๆ มันจะได้กลิ่นแต่สิ่งนั้นออกมาจากตัวของคนกินอย่างไรล่ะคะ...อาหวาไม่ได้กินก็จะไม่ได้กลิ่นชมพู่ แต่หนูปลากินเองจะได้แต่กลิ่นชมพู่นะ"
หล่อนเหลือบแลไปยังใบหน้าคนทั้งสองที่กำลังงุนงงครุ่นคิดตามคำพูดหล่อนอยู่ ก่อนจะรีบตัดบท เมื่อรถยนค์อีกคันกำลังเคลื่อนมาจอดตรงหน้า "ไป ลุงเนียมเอารถมาจอดแล้ว" จากนั้นก็จูงมือหลานรักไปขึ้นรถอีกคันตรงหน้าทันที
ทิ้งให้เพียงเดือนและมารดาครุ่นคิดตีความคำพูดของหญิงสาวตามลำพัง ก่อนที่ผู้เป็นลูกจะขยับตัวเข้าไปถามมารดาว่า "คุณแม่ ที่แม่นั่นพูดกับหลานมัน หมายความว่ายังไงคะ"
"จะหมายความว่ายังไงล่ะ! ก็นังผู้หญิงคนนั้น มันว่าเราสองคนคงกินหญ้ากินฟางเข้าไปกันเองน่ะสิ ถึงได้แต่กลิ่นหญ้ากลิ่นฟางออกมา"
เพียงเดือนต้องนิ่งต่อไปอีกเล็กน้อย สุดท้ายจึงได้ก่นด่าอย่างเจ็บแค้นออกมา "มันระร้ายกาจ! นังผู้หญิงบ้านนอก บ้านป่า!"
"ลุงเนียมจอดตรงนี้แหละค่ะ"
ปานยิหวาบอกคนขับรถที่หม่อมหลวงหนุ่มผู้นั้นได้มอบหมายหน้าที่ขับรถให้หล่อนและหลานสาวในวันนี้ หล่อนให้รถยนต์คันสีหม่นจอดตรงฝากหนึ่งของถนน โดยฝั่งตรงกันข้ามจะเป็นซอยหนึ่งที่หล่อนจะเดินเข้าไปทำธุระบางอย่าง
"ให้ผมขับเข้าไปจอดในซอยก็ได้นะครับ คุณและคุณหนูจะได้ไม่ต้องเดิน"
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ ลุงเนียมจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับรถไปมาอีก หวาเดินข้ามถนนแล้วเข้าไปในซอยนั้นก็ไม่ไกลหรอกค่ะ แล้วเดี๋ยวหวาและหนูปลาจะรีบกลับมา" หล่อนกล่าวอีกครั้งพลางหยิบซองสีน้ำตาลนั้นมาด้วย ก่อนจะจูงมือหลานสาวเตรียมเปิดประตูรถลงไป
"ครับ ตามสบายเลยครับ ผมรอได้" เนียมคนขับรถกล่าว
จากนั้นปานยิหวาจึงจูงมือหลานสาว แล้วเดินหายเข้าไปภายในซอยเล็ก ๆ ตรงหน้า
.
'สำนักพิมพ์อักษรสวรรค์'
ปานยิหวาเงยหน้ามองป้ายสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ชื่อดังแห่งหนึ่งที่ที่สลักด้วยไม้แผ่นใหญ่ และถูกติดให้อยู่เหนือศีรษะหล่อนขึ้นไป ก่อนจะผลักประตูกระจกแล้วเดินเข้าไปภายในพร้อมหลานสาวตัวน้อย
ภายในสำนักพิมพ์มีหลายคนก็กำลังง่วนอยู่กับการทำงานตรงหน้า แต่ละโต๊ะมีแต่กองกระดาษตั้งเป็นปึก ๆ จากนั้นใครคนหนึ่งที่อยู่โต๊ะด้านในสุดได้เงยหน้าขึ้นจากงานมา ทันทีที่เห็นว่าเป็นหล่อน เขาคนนั้นก็รีบทักปานยิหวาด้วยน้ำเสียงแห่งความดีใจทันที
"อ้าว...หวา!"
"สวัสดีค่ะพี่เสก" หล่อนรีบยกมือไหว้ชายคนดังกล่าวที่มีรูปร่างค่อนข้างท้วม
เสกสรรค์คือ คือกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งนี้ และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์นี้ด้วย เขาคือรุ่นพี่ในคณะของปานยิหวา สมัยที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
"หวาเอางานมาส่งค่ะ" หล่อนกล่าวก่อนจะชูซองกระดาษสีน้ำตาลในมือด้วยรอยยิ้มกริ่ม ครั้นอีกฝ่ายเห็นเข้าจึงเห็นแสดงอาการตาลุกวาว แล้วสายตาจึงจรดเข้ากับร่างเล็ก ๆ ที่หล่อนพาเข้ามาในสำนักพิมพ์แห่งนี้ด้วย
"นี่...คือ"
"อ้อ หลานสาวค่ะพี่เสก ลูกสาวพี่ชาย หนูปลา" หล่อนแนะนำแล้วก็บอกให้หนูปลาสวัสดีอีกฝ่าย "หนูปลา สวัสดีลุงเสกสิคะ"
"สวัสดีค่า ลุงเสก" หลานสาวตัวน้อยทำตามอย่างว่าง่าย ไม่มีอาการงอแงออกมาให้เห็น
เสกสรรค์มองใบหน้าเล็ก ๆ นั้นแล้วก็หัวเราะอย่างชอบใจขึ้น "แหม เรียกลุงเชียว ฮ่า ๆ ๆ" ก่อนจะเชิญหญิงสาวให้มานั่งคุยกันเรื่องงานต่อไป "มา ๆ มานั่งคุยกันตรงนั้นดีกว่า"
หลังจากนั่งลงกับเก้าอี้ ปานยิหวาก็นำของในมือวางลงบนโต๊ะ โดยที่มีมืออวบอูมของเสกสรรค์รับซองสีน้ำตาลนั้นไปเปิด พลางหยิบกระดาษปึกนั้นขึ้นมาเปิดดูคร่าว ๆ ด้วยสีหน้ายินดี สักครู่ จึงวางลงบนโต๊ะตามเดิม แล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกปานยิหวาต่อ
"เดี๋ยวพี่จะตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที แต่...คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง ทำงานกับหวามาหลายเรื่องรู้ว่าหวาละเอียดรอบคอบมาก"
เป็นอันว่างานที่อยู่ในซองสีน้ำตาลนั้นก็คือ ต้นฉบับที่ปานยิหวานำมาส่งให้กับสำนักพิมพ์แห่งนี้ เพราะหล่อนเป็นนักเขียน ที่มีงานเขียนนวนิยายลงเป็นตอน ๆ ให้กับนิตยสารฉบับหนึ่งของสำนักพิมพ์นี้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
และครั้นนวนิยายของหล่อนที่ลงในนิตยสารจนจบแล้ว ทางสำนักพิมพ์ก็นำต้นฉบับไปตีพิมพ์รวมเล่มให้กับหล่อนอีกที
"ก่อนหน้ามีแต่คนโทร. เข้ามาที่สำนักพิมพ์จนโทรศัพท์สายแทบไหม้ ถามว่าสองตอนสุดท้ายของคุณ
จรุงจิต
เป็นยังไง เรียบร้อยหรือยัง พระเอกนางเอก จะได้แต่งงานกันมั้ย หรือพระเอกจะต้องตาย"
เสกสรรค์เล่าถึงความนิยมอย่างมากมายที่ปานยิหวาได้รับจากบรรดาผู้อ่านที่ชื่นชอบนวนิยายของหล่อน ในนามปากกาที่ชื่อว่า
จรุงจิต
ที่เป็นนามปากกาที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนี้
หลายผลงานของนักเขียนคนนี้ ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์และละครดังมาแล้ว แต่แม้จะมีคนรู้จักนักเขียนที่มีนามปากกาว่า
จรุงจริต
มากมาย แต่ก็ยังมีอยู่น้อยคนเท่านั้นที่รู้ว่า 'จรุงจิต' คือปานยิหวา เนื่องจากหญิงสาวตรงหน้า ไม่ชอบเปิดเผยตัวตนให้กับใครรู้มาก โดยมีหลายคนที่โทร. เข้ามาสอบถามยังสำนักพิมพ์ด้วยความชื่นชอบนักเขียนคนนี้ มักจะจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่า
จรุงจิต
คือ ผู้หญิงที่น่าจะมีอายุราว ๆ สี่สิบปีขึ้นไปจนถึงหกสิบปีเลยด้วยซ้ำ
แต่ใครจะเชื่อว่านามปากกานี้ จะเป็นเพียงหญิงสาวที่มีอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเอง
หญิงสาวหัวเราะเสียงใสขึ้นมาทันที หลังจากฟังเสกสรรค์เล่าถึงความนิยมในงานเขียนของหล่อนที่มีมากถึงขั้นว่าล้นหลามกันเลยทีเดียว "ถึงขั้นนั้นเชียวหรือคะ"
"นี่ ยังไม่นับ จดหมายเป็นตั้ง ๆ อีกนะที่เขียนเข้ามาหา คุณป้าจรุงจิต..." เสกสรรค์กระเซ้า ก่อนจะชี้ไปยังกล่องกระดาษใบหนึ่งที่มีไว้ใส่จดหมาย ที่เขียนมาหานักเขียนที่พวกเขาชื่นชอบผ่านสำนักพิมพ์ "เดี๋ยวหวาก็เอาไปอ่านและตอบเองก็แล้วกัน บางคนก็คงอยากได้ลายเซ็นต์คุณป้าจรุงจิตด้วย ว่าแต่จะเขียนตอบไหวหรือนั่น"
"ไม่ไหวก็ต้องไหวแล้วค่ะ เขาอุตส่าห์ชื่นชอบ ชื่นชมผลงานเรา" ตอบไป ทั้ง ๆ ที่เห็นกล่องที่บรรจุจดหมายที่มีเข้ามาหาหล่อนแล้วก็นึกหวั่น ๆ ว่าจะตอบไม่ทัน ทว่า ปานยิหวาก็ต้องทำ เพราะจดหมายทุกฉบับ ข้อความทุกข้อความที่ส่งผ่านมายังสำนักพิมพ์จะถึงมือหล่อนหมด หล่อนใส่ใจนักอ่านมากทีเดียว เพราะบางรายนอกจากจะมีจดหมายแล้ว บางทีก็ยังแวะเวียนมาที่นี่ หรือส่งขนม ผลไม้ผ่านสำนักพิมพ์มาให้หล่อนอยู่เสมอ ยิ่งช่วงใด ที่นวนิยายหล่อนใกล้จะจบก็จะมีของฝากเข้ามามาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของเสกสรรค์ที่หล่อนมอบหมายให้เขานำของเหล่านั้นแจกจ่ายให้คนที่สำนักพิมพ์ไปจนหมด
"มีขนมด้วย รายนี้เอาเข้ามาให้เองที่สำนักพิมพ์ตอนเช้า มาแล้วก็ถามหาตอนใหม่จากคุณป้าจรุงจิตด้วย แต่พี่ไม่รู้ว่าหวาจะเข้ามาเลยแจกให้คนอื่น ๆ ไปทานกันจนหมด"
"ตามสบายเลยค่ะ แจกจ่ายคนอื่นไปได้ พี่เสกก็ทำไปเลย อ้อ!" หล่อนนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องที่จะต้องบอกกล่าวอีกฝ่าย "...ช่วงนี้หวาจะอยู่ที่กรุงเทพฯ ไปสักระยะหนึ่ง คงทำให้มีความสะดวกในการส่งงานให้สำนักพิมพ์อีกมากเลย"
"ไม่มีโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกันเลยหรือ" เสกสรรค์ถามแทรก
ปานยิหวาดูลังเล เพราะที่หล่อนอยู่ถ้าจะโทร. ก็ต้องโทร. เข้าที่วังเหมวัฒน์ ซึ่งหล่อนไม่อยากให้ใครที่นั่นรู้ว่าหล่อนเป็นนักเขียนที่มีนามปากกาว่า...จรุงจิต "ไม่ดีกว่าค่ะ คือหวาว่าคงไม่สะดวก ที่จะใช้โทรศัพท์จากที่ที่หวาพัก หวาเกรงใจเจ้าของบ้าน เอาเป็นว่าหวาจะเข้ามาที่สำนักพิมพ์ให้บ่อยขึ้น ถ้ามีงานหรืออะไรก็คงไม่ตกหล่น"
เสกสรรค์พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงผลงานเรื่องใหม่ที่จะนำมาลงตีพิมพ์ต่อเรื่องที่ใกล้จะจบอีกสองตอนนี้ต่อ "ว่าแต่เรื่องใหม่ของหวามีหรือยัง เพราะพี่จะได้ตอบบรรดาแฟน ๆ หนังสือของหวา เวลาเขาโทร.มาถามถึงผลงานใหม่ของคุณป้าจรุงจิต"
หญิงสาวหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดีอีก ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบ "มีแล้วค่ะ ตอนนี้หวาวางโครงเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว"
"ดีจริง" เสกสรรค์ทำหน้าโล่งใจที่ปานยิหวาจะมีผลงานเรื่องใหม่ต่อเลย เพราะความนิยมที่มีต่องานเขียนปานยิหวา ทำให้สำนักพิมพ์พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย
"งั้น หวาต้องขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวกล่องเก็บจดหมายนั้นรบกวนพี่เสกให้ใครก็ได้ช่วยยกตามหวาไปขึ้นรถที หวาไม่สะดวกยกเลย ต้องจูงมือหนูปลาข้ามถนนกลับด้วย" ปานยิหวาเอ่ยแล้วตัดบท เพราะหล่อนจะต้องไปหาอรจิราต่อที่ร้านเสื้อ
"ได้สิได้" เสกสรรค์รับคำ ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่สำคัญเรื่องนี้ขึ้นมา "...อ่ะ เดี๋ยวนะ" พอนึกขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปภายในห้องแห่งหนึ่งซึ่งกั้นเป็นส่วนตัวจาก โต๊ะทำงานจากคนอื่น ๆ สักครู่ก็เดินออกมาพร้อมกับซองจดหมายซองหนึ่งที่ภายใน มีอะไร ปานยิหวาก็ทราบดี
"นี่ค่าต้นฉบับรับไปด้วยเลย พี่เบิกจากฝ่ายบัญชีมาให้ล่วงหน้าเลยล่ะ"
ปานยิหวายกมือไหว้ พลางรับซองที่มีเงินปึกหนึ่งขึ้นมาถือ หล่อนทำท่าจะลุกขึ้นก็ถูกเสกสรรค์ดุทันที
"หวานี่ยังไงนะ ก็ช่วยเปิดนับเงินดูหน่อยเถอะ ดูสิว่าครบมั้ย"
หล่อนยิ้มแหยเล็กน้อยที่ถูกดุ เพราะการจ่ายค่าตอบแทนที่ผ่านมา สำนักพิมพ์ก็จ่ายให้ครบทุกครั้ง อีกประการหล่อนไว้ใจรุ่นพี่คนนี้ดี แต่เพื่อความสะบายใจต่อทั้งสองฝ่าย หล่อนจึงเปิดเอาเงินจำนวนนั้นขึ้นมานับ ก่อนจะซุกกลับเข้าไปในซองตามเดิม พร้อมบอกว่า "ครบค่ะ ถ้าอย่างนั้นหวาและหนูปลาลานะคะ" จากนั้นก็บอกให้หลานสาวตัวน้อยไหว้ลาคนตรงหน้า แล้วทั้งสองก็เดินออกจากสำนักพิมพ์ไป เนื่องจากหล่อนต้องรีบไปหาอรจิราที่ร้านเสื้อต่อ
เพราะหล่อนอยากจะทราบเรื่องภายในวังเหมวัฒน์จะแย่อยู่แล้ว...