ดึกแล้ว...
"ให้ตายเถอะ!" ปานยิหวาพึมพำเสียงเครียด เพราะไม่ว่าหล่อนจะพยายามบรรยายลักษณะของพระเอกในนวนิยายเรื่องใหม่ของหล่อนสักกี่ครั้งก็ตาม ด้วยลักษณะหน้าตา บุคลิกภาพของพระเอกของหล่อนนั้น ก็ดันออกมาเป็นเขาคนนั้นเสียทุกครั้งไป...
'หม่อมหลวงคชาธาร เหมวัฒน์!'
หญิงสาวมองกระดาษที่เสียบคาอยู่กับเครื่องพิมพ์ดีเครื่องใหม่ที่ซื้อมาได้ไม่นานอย่างไม่พอใจ พร้อมกับบ่นงึมงำเองขึ้นมาอีกว่า...
ไม่เอาน่ายิหวา พระเอกของเรื่องใหม่ ไม่ควรจะเป็นเขานะ
หญิงสาวส่ายหน้าแรง ๆ ไม่ว่าจะพยายามสลัดคนที่ครอบครองความคิดออกจากหัวเท่าไหร่ แต่ก็ทำไม่ได้เลย ขณะนั้นหล่อนรู้สึกถึงลำคอเริ่มแห้งผากขึ้นมา หล่อนจึงเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ ปรากฏว่า แก้วน้ำว่างเปล่า ครั้นลุกไปเทน้ำออกจากกระบอกที่ใส่น้ำดื่ม น้ำในนั้นก็หมดอีก
ปานยิหวาจึงตัดสินใจหยิบกระบอกน้ำขึ้นมา เพื่อลงไปเติมน้ำดื่มด้านล่าง เนื่องจากหล่อนต้องใช้ดื่มต่อในคืนนี้ ถึงอย่างไรหล่อนต้องนอนดึกแน่ ๆ เพราะงานที่วางแผนเอาไว้ยังไม่ได้ตามที่ตัวเองต้องการเลย
หลังจากที่หล่อนได้เติมน้ำดื่มให้เพียงพอสำหรับคืนนี้แล้ว ปานยิหวาจึงเดินกลับขึ้นห้อง ขณะเดินผ่านห้องโถงนี้ ด้วยโคมไฟระย้าดวงเล็ก ๆ ที่ติดตามเพดานได้ส่องแสงสีทองระยิบจึงขับให้บรรยากาศภายห้องโถงนั้นโอ่อ่าขึ้นมาอีก ทำให้หญิงสาวได้แวะดูรูปถ่ายที่ติดตามห้องโถงพวกนี้ด้วย กระทั่งมาหยุดตรงรูปถ่ายของคุณแม่ของเขา พลอยให้หล่อนนึกถึงคำพูดของอรจิราขึ้นมาอีกว่า
'คุณแม่ของเขา เสียไปนานแล้ว'
แต่จะเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ หล่อนจะต้องรอให้อรจิราไปสอบถามเรื่องราวมาจากบิดาหรือมารดาของเพื่อนคนนี้มาอีกที
...ว่าแต่ แล้วเขากลับมาหรือยังนะ
หญิงสาวนึกถึงเขาแล้ว ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างมาดลใจให้หล่อนเดินตรงไปยังมุขหน้าตึก เพื่อจะโชกหน้ามองดูโรงจอดรถที่มีรถยนต์จอดเรียงรายอยู่ตรงนั้น กระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับท้ายรถเมอร์เซเดส คันสีดำของเขาที่ได้จอดซุกเอาไว้ในโรงจอดรถเรียบร้อย หล่อนจึงรู้ว่าชายหนุ่มกลับมาแล้วนั่นเอง
พอได้ทราบในสิ่งที่อยากรู้ ปานยิหวาจึงหันหลังจะกลับห้องนอนทันที แต่แล้ว...
"มายืนรอผมหรือ..."
ร่างสูงใหญ่กำลังใช้สองมือกอดอกพร้อมพิงลำตัวกับเสาต้นใหญ่ สายตาที่มองมาทำเอาหญิงสาววางตัวไม่ถูก
"คุณช้าง มายืนตั้งแต่เมื่อไหร่คะ!"
"ก็...ตั้งแต่เห็นใครบางคนมายื่นชะเง้อมองดูรถยนต์ของผมแล้วล่ะ" ตอบแล้วใบหน้าหล่อเหลานั้นก็มีแววกรุ้มกริ่มพอให้ใจของหล่อนเต้นไหวระริกขึ้นมาทีเดียว เขาเดินมาทางหญิงสาวช้า ๆ ส่งเสียงทุ้มนุ่มถามอย่างเข้าข้างตัวเองอีกว่า "คุณ...มายืนรอผมหรือ"
"เปล่าสักหน่อย" ปานยิหวารีบปฏิเสธก่อนจะชูกระบอกบรรจุน้ำดื่มในมือให้เขาเห็น "ฉันลงมาเอาน้ำดื่มต่างหากละคะ"
ยามเขาเดินมาใกล้ พอให้ดวงไฟที่ติดตรงเสาใหญ่ ๆ สาดกระทบร่าง ปานยิหวาจึงเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นมีอาการระเรื่อคล้ายกับคนดื่มมา
"ไม่จริงหรอก มาเอาน้ำ แล้วทำไมมายืนอยู่ตรงนี้"
"ก็..." ปานยิหวาไม่รู้จะตอบอย่างไรดี "ก็ เดินมารับลม ยืนตรงนี้แล้วลมโกรกสบายดีออก"
คชาธารแสร้งถอนหายใจแรง ๆ พอจะเรียกดวงตาคู่งามให้เบือนกลับมามองตน จากนั้นทำทีจะหันหลังแล้วเดินหนีเสียดื้อ ๆ ทำเป็นตัดพ้อขึ้นมาอีก "คนเขาอุตส่าห์ดีใจว่าจะมีคนมารอด้วยความเป็นห่วง"
"ไปให้คนรักคุณห่วงสิคะ"
หล่อนพึมพำแต่คงทันเข้าหูเขาเข้า คชาธารจึงสะบัดตัวกลับมาจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมปลาบคู่นั้นขมวดเข้าด้วยกันเล็กน้อยคล้ายไม่พอใจ ก่อนจะถามหล่อนกลับอย่างช้าๆ ชัด ๆ "เมื่อกี้...คุณพูดว่าอะไร"
"คะ" ปานยิหวาทำหูทวนลม ไม่รู้ไม่ชี้ นึกว่าเขาจะไม่ใส่ใจ ที่ไหนได้ เขากลับเปลี่ยนใจย่างสามขุมมาหาอีก
"เมื่อกี้ที่คุณพูดหมายความว่ายังไง" เขาถามกลับห้วน ๆ ยิ่งเห็นหล่อนทำหน้าทำตาแปลกประหลาด ก็ยิ่งแน่ใจว่า ที่เขาได้ยินเมื่อครู่ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน ...
หล่อนพูดถึงคนรักเขา! คนรักที่ไหน! อย่างไร!
ปานยิหวาถอยกรูดหนี ยามเขาเดินเข้ามาใกล้ อีกทั้งสีหน้าเขาก็ดูขรึมลง จนหล่อนเริ่มเกรงใจ "นะนี่...คุณช้าง ขยับออกไปเลยค่ะ"
"บอกมาก่อนว่าไปได้ยิน เรื่องอะไร ที่ไหนมา" เขาคาดคั้นเสียงขรึม ๆ
ท่าทางของเขาบอกว่าจริงจังกับสิ่งที่หล่อนได้หลุดปากโพล่งออกมาเมื่อครู่อยู่ไม่น้อย และถ้าหล่อนไม่ตอบ เขาก็จะไม่ยอมปล่อยหล่อนกลับห้องนอนเลยล่ะ
ปานยิหวาลากสายตาทั้งคู่ขึ้นมาสานสบดวงหน้าที่ดูจริงจังเคร่งขรึมนั้นของหม่อมหลวงหนุ่ม ตอนนี้เขากำลังใช้มือไพล่หลังแล้วแกล้งยื่นใบหน้าอันหล่อเหลาเข้ามาใกล้ ใกล้... จนทำให้มือข้างหนึ่งของหญิงสาวได้เผลอบีบกระบอกน้ำแน่นตาม
แสดงว่าเรื่องของเขาและคุณหญิงก้อยผู้นั้นคงมีมูลอยู่ไม่น้อยล่ะสิ
หล่อนนึกในใจแต่ไม่กล้าโพล่งที่สิ่งที่นึกออกมา ถ้าเกิดพลั้งปากบอกไปว่า หล่อนได้ฟังเพียงเดือนและราชนิกูลสาวผู้นั้นคุยกันมา เดี๋ยวเขาจะหาว่าหล่อนจะเป็นพวกชอบแอบฟังคนอื่นคุยกันอีก อย่างนั้นก็แย่ทีเดียว
"เปล่านี่คะ"
"ไม่จริง" เขาไม่เชื่อ แกล้งดุ "รู้มั้ยว่าเวลาคุณโกหก... คุณจะทำอย่างไร" ถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าหล่อน อีก เพื่อจะดึงดวงตาคู่งามตรงหน้าที่พยายามกรอกหนีดวงตาเขาอยู่ไหว ๆ ยามเจ้าตัวได้เอ่ยแชเชือนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้
ความใกล้ชิดที่มากขึ้น ทำให้หญิงสาวตัวแข็งทื่อพลางเอนตัวออกห่างเขาเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้
บอกตรง ๆ นอกจากบิดาและพี่ชายแล้ว ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนจะได้แสดงความใกล้ชิดเช่นนี้อย่างเขาอีก หล่อนจึงรู้สึกว่าสถานการณ์จริงและในหนังสือที่หล่อนเขียนช่างให้ความรู้สึกแตกต่างกันลิบลับ
ณ ตรงนี้ หัวใจหล่อนกำลังเต้นตึกตัก ด้วยจมูกที่ดูโด่งขึ้นกว่าปกติ ยามที่ใบหน้าเขาอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าเธอ อีกทั้ง รอยยิ้มนุ่มนวลตรงมุมปากที่เขากดลงเล็กน้อยนั่นอีก และประกายแววตาที่ไหวระยับคล้ายกับกำลังขันหรือมองหล่อนอย่างเอ็นดูก็บอกไม่ถูก
กิริยาท่าทางของเขาในยามนี้ ช่างให้รายละเอียดแก่หล่อนได้ดีจริง ๆ หากว่าหล่อนจะเก็บและนำไปบรรยายลงในงานเขียนเรื่องใหม่
คชาธารสังเกตอาการเกร็งของคนตรงหน้า และ...ดวงตาคู่งามกำลังพิจารณาใบหน้าเขาอยู่ด้วยหรือนั่น หม่อมหลวงหนุ่มจึงยิ้มขัน ก่อนจะแสร้งทำเป็นจริงจังแล้วเอ่ยกับหล่อนอีกว่า
"ผมจริงจังนะ ใครจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างอื่น จะไม่ว่าอะไรเลย แต่ถ้าเป็นคุณ ... "
ราวกับจะเป็นเหมือนคำสารภาพอะไรบางอย่าง ปานยิหวากะพริบตาเร็ว ๆ ขึ้นด้วยความตะลึง อยากจะถามกลับ แต่แล้วก็ดันมีแสงจากดวงไฟของรถยนต์ที่ได้ขับเข้ามาจอดตรงนี้ด้วยความเร็ว ทำให้ปานยิหวารู้สึกตัว ครั้นตั้งสติได้จึงผลักร่างสูงนั้นออกห่างเล็กน้อย
หญิงสาวมองไปยังสองร่างที่ก้าวลงจากรถมาด้วยความเร็ว จากนั้นจึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับเข้าไปในตึกทันที
คชาธารเองก็ขยับตัวอย่างอึดอัดขึ้น เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นระตีและเพียงเดือนนั้นเองที่ลงจากรถพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว แต่หม่อมหลวงหนุ่มก็หาสนใจไม่ เขามองตอบคนทั้งสองด้วยความเคร่งขรึมเย็นชา จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นห้องนอนไปอีกคน
"คุณแม่ คุณแม่เห็นภาพบัดสีบัดเถลิงเมื่อครู่ไหมคะ พี่ช้างและผู้หญิงบ้านนอกคนนั้น!"
ระตีมีเพียงความนิ่งกริบตอบ วูบหนึ่งนึกยอกแสลงอยู่ในใจเพียงลำพังว่า สายเลือดบิดาในตัวคชาธารคงแรงไม่น้อย ชายหนุ่มถึงได้ชอบลงไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำนัก
หึ ช่างเหมือนบิดาของเขาไม่มีผิิด!
"คุณแม่ อย่างนี้เราควรจะบอกหญิงก้อยดีไหมคะ หรือไม่บอกดี เพราะเดือนก็รำคาญเสียงแว้ด ๆ ของหญิงก้อยอยู่"
ระตีเหลือบตามองไปทางบุตรสาวคนเล็กเล็กน้อย ยิ้มเยาะพอประมาณก่อนจะตอบว่า "ความจริงแม่ว่าให้หญิงก้อยรู้ก็ดีนะ วังนี้คงจะเต็มไปด้วยเรื่องสนุกน่าดู"
ความจริงแล้ว คชาธารจะลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับใคร ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะต้องไปใส่ใจหรอก หรอกเพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็นลูกในไส้ตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่พยายามกันลูกเลี้ยงคนนี้ให้ห่างจากผู้หญิงอื่นก็เพื่อจะเก็บเขาเอาไว้ให้หม่อมราชวงศ์โชติกา ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากมารดาของราชนิกูลสาวผู้นั้นยังสามารถให้ผลประโยชน์กับตนเองอยู่
เพียงเดือนนิ่วหน้าเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าวังนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องน่าสนุกได้อย่างไร หากหญิงก้อยจะทราบเรื่องในคืนนี้เข้า "จะสนุกอย่างไรล่ะคะ" หล่อนจึงย้อนถามกลับมารดาซื่อ ๆ
พลอยทำให้ระตีต้องระบายลมหายใจออกมาด้วยความรำคาญนิด ๆ เพราะเพียงเดือนไม่เหมือนกับลูก ๆ อีกสองคนของตนเลย ซึ่งก็คือเพียงดาว ลูกสาวคนแรก และลูกชายอีกคนที่ชื่อตะวันฉาย แต่น่าเสียดายที่เพียงดาวก็กลายมาเป็นเหมือนคนบ้าที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง นับจากที่ประสบเหตุการณ์ในวันนั้น
ส่วนตะวันฉายลูกชายคนเดียวก็ประสบเหตุอันน่าสลดจึงเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ แล้ว
ที่เหลืออยู่ให้เคียงข้างตนในยามนี้ก็มีแค่เพียงเดือน แต่เพียงเดือนกลับมีสติปัญญาที่ไม่อำนวยการอะไรได้อีก!
ระตีพยายามปัดความขมขื่นออกจากความคิด แล้วหันมาบอกเพียงเดือนว่า "ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ลูกก็คอยใส่ไฟหญิงก้อยด้วยว่า แม่คนนั้นมีแต่มารยาสาไถที่จะมายั่วยวนตาช้างก็พอ"
ถึงแม้จะมีสติปัญญาไม่อำนวย แต่เพียงเดืองก็มีดีอย่างคือ เชื่อฟังทุกคำพูดของมารดาอย่างไม่มีเกี่ยงงอนเลย "ค่ะ คุณแม่ ไว้พรุ่งนี้ตะวันขึ้นฟ้าเมื่อไหร่ ลูกจะโทร. ไปที่วังของหญิงก้อยแล้วจะเล่าเรื่องคืนนี้ให้ฟังอย่างไม่ตกหล่อนเชียวล่ะค่ะ"
ระตีจึงยิ้มพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะพาบุตรสาวคนเล็กกลับขึ้นห้องนอนไปอีกคน
.
หลังจากได้กลับขึ้นมานั่งยังโต๊ะทำงานตัวเดิม ปานยิหวาก็ต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อให้หัวใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรงได้สงบลง ดวงตาของหล่อนมองเครื่องพิมพ์ดีดที่มีกระดาษแผ่นเดิมเสียบคาอยู่ และวินาทีนั้นหล่อนจึงตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่า
"ตกลงค่ะคุณช้าง ฉันจะยอมให้คุณเป็นพระเอกเรื่องนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข เพื่อไม่ให้คุณมารบกวนจิตใจฉันอีก!"
เอ่ยแล้วก็ราวกับจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาผุดขึ้นมาอยู่กลางกระดาษสีขาวอยู่ลาง ๆ พร้อมรอยยิ้มนุ่มนวลตรงมุมปากนั้นด้วย ปานยิหวาจึงเผลอแลบลิ้นใส่ พร้อมกับบอกว่า
"ไม่ต้องมายิ้มเลย จะยอมให้คุณเป็นพระเอกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นแหละค่ะ คุณช้าง!"
และหลังจากตัดสินใจได้อย่างนี้แล้ว จากนั้นหล่อนก็สามารถกลับมาทำงาน ได้อย่างลื่นไหล ไม่ติดขัดอีกเลย ไปจนถึงจนเกือบรุ่งสางของวันใหม่เลยทีเดียว...