เสียงเคาะประตูอยู่ดังหน้าห้องสองสามครั้ง ก่อนที่มันจะถูกเปิดออกอย่างไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของห้องเลย ระตีส่งสายตาขุ่นมัวมองหญิงสาวในวัยสามต้น ๆ ที่กำลังนั่งกัดเล็บมือตัวเองอยู่บนเตียง
กัดเล็บ... เป็นกิริยาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหวาดกลัว หรือไม่กำลังสับสนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ ระตีส่ายหน้าให้อย่างระอา เดินตรงไปดึงมือออกจากปากของหญิงสาวผู้นั้น พลางสำทับเสียงเข้มไปอีกด้วยว่า "แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่ากัดเล็บให้แม่เห็น!" ก่อนจะเดินตรงไปยังหน้าต่างที่มีผ้าม่านปิดเอาไว้ แล้วตวัดผ้าม่านเพื่อให้ความสว่างขึ้นมาภายในห้องให้มากขึ้น
ด้วยความสว่างที่เกิดขึ้นมา ทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงภายในห้องที่มีความมืดสลัวก่อนหน้าได้หรี่ดวงตาทั้งสองลงเล็กน้อยเพราะรู้สึกรำคาญกับแสงที่แยงตาตนขึ้น
"แกจะทำตัวอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ยัยดาว!"
ระตีหันกลับมาเอ็ดบุตรสาวคนโต
เพียงดาวสะบัดใบหน้ามองไปที่หน้าต่างด้วยแววตาขุ่นมัว เพราะหล่อนเกลียดแสงสว่าง "ปิดค่ะคุณแม่ ดาวไม่ชอบ"
ระตีกระแทกเท้าเข้าไปหา แล้วเอ็ดคนตรงหน้าเป็นหนสอง "แกจะบ้าหรือยัยดาว! แล้วนี่ นี่อะไร เท่านี้คนเขาก็นินทาแม่ไม่พออีกหรือ ว่าแกกำลังจะกลายเป็นคนบ้าเข้าไปทุกวัน"
"เป็นคนบ้าก็ดีน่ะสิคะ" เพียงดาวเงยใบหน้ามองมารดา พร้อมกระแทกเสียงกลับ "ดาวจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องบ้า ๆ นั้นอีก"
"ยัยดาว!"
"คุณแม่...ดาวทรมาน คุณแม่รู้มั้ยคะ ว่าดาวทรมาน" เพียงดาวยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหู ก้มหน้าเม้มริมฝีปากแน่น คล้ายกับว่าตัวเองจะได้ยินเสียง หรือได้เห็นภาพเหตุการณ์ใน...วันนั้น ขึ้นมาอีกแล้ว
ระตีจึงจับตัวเพียงดาวพลางเขย่าด้วยความแรงเพื่อดึงสติ "แกจะเป็นแบบนี้ไม่ได้! ไม่เห็นหรือว่าทุกวันนี้เราย่ำแย่แค่ไหน ออกจากห้องนี้แล้วไปช่วยแม่จัดการปัญหาบ้า ๆ เหล่านี้เสียที ลำพังยัยเดือนน้องสาวแกก็ให้แม่พึ่งพาอะไรไม่ได้อีกแล้ว"
เพียงดาวไม่สนใจ ยังคงปิดหูปิดตาร่ำร้องร้องเบา ๆ ว่า "ดาวไม่อยากเห็น ดาวไม่อยากได้ยิน..."
"ถึงแกจะเสียใจแค่ไหน แต่...แกก็กลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้วนะ ที่ทำได้คือ...ก้มหน้ายอมรับมันซะ!"
เพียงดาวค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เพื่อตัดพ้อผู้เป็นแม่ว่า "คุณแม่ทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง คุณแม่"
"เงียบ!"
"มือดาวมันสกปรก..." เพียงดาวเอ่ยแล้วชูมือสองข้างขึ้น มองด้วยสายตาหวาดกลัวและขยะแขยงอีก "คุณแม่เห็นมั้ยคะ มันมีแต่เลือด ดาวไม่อยากเห็นเลือดพวกนี้ คุณแม่..."
ระตีกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเสียงคร่ำครวญนี้เข้า จึงตัดสินใจใช้มือตบเข้าที่ใบหน้าลูกสาวคนโตอย่างแรง!
เพี๊ยะ!
เพียงดาวนิ่งเงียบขึ้นเพราะตกใจไม่ใช่เพราะเจ็บ ก่อนจะเบือนหน้าที่อาบน้ำตามองมารดาที่ยืนสั่นเทาตรงหน้า ผู้เป็นแม่เอ่ยอย่างช้า ๆ อีกว่า
"นี่...พอจะเรียกสติของแกได้มั้ย!"
เพียงดาวตวัดมือปิดหน้าส่งเสียงร้องไห้อีก "หือ ๆ ดาวทรมานค่ะคุณแม่ ดาวทรมานเหลือเกิน ดาวไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น หือ ๆ"
"ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกแล้ว ฟัง ฟังที่แม่พูดให้ดี เขา ไม่ใช่พ่อของแก ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อของแก"
คำพูดของระตีพอที่จะทำให้เพียงดาวหยุดคร่ำครวญได้ หล่อนสบตากับมารดาด้วยน้ำตาที่ยังเจิ่งนองอยู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างช้า ๆ "ดาวรู้ คุณแม่ไม่ต้องย้ำ ถ้าคุณแม่บอกเรื่องนี้ให้ดาวรู้ตั้งแต่เด็ก ดาวจะได้ไม่ต้องถลำลึก รักและเคารพท่านเหมือนพ่อแท้ ๆ"
ระตีทรุดลงนั่นข้าง ๆ บุตรสาว ถอนหายใจเหยียดยาว พลางเอ่ยด้วยอารมณ์ที่คล้ายกับปลดปลงกับทุกอย่างว่า "ถ้าหากแม่รู้อะไร ๆ ได้ล่วงหน้า ตอนนั้นแม่คงไม่ต้องตัดสินใจแต่งงานเข้ามาที่นี่หรอกนะดาว แม่ก็เจ็บปวดเหมือนกัน!"
.
ปานยิหวาพาหลานสาวเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเรือนขนมปังขิงหลังนี้ หล่อนปล่อยมือหนูปลาออก เพื่อให้หนูปลาได้เก็บดอกสีชมพูที่ร่วงตามพื้นหญ้ามาเล่น ส่วนตัวเองก็ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ทรงกลมที่ทำมาจากหินอ่อน หญิงสาวพยายามเอี้ยวตัวใช้มือลูบตรงแผ่นหลัง ตรงที่ได้รับแรงกระแทกจากส้มผลนั้นเมื่อครู่
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา หล่อนจึงรีบละมือแล้วนั่งตัวตรงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที หม่อมหลวงหนุ่มเห็นแล้วจึงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม
"หลังนั่น ต้องทาอะไรแก้ฟกซ้ำมั้ย"
"ไม่ค่ะ ไม่ต้อง" หล่อนตอบเรียบ ๆ ขณะที่ส่งสายตาไปยังหลานสาวตัวน้อยของหล่อนและของเขาด้วย
หม่อมหลวงหนุ่มนั่งลงกับเก้าอี้อีกตัวใกล้ ๆ กัน "ผมโดนแค่ต้นแขนยังรู้สึกเจ็บเลย คงต้องเป็นรอยซ้ำไปอีกหลายวันเลย" เอ่ยพร้อมกับดึงแขนเสื้อขึ้น เรียกสายตาของดวงตาหวานคู่นั้นให้เหลือบกลับมามองนิดหนึ่ง แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหล่อนอีก
"ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ ไกลหัวใจ"
"ผมขอโทษ แทนพี่ดาว" เขาเอ่ยอย่างจริงจังและจริงใจ ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมขึ้นมา แล้วอธิบายอีกว่า "ตั้งแต่เสียคุณพ่อ พี่ดาวก็เป็นแบบนี้ พี่ดาวคือลูกสาวคนแรกของท่านจนกว่าจะมามีพวกเรา จึงทำให้พี่ดาวและคุณพ่อท่านผูกพันกันมาก"
เขาพยายามจะเอ่ยเพื่อให้หล่อนเห็นใจหรือ ทว่า...
"ฉันรู้ค่ะว่าทุกคนมีความทุกข์เหมือนกันหมด" พลางเบือนหน้ามองเขาตรง ๆ "แต่ก็ไม่ควรเอาเหตุแห่งความทุกข์ของตัวเองมาเที่ยวกระทำย่ำยีคนอื่นนิคะ ฉันเสียพี่ชายไป เรารักและผูกพันกันไม่น้อยเลย แต่ฉันก็ไม่เคยเอาความสูญเสียไปเรียกร้องให้ใครมาสงสาร หรือเที่ยวไปรังควาญใครต่อใครสักครั้ง"
คชาธารถอนหายใจอีก แต่คราวนี้แรงกว่าเดิม
"คุณระตีเป็น..." ปานยิหวาลองถามขึ้น แต่เขาก็รีบตอบก่อนที่หล่อนจะถามจบ
"เป็นภรรยาคนแรก คุณแม่ของผมท่านมาทีหลัง" คชาธารหันหน้ามามองใบหน้าหล่อน แววตาของเขายามนี้จึงดูราวกับว่าเรื่องนี้ได้เป็นปมอย่างหนึ่งของเขา ปมความรู้สึกผิด ที่พวกเขาเป็นเหตุเข้ามาแย่งความรักความสนใจของคุณพ่อไปจาก คุณระตีและลูก ๆ คนอื่น ๆ
"คุณพ่อพบคุณแม่ระหว่างทางไปและกลับบ้านทุกวัน ผมหมายถึงระหว่างทางจากวังนี้ไปที่ทำงานของท่าน"
ดวงตาคู่หวานนั้นสบกับเขาอย่างจริงจังกว่าเดิม หล่อนตั้งใจฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังนี้ขึ้นมาทันที
"...ผมหมายถึง...คุณแม่ของผมท่านเป็นเพียงแม่ค้าขายของริมถนนธรรมดา ๆ คุณพ่อของผมนั่งรถผ่านไปมาจึงเห็นหน้าทุกวัน ท่านก็เลย ... รัก"
"แล้วคุณระตี..." ปานยิหวาแทรก จะถามตรง ๆ ก็เกรงใจว่าจะละลาบละล้วง แต่ก็ดีที่เขาสามารถอ่านความหมายในแววตาของหล่อนได้
"คุณน้าเป็นลูกสาวของคหบดีชื่อดังที่นครปฐม คุณพ่อรู้จักเพราะคุณพ่อต้องทำไปงานที่นั่น และได้รับการแนะนำจากผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ว่ามีความเหมาะสมกัน ท่านจึงแต่งงานด้วยเพราะความเหมาะสัมเป็นอันดับแรก"
"ไม่มีความรัก?"
"อันนั้นผมก็ไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้ไปนั่งอยู่ในหัวใจของใคร"
ปานยิหวาเผลอค้อนให้เขาขึ้นทันที เซ็งที่เขาพูดจาด้วยกำปั้นทุบดินอย่างนี้ กำลังหลอกให้เขาเล่าเรื่องภายในวังนี้ให้ฟังเพลิน ๆ อยู่เลย
"ก็คงเป็นความรักอีกแบบ แต่ ผมก็ไม่ได้ทราบอะไรมาก รู้แค่ว่า พอมีพวกผม พวกผมก็รู้จักแต่ความสุข เพราะคุณพ่อท่านได้ทุ่มเทความรักและความสนใจให้ ถึงตรงนี้...คุณคงรู้ว่าคุณน้าและลูก ๆ จะรู้สึกอย่างไร ทุกวันนี้ผมจึงต้องแบกรับความรู้สึกผิดนั้นเหมือนกัน แม้ผมไม่ได้เป็นคนก่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวเองไม่มีส่วนทำให้เกิดบาดแผลในจิตใจของคุณน้าและลูก ๆ... "
"เรือนหลังนี้..." เขาหันไปด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกว่า "เคยเป็นเรือนของคุณแม่ ที่คุณพ่อปลูกไว้ให้สมัยที่รับคุณแม่เข้ามาอยู่ด้วยใหม่ ๆ จนมีพวกผม หมายถึงผมและนกยูง คุณพ่อจึงต้องการให้ย้ายกันไปอยู่บนตึกใหญ่ คุณรู้ใช่มั้ยว่าคุณน้าระตีและลูก ๆ จะรู้สึกอย่างไรเข้าไปอีก"
หล่อนพยักหน้า เข้าใจความรู้สึกของระตีและลูก ๆ ได้ลึกซึ้งขึ้นทีเดียว ยิ่งระตีคงมีความเจ็บปวดกว่าผู้ใด เพราะระตีมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีสังคมระดับสูง แต่แล้วก็ต้องถูกลดตัวนำมาเทียบเคียงกับหญิงสาวชาวบ้านที่เป็นเพียงแม่ค้า ที่ค้าขายของริมถนนธรรมดา ๆ
ความพ่ายใดจะย่อยยับ และเจ็บปวดเท่ากับความพ่ายแพ้ในเรื่องความรัก เห็นจะไม่มีอีกแล้ว
"ตั้งแต่ผมกลับมายังไม่มีเวลามาดูแลเลย จะให้คนมาทำความสะอาดบ้าง แต่ก็ไม่มี เพราะทุกคนเกี่ยงกันไปมา"
"ทำไมคะ!" ปานยิหวาโพล่งถามเพราะอยากรู้เรื่องนี้มาก ๆ แต่ยังไม่มีเวลาที่จะหลอกสอบถามคนที่นี่เลย
"มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่นี่ จึงทำให้ทุกคนหวาดกลัวกันไปหมด"
หญิงสาวมองเข้าไปภายในเรือนหลังนี้ หล่อนเคยจะเอ่ยปากขอเขามาอยู่กับหนูปลาเพียงลำพัง แต่แล้ววันนี้กลับเม้มริมฝีปากเอาไว้เสีย
เรื่องไม่ดี ทำนองมีคนตายน่ะหรือ!
หล่อนหันมาทำนองจะถามเขาเพิ่มอีก แต่เหมือนเขาจะรู้ตัวจึงตัดบทด้วยการเดินไปหาหนูปลา พลางย่อตัวอุ้มหลานสาวขึ้นมาแล้วถามหล่อนว่า
"ไปข้างนอกกันนะ วันนี้ผมว่าง สัญญากับตัวเล็กนี้ไว้แล้วว่าจะพาไปเที่ยวสักวัน" ก่อนจะหันไปถามคนตัวเล็กต่อ "ไปมั้ย หนูปลาของลุงช้าง"
คนตัวเล็กปัดเส้นผมที่ติดตามแก้มออก พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแฉ่ง "ไปค่า หนูปลาอยากไปเที่ยว"
"ขอเวลาฉันและหนูปลาหน่อยได้มั้ยคะ อยากพาแกไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วเปลี่ยนชุดสักหน่อย"
เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะส่งคนตัวเล็กในวงแขนให้หล่อนได้อุ้มต่อไป