ตอนที่ ๕ จรุงจิต (๖๐%)

2008 คำ
ตั้งแต่เช้าตรู่ที่น้อมได้มาเคาะประตูห้องเพื่อจะรายงานให้ปานยิหวาทราบว่า ที่นี่จะเริ่มรับอาหารเช้ากันตอนเจ็ดโมง แต่บางเช้าคุณระตีและลูกสาวจะไม่ลงมามาร่วมรับประทานเหมือนตอนเย็น เพราะบางทีคุณระตีและลูกสาวทั้งสอง จะรับอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ห้องนอนซึ่งส่วนมากจะเป็นแค่กาแฟและขนมปังเสียมากกว่า และเช้านี้ก็เช่นกันที่คุณระตีและลูกสาวจะขอรับแค่กาแฟและขนมปังที่ห้องนอน พอเอ่ยถึงลูกสาวของคุณระตี  หล่อนเลยลองถามว่าคุณเพียงดาวเธอเป็นอย่างไร น้อมก็เล่าให้หล่อนฟังสั้น ๆ ว่าปกติคุณเพียงดาวจะเป็นคนที่วางตัวเป็นผู้ใหญ่  ก่อนหน้าก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่เริ่มจะเก็บตัวไม่สุงสิงกับใครก็นับตั้งแต่คุณชายอลงกรณ์สิ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น น้อมและคนอื่น ๆ ก็ว่าคุณดาวเธออาจจะเสียใจมากที่คุณชายผู้เป็นบิดาสิ้นชีพ สรุป เพียงดาวก็เป็นเพียงคนเดียวในตึกนี้ ที่ปานยิหวายังไม่ได้เห็นหน้านั่นเอง และการที่น้อมมาแจ้งเรื่องอาหารเช้า ปานยิหวาคิดว่า บรรยากาศของอาหารเช้าคงไม่กร่อย และเย็นชาดั่งอาหารค่ำของเมื่อวาน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ปานยิหวาว่า น้ำหนักหล่อนคงลงไปอีกหลายกิโลกรัมเลยทีเดียว เมื่อจัดการปลุกหลานสาวตัวน้อยของหล่อนตื่นได้ และพาเข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กว่าจะเรียบร้อยทั้งตัวเองและหลานก็กินเวลาเกือบชั่วโมง อีกไม่กี่นาทีก็เป็นเวลารับประทานอาหารเช้าของที่นี่ นึกถึงเรื่องอาหาร ปานยิหวายังรู้สึกขอบคุณหม่อมหลวงหนุ่มผู้นั้นอยู่เลย ที่เขาคงเห็นว่าข้าวในจานหล่อนพร่องลงไปไม่มาก จึงกำซับให้น้อมนำของว่างขึ้นมาให้หล่อนด้วย ไม่เช่นนั้น คืนที่แล้วท้องหล่อนคงประท้วงเสียงดังโครกครากจนไม่เป็นอันทำการทำงานได้เลย พูดถึงการทำงาน เพราะของว่างของเขา ทำให้หล่อนมีสมาธิจนสามารถส่งงานได้ก่อนกำหนดเลยด้วยซ้ำ และตั้งใจว่า วันนี้จากที่ตั้งใจจะไปหาอรจิราที่ร้านเสื้อผ้าแล้ว หล่อนยังสามารถแวะเอางานไปส่งต่อได้อีก หญิงสาวจัดการผมยาวของหลานสาวโดยการมัดแกละให้ทั้งสองข้างเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตรงไปหยิบซองสีน้ำที่ใส่เอกสารได้หลาย ๆ แผ่นขึ้นมาถือ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูห้องและก็ผงะตกใจไปทันที "คุณ!" เมื่อเห็นร่างสูงมายืนเงียบ ๆ อยู่หน้าห้องนอนหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ "คุณช้าง..." หล่อนกล่าวพลางลูบอกตัวเองตามไปด้วย เพราะนอกจากจะชอบมายืนข้างหลังแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแล้ว  เขายังชอบมายืนดักอยู่หน้าห้องคนอื่นอย่างเงียบ ๆ อีกด้วย คชาธารพยายามกลั้นยิ้มขำ เมื่อรู้ตัวว่าได้ทำให้หญิงสาวตกใจ หลังจากยิ้มให้หล่อนแล้วเขาก็ไม่สนใจหล่อนด้วยว่าจะบ่นงึมงำอะไรต่อ สายตาเขาลดลงมองเจ้าปลาน้อยที่หอบตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตามหลังคุณอาคนสวยของตนมาด้วย เห็นสายตาคู่หวาน จรดมองร่างสูงที่อยู่ในชุดทำงานเรียบหรู เมื่อวานเขาอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลเข้ม วันนี้สีกรม เขาทำงานอะไร หล่อนก็ยังไม่รู้เลย แม้จะอยากจะรู้เรื่องของอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ปานยิหวาก็ทำฟอร์มเสีย เดี๋ยวเขาจะหาว่าหล่อนสนใจเขาเข้า ราวกับจะอ่านสายตาหล่อนออก เขากลั้นยิ้มขำเป็นหนสอง  ย่อตัวลงไปหาหลานสาวตัวน้อย แต่ปากกลับพูดไปในเรื่องที่อยู่ในใจของปานยิหวาแทน "ผมต้องไปทำงานแต่เช้า วันนี้มีนัดทำสัญญากับกระทรวงการต่างประเทศ เพราะจะก่อสร้างตึกให้กระทรวง ทีนี้คุณรู้หรือยัง ว่าผมทำงานเกี่ยวกับบริษัทกับอะไร" แล้วเงยหน้าหล่อเหลาขึ้น   จึงเห็นดวงตาคู่งามเบิกกว้างอย่างตกใจ "มะ  มาบอกฉันทำไมคะ ฉันยังไม่ได้ถาม และไม่อยากรู้เสียหน่อย" ใบหน้างามแสดงอาการเลิกลักออกมาอีก "แน่หรือ..." "ค่ะ!" หล่อนกล่าวพร้อมกับการแสร้งตวัดมือกอดอก เบือนหน้าหนีสายตาคมปลาบโดยพลัน​ "รู้มั้ย เวลาคุณโกหก คุณมักจะแสดงออกยังไง" ดวงตาคู่งามลดลงมาสบกับดวงตาคมปลาบที่มีประกายระยิบอีกครั้ง  หม่อมหลวงหนุ่มกลั้นยิ้มเป็นหนที่สาม หล่อนมองเขาด้วยความระแวงขึ้น เขาปราดเปรื่องถึงขั้นมองทุกอย่างในตัวหล่อนออกด้วยหรือ...ไม่กระมัง "ใครอยากรู้ เปล่าสักหน่อย..." ให้ตายเถอะ เขามีอะไรดี ทำไมถึงรู้ความคิดของหล่อนได้ แค่อ่านหล่อนจากสายตาเท่านั้น เขาก็รู้แล้วหรือ คชาธารอุ้มหลานสาวขึ้น ที่วันนี้ปานยิหวามัดแกละให้ทั้งสองข้าง แล้วผูกโบว์สีชมพูให้เข้ากับชุดกระโปรงเอี๊ยมสีชมพูลายขาว ส่วนหญิงสาว...หล่อนก็สวยทะมัดทแมงในกางเกงห้าส่วนสีครีมตัดกับเสื้อคอบัวสีเหลืองเข้ม ผมยาวนั้นก็มัดสูงโดยผูกโบว์สีเดียวกันกับกางเกงอีก "ถ้าว่าง ผมว่าจะพาหนูปลาไปเที่ยวสักหนึ่งวัน ไปด้วยกันนะ" ดวงตาคู่งามแลมองเขาโดยไม่ยอมตอบคำถาม เป็นเวลาเดียวกับที่เขาเริ่มเดินนำหล่อนไปที่ห้องอาหาร "เอ่อ คุณช้างคะ" เขาหันกลับมาพลางเลิกคิ้วเข้มข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย "วันนี้ฉันจะพาหนูปลาไปข้างนอก พอดีฉันจะไปทำธุระค่ะ..." หล่อนกล่าว พลางเอาซองกระดาษสีน้ำตาลซองนั้นให้เขาดู แต่ไม่ได้บอกว่าข้างในนั้นมีอะไร เขาพยักหน้าจะเป็นการรับทราบหรืออนุญาตก็เป็นไปได้ทั้งสองแบบ  และเสียงทุ้มได้บอกตามอีกด้วยว่า "เดี๋ยวผมจะให้ลุงเนียมขับรถให้" ความจริงหล่อนไปกันเองได้ แต่ติดตรงที่ว่า เขาคงห่วงหลานสาว ไม่อยากให้หล่อนพาไปลำบากลำบนโดยการนั่งรถรับจ้างไป หล่อนเลยไม่อยากขัดใจ ได้แต่กล่าวขอบคุณตามหลังเขาเบา ๆ "ตกลงว่า..." "คะ?" "ก็เรื่องที่จะพาหนูปลาไปเที่ยวสักวัน เราสองคนไปด้วยกันนะ" "คือ..." หญิงสาวทำท่าจะปฏิเสธ แต่เขาก็รีบฉวยโอกาส ถามความเห็นจากเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนทันที "ว่ายังไงหนูปลา อยากให้ลุงช้างและอายิหวาพาไปเที่ยวมั้ย" "อยากค่า  อยากอายิหวาและลุงช้างจะพาหนูปลาไปเที่ยว" เด็กน้อยเอ่ย คล้อยตามผู้เป็นลุงชนิดที่ว่าปานยิหวาไม่สามารถปฏิเสธได้ "...หนูปลาอยากเห็น..." ว่าแล้วตัวเล็กก็ร่ายยาวในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็นอะไรบ้าง โดยมีเสียงหัวเราะหึ ๆ ๆ ของลุงช้างดังตามไปด้วย ขณะที่ทั้งสามกำลังเดินลงบนได  ตรงชั้นบนก็มีร่างระหงในชุดคลุมได้ชะโงกหน้ามองลงไปดูคนทั้งสามด้วยสีหน้าครุ่นคิด คงอีกไม่นาน ตาช้างคงได้แม่นี่มาเป็นเมียแน่  ๆ ตนดูสายตาก็รู้ว่า คชาธารมองแม่นั่นด้วยสายตาอย่างไร นึกแล้วก็ชักร้อนใจขึ้น จนทำให้ระตีมีสีหน้าเคร่งเครียดจนดูน่ากลัว . หลังจากนั่งลงกับเก้าอี้ที่ห้องอาหารแล้ว หม่อมหลวงหนุ่มก็ขอรับเพียงแค่กาแฟร้อนถ้วยเดียวเท่านั้น  พอเรียบร้อย เขาก็ขอตัวออกไปทำงานทันที เพราะวันนี้เขาจะต้องขับรถออกไปเส้นทางนอกเมืองจึงต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ จากนั้นปานยิหวาจึงใช้เวลากับหลานสาวที่โต๊ะอาหารอย่างเป็นสุข เพราะมีกันแค่สองคนอาหลาน หลังจากจัดการให้เจ้าตัวเล็กทานข้าวต้มจนอิ่มแล้ว    ปานยิหวาจึงหยิบซองใส่เอกสารสีน้ำตาลที่วางบนโต๊ะมาถือ ก่อนจะจูงมือหลานสาวตัวน้อย แล้วเดินไปทางมุขหน้าของตึก  เห็นลุงเนียมที่ไปรับหล่อนเมื่อวานกำลังใช้ผ้าเช็ดรถคันเดิมนั้นอยู่พอดี "ลุงเนียมคะ วันนี้หวาและหลานปลาจะออกไปทำธุระกันข้างนอกน่ะค่ะ" "อ้อ! คุณช้างแจ้งให้ทราบแล้วครับ เชิญเลยครับคุณหวาและคุณหนู" ปานยิหวายิ้มรับเล็กน้อย  ก่อนจะจูงมือพาหลานตัวน้อยลงไปขึ้นรถ ทว่า ได้เกิดเสียงเอ็ดอึงดังอยู่ด้านหลังขึ้นมา จนทำให้หล่อนและหนูปลาตกใจไปตาม ๆ กัน "นี่มันอะไรกัน! ชักจะมากไปแล้วนะ!" ปานยิหวาและหลานรักได้หันกลับไปมองต้นทางเสียงด้วยสายตาปริบ ๆ กันทั้งสองคน ที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเดือนและมารดาที่กำลังเดินตามหลังหล่อนมา  ทั้งคู่แต่งชุดกระโปรงด้วยสีสวยสดใส เห็นก็รู้แล้วว่ากำลังจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน ปานยิหวาจึงทำหน้าเหลอหลาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของทั้งสองคน กระทั่งเพียงเดือนเอ่ยขยายความต่อ หล่อนจึงรู้ว่า หล่อนเองกำลังมีส่วนทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจอยู่ "อะไรอีกล่ะเนี่ย รถคันนี้เป็นรถประจำของฉันและคุณแม่ การที่ยอมให้เอาไปรับเธอและหนูปลาจากบ้านนอกครั้งหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยกให้เธอใช้ตลอดไปนะ!" อ้อ... ปานยิหวาพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจได้ทันที คือหล่อนไม่ทราบอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องรถนี่ เช้านี้แค่บอกหม่อมหลวงหนุ่มว่าจะพาหนูปลาไปข้างนอก เขาก็กระตือรือร้นจัดการเรื่องรถและคนขับให้  ซึ่งก็เป็นรถสีครีมคันงามที่กำลังจอดรอหล่อนอยู่ตรงหน้า "คือ คุณช้างกำซับไว้ว่า..." ลุงเนียมกำลังอธิบายเพิ่มแต่ "เงียบนายเนียม!" ระตีได้ถลึงตาใส่ พร้อมดุ "นี่เรื่องของเจ้านาย ไม่ต้องสอด" "ครับ" ดุคนขับรถที่กล้าเสนอหน้ามาพูดสอดเจ้านายแล้ว ระตีก็หันใบหน้ากลับมามองหญิงสาวตรงหน้าตรง ๆ พร้อมกับเอ่ยไปอีกว่า "รถคันนี้ ใคร ๆ ก็รู้กันทั่วว่าเป็นรถยนต์ของฉันและลูก ถ้าเธอจะใช้ ให้เอาคันอื่นไป ยกเว้นคันนี้!" ปานยิหวาถอนหายใจแรง ๆ หล่อนเองก็ไม่ได้จะมาแย่งของใช้ของใครเสียหน่อย  เรื่องของเรื่องก็คือ หล่อนไม่รู้อะไรภายในวังนี้ทั้งสิ้น ข้าวของของใครอยู่ตรงไหน หล่อนไม่ทราบ   ความจริงหล่อนเป็นคนง่าย ๆ ไม่ได้พิถีพิถันอะไรหรอก รถคันไหนก็ได้ ขอให้มันวิ่งได้ก็พอ ดังนั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจไปบอกลุงเนียมเพื่อตัดปัญหาหยุมหยิมเสียเองว่า "ลุงเนียมเปลี่ยนคันอื่นเถอะค่ะ หวาและหนูปลาเรานั่งคันไหนก็ได้" แต่คงไม่ใช่สองคนนี้ พอลุงเนียมขับรถไปเปลี่ยนคันใหม่ให้แล้ว ทั้งสองก็เดินตรงมาให้หล่อนและหนูปลาใกล้ๆ ก่อนที่เพียงเดือนจะขยับเท้าเข้ามายืนชิดอยู่ตรงหน้าหล่อนและหลานสาว  พลางทำท่าทีสูดเอาอากาศรอบ ๆ ตัวหล่อนและหลานเข้าปอด พร้อมกับนิ่วหน้า แล้วหันไปถามมารดาที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง "คุณแม่ คุณแม่ลองมายืนดูตรงนี้สิคะ เดือนว่าได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ ค่ะ!" คำพูดของเพียงเดือน ทำให้ปานยิหวาเผลอยกแขนตนขึ้นมาสูดดม แต่หล่อนก็ไม่ได้กลิ่นอะไรที่จะแปลก  ดั่งที่อีกฝ่ายว่ามา นอกเสียจากกลิ่นแป้ง กลิ่นน้ำหอมที่หล่อนใช้เท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม