อรจิราออกมาต้อนรับแขกประจำร้านตามมารยาท เจ้าของร้านตัดเสื้อแสนสวยรู้จักสุภาพสตรีทั้งสองตรงหน้านี้ดี หนึ่งคือเพียงเดือนอย่างที่เจ้าตัวและปานยิหวาได้เอ่ยถึงไปก่อนหน้า และอีกคนก็คือหม่อมราชวงศ์หญิงโชติกา สตรีผู้เพียบพร้อมไปด้วยหน้าตาและชาติตระกูล
จึงไม่แปลก ที่หม่อมราชวงศ์หญิงผู้นี้ จะเป็นสตรีผู้เย่อหยิ่ง การพูดจา การวางท่าทางก็ดู ถือเนื้อ ถือตัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
และที่พากันมาที่นี่วันนี้ ทั้งสองคงจะมาให้อรจิราตัดชุดสวยงามให้อีกเช่นเคย
หลังจากพูดคุยกันถึงความต้องการและได้เสนอแบบชุดที่อยากได้กันแล้ว อรจิราจึงเดินไปหยิบปากกาและสายวัดตัว ขณะนั้น หล่อนก็ได้ยินคนทั้งสองพูดกันขึ้นมาว่า
"แม่ผู้หญิงคนนั้น ที่มาอาศัยอยู่ด้วยที่วังเหมวัฒน์ ชื่ออะไรนะ เมื่อกี้อยู่ในรถ ฉันได้ยินชื่อไม่ถนัดเลย"
"ปานยิหวา"
อรจิราเงยหน้าขึ้น พยายามที่จะไม่หันขวับกลับไปมอง ตอนนี้คนทั้งสองกำลังเปิดหนังสือพิมพ์ประจำร้านดูข่าวสารต่าง ๆ อยู่ขณะเดียวกันก็เอ่ยไปถึงบุคคลที่สามไปด้วย คนทั้งคู่จึงไม่ทันสังเกตท่าทางอรจิรา ตอนนี้เจ้าของร้านตัดเสื้อได้มองไปทางหลังร้านที่มีเพียงกระจกสีทึบบาง ๆ กั้นอยู่ และด้วยน้ำเสียงอันดังของสุภาพสตรีทั้งสอง คงเล็ดรอดไปถึงหูปานยิหวาแล้วล่ะ!
"ส่วนที่ว่าเป็นอย่างไร ก็จะอย่างไรล่ะ คนมาจากบ้านนอก ก็ต้องดูบ้านนอก จืด ๆ ดูไร้การศึกษาน่ะสิ " เพียงเดือนเอ่ย แล้วเล่าไปอีกว่า "ความจริงคุณแม่อยากจะให้ไปอยู่เสียที่อื่น แต่ก็เกรงใจพี่ช้างอยู่ ยังไม่อยากทำให้พี่ช้างไม่พอใจ เพราะเรื่องนกยูงที่ออกจากวัง ทุกวันนี้พี่ช้างก็ยังเข้าใจคุณแม่ผิด ๆ อยู่เลย"
"แม่นั่น นอกจากจะไร้การศึกษาแล้ว หน้าตาและรูปร่างล่ะ" หม่อมราชวงศ์หญิงโชติกาโพล่งถามขึ้น พลางจ้องเพียงเดือนอย่างไม่วางตา
คนถูกถามก็เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ที่กำลังถูกกางอ่านขึ้นมา ทำท่านึกสักเล็กน้อย แล้วตอบว่า
"อย่างไรนะเหรอ ก็...จืด ๆ แต่..."
"แต่อะไร เดือนพูดมาเดี๋ยวนี้!"
"แต่ก็...ถือว่าสะสวยอยู่มาก"
"เห็นมั้ย!"
เพียงเดือนพับหนังสือพิมพ์ลง พร้อมกับยื่นหน้าพูดกับหม่อมราชวงค์หญิงอย่างเอาอก เอาใจ ตามที่ถูกมารดาสั่งสอนมาว่า
'ถึงอย่างไรลูกก็ต้องยอมลงให้หญิงก้อยเธอบ้าง เพราะแม่กำลังกล่อมคุณแม่ของหญิงก้อยมาทำธุรกิจร่วมกันอยู่'
"หญิงก้อยก็อย่าได้สนใจแม่คนนั้นเลย ถ้าเทียบกันแล้ว แม่นั่นสู้อะไรหญิงก้อยไม่ได้เลยสักนิด พี่ช้างไม่มีวันชายตาแลมันหรอก"
เพียงเดือนนึกแล้วก็เหนื่อยหน่ายใจ ความจริงตัวเองก็ไม่ค่อยชอบราชนิกูลสาวผู้ที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่งคนนี้หรอก อีกฝ่ายชอบเห็นหล่อนเป็นเบี้ยล่างของตัวเองตลอดเวลา แต่เพราะความต้องการของผู้เป็นแม่จึงต้องทำตามด้วยความอึดอัด
ขณะที่เพียงเดือนเอ่ยอย่างเอาใจหม่อมราชวงศ์หญิงผู้นี้ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่อรจิราเพียรพยายามจะไม่ทำให้ปากกาในมือสั่น ข่มใจหมุนกายกลับไปหาคนทั้งสอง พร้อมเค้นรอยยิ้มออกมาแม้มันจะแสนยาก เพราะหัวข้อสนทนานั้นเกี่ยวกับปานยิหวาเพื่อนรักของหล่อนนั่นเอง!
.....
"ได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย"
อรจิราถาม ขณะที่เปิดประตูกลับเข้ามาในห้องพักด้านหลังร้าน เห็นปานยิหวานั่งกอดอกอยู่บนโซฟา ใกล้ ๆ ก็มีหนูปลากำลังนั่งทานขนมอยู่เงียบ ๆ
ครั้นถาม ปานยิหวาจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ
อรจิราบ่น ขณะเข้ามานั่งลงใกล้ ๆ "เราน่ะพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับไปมองคนทั้งสองด้วยความไม่พอใจ และนี่ก็อ้างว่ามาเข้าห้องน้ำหรอก ไม่อย่างนั้นก็ปลีกตัวมาหาหวาไม่ได้"
ปานยิหวานั่งนิ่งขรึม ก่อนจะถามกลับ "แล้วเสียงของอีกคนที่มาด้วยกันน่ะใคร"
"อ้อ คุณหญิงก้อย เป็นเพื่อนสนิทกับคุณเดือน"
"คุณหญิง...เป็นหม่อมราชวงศ์หรอกหรือ"
"ใช่ หม่อมราชวงค์โชติกา ท่าทางจะหึงหวงคุณช้างอยู่ไม่น้อย ถึงได้คอยถามถึงแต่ปานยิหวา"
"คนรักของเขาหรือ หมายถึงคนรักของคุณช้าง"
อรจิราส่ายหนา ไม่แน่ใจ "เรื่องนี้เราก็ไม่ทราบหรอก อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ แต่ที่แน่ ๆ คุณหญิงก้อยคงมีใจให้คุณช้างอย่างแน่นอน"
"ดีนะที่ตอนลงรถ เราได้เอาเงินให้ลุงเนียมขับรถไปซื้ออะไรทานก่อน ไม่อย่างนั้นคุณเดือนคงเจอรถและลุงเนียนอยู่หน้าร้าน และคงรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ เผลอ ๆ ก็รู้ด้วยว่าเราเป็นเพื่อนรักกับเจ้าของร้านเสื้อชื่อดัง"
"รู้ก็ดีน่ะสิ จะได้ออกจากร้านเราไปเลย ดีเสียอีก เราไม่ชอบคบค้าสมาคมคนที่ดูถูกคนอื่นเลย ..."
"ใจเย็น ๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของเราเอง อรอย่าทำให้เสียงานดีกว่า เขามาในฐานะลูกค้า ไม่ได้มาในฐานะศัตรู อรก็ทำตามหน้าที่ไปเถอะ" ปานยิหวาแนะนำ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอรจิราจะต้องฝืนใจต้อนรับลูกค้าทั้งสองแค่ไหนก็ตาม
อรจิราพยายามข่มอารมณ์ "เดี๋ยวเราต้องกลับไปทำงานต่อ ปล่อยให้เด็กที่ร้านต้อนรับก็ไม่ได้หรอก ชุดที่พวกคุณ ๆ อยากได้ เป็นแบบระดับดาราฝรั่งใส่กันทั้งนั้นเลย" อรจิราบ่น แล้วผุดลุกด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ก่อนจะกลั้นใจเปิดประตูออกไปหาแขกประจำร้านนี้อีกรอบ
ค่ำวันนี้ ปานยิหวาดูมีความสุขกับการทานข้าวมื้อเย็นกับหลานสาวเพียงสองคน เพราะคนอื่น ๆ ไม่อยู่ เนื่องจากระตีและบุตรสาวคนเล็กออกไปงานเลี้ยงข้างนอก แถมหม่อมหลวงหนุ่มผู้นั้นก็ติดเลี้ยงสังสรรค์เช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้าเขาก็ได้โทร.มาบอกคนที่นี่แล้ว ส่วนคนสุดท้ายเพียงดาวที่ไม่ได้ลงมาร่วมทานด้วยเช่นเคย เพราะสาเหตุใดนั้น ปานยิหวาก็ยังไม่รู้อยู่จนถึงเดี๋ยวนี้
หลังจากพาหลานสาวตัวเล็กเข้านอนแล้ว ปานยิหวาจึงเริ่มต้นทำงานเขียนนวนิยายเรื่องใหม่ต่อ ขณะนั้นเอง หล่อนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเร็ว ๆ เหมือนคนวิ่งก็ไม่เชิงว่าจะวิ่งอยู่ภายนอกห้องนอน หล่อนจึงลุกจากโต๊ะทำงาน เพื่อจะเปิดประตูออกมาดู เห็นน้อมกำลังเดินผ่านหน้าห้องนอนหล่อนด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ปานยิหวาจึงรีบส่งเสียงเรียก
"น้อม"
น้อมหยุดก้าวหันกลับมาแล้วจึงขานรับสั้น ๆ "คุณหวา"
"เกิดอะไรขึ้น?"
"คุณดาวค่ะ เธอ เอ่อ..." น้อมดูเกรงใจเล็กน้อยที่จะพูดถึงเจ้านาย แต่ก็ยอมบอกอยู่ดีว่า "คุณดาวไม่ชอบกับข้าวในเย็นนี้ค่ะ เลยต้องทำใหม่ทั้งหมดแล้วจึงเอาขึ้นมาให้คุณดาวที่ห้องนอน"
ปานยิหวาจึงก้าวออกจากประตู แล้วหันไปทางปีกซ้ายของตัวตึกที่มีแต่ความสลัวและความเงียบสงัดปกคลุม โดยปีกซ้ายของตึกนั้นจะเป็นห้องนอนของระตีและบุตรสาวทั้งสอง
หญิงสาวหันกลับมามองหน้าน้อมอีกครั้ง ก่อนจะถามด้วยความสงสัยอย่างเต็มที่ว่า "คุณดาว เธอไม่ยอมออกจากห้องเลยหรือ"
"ออกค่ะ แต่ก็ไม่นานหรอก คุณดาวเธอชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง อย่างวันนี้ก่อนหน้าที่คุณหวาจะพาคุณหนูกลับเข้ามา คุณดาวก็ลงไปเดินเล่นด้านล่าง แต่ไม่นานก็กลับขึ้นห้องค่ะ"
"มีอะไรบางอย่างที่มากกว่าเรื่องคุณดาวเธอเสียใจเพราะคุณชายอลงกรณ์สิ้นใช่มั้ย" ปานยิหวาลองถาม เนื่องจากหญิงสาวรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างมีเงื่อนงำอยู่ไม่น้อย และพอถามแล้วน้อมก็ดูเคร่งเครียดขึ้น แต่ก็ยอมบอกหล่อนอยู่ว่า
"ค่ะ เพราะวันนั้น วันที่คุณชายเสีย คุณดาวเธอเป็นคนพบคุณชายคนแรกค่ะ เธอเลยตกใจและเสียใจมาก"
"อ้อ " ปานยิหวา พยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อย ก่อนจะถามต่ออีกว่า "คุณชายท่านเสียด้วยโรค..."
"โรคหัวใจค่ะ คุณดาวเธอเปิดประตูห้องจะเข้าไปปลุกท่าน แต่ก็พบคุณชายเสียแล้ว..."
ปานยิหวานึกตาม ความเสียใจที่ต้องมาพบบุคคลอันเป็นที่รักจากไปกะทันหัน โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นกับลูกที่รักและผูกพันกับบิดาหรือมารดามาก คงทำให้คุณดาวช็อคจนตั้งสติไม่ทัน เลยเกิดผลกระทบที่รุนแรงจนมาถึงทุกวันนี้
ครั้นหญิงสาวพอจะเข้าใจเรื่องราวได้ดีขึ้น จึงไม่รบกวนน้อมอีกแล้ว อีกฝ่ายคงเหนื่อยมาทั้งวัน ควรจะได้กลับไปพักเสียที "เอาล่ะ ฉันไม่รบกวนน้อมแล้วจ้ะ กลับไปพักเถอะ "
"ค่ะ" น้อมรับคำแล้วก็หมุนกายเดินลงจากตึกไป