หลังจากนั่งรถออกจากวังเหมวัฒน์มา ปานยิหวาที่นั่งกับหนูปลาตรงเบาะหน้าคู่เขาทำหน้าที่ขับรถแล้วหล่อนก็ไม่ได้ถามเขาหรอกนะว่าจะพาหนูปลาไปเที่ยวที่ไหน เพราะคิดเอาไว้เองว่าเขาน่าจะพาไปซื้อข้าวของมากกว่า
กระทั่งหล่อนเริ่มสังเกตตรงข้างทางที่บ้านเรือนของผู้คนเริ่มทิ้งระยะห่างกันเรื่อย ๆ จนสองข้างทางกลายเป็นทุ่งนากว้าง คล้ายรถกำลังอยู่แถวชานเมือง หญิงสาวเลยหันไปถามเขาที่กำลังขับรถอย่างแปลกใจขึ้น
"คุณจะพาฉันและหนูปลาไปที่ไหนคะ"
"ทีแรกจะพาไปซื้อของแถววังบูรพา... แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วล่ะ" เขาตอบแล้วยิ้มตามแบบฉบับของเขาปิดท้ายอีก
"เปลี่ยนแล้ว ก็แล้วเป็นที่ไหนล่ะคะ!"
"บ้านคุณตาคุณยายผมซึ่งก็หมายถึงบ้านคุณตาทวดคุณยายทวดของหนูปลาด้วย หวังว่าคุณคงไม่ขัดข้องที่ผมจะพาแกไปกราบท่านทั้งสองสักครั้งนะ"
แม้จะดูอึดอัดไม่ในตอนแรก แต่เมื่อเขาพูดมาเสียขนาดนี้ หญิงสาวก็ต้องยอม
"ก็...ตามใจสิคะ" ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
หลังจากหญิงสาวตอบตกลง หม่อมหลวงหนุ่มมัวแต่ดีใจ เลยไม่ทันเห็นความวิตกกังวลบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้บนใบหน้างามในขณะนี้ด้วย
.
เมื่อได้พูดถึงบ้านคุณตาคุณยายของเขา เขาบอกว่าอยู่แถวเมืองนนทบุรี โดยเขาเล่าให้หล่อนฟังคร่าว ๆ ระหว่างทางไปอีกด้วยว่า คุณตาและคุณยายของเขาทำสวนผลไม้ขนาดใหญ่อยู่แถว ๆ นี้ โดยสมัยเด็กตอนที่คุณแม่ของเขายังไม่เสีย เขาและนกยูงน้องสาวก็ตามคุณแม่มาค้างที่บ้านของท่านทั้งสองอยู่บ่อย ๆ ครั้นกลับก็จะได้ผลไม้จำพวกลิ้นจี่ กระท้อน มะยงชิดไปฝากคนในวังเสมอ
"นึกแล้ว ผมเริ่มคิดถึงสมัยเด็ก ที่ไม่ต้องได้รับรู้เรื่องอะไรมากนอกเสียจาก กิน เที่ยว และเล่นก็พอ" เขาหันมาเอ่ยกับหล่อนด้วยความรู้สึกถวิลหาอดีตในคราวนั้น
ซึ่งปานยิหวาฟังแล้ว ดวงตาคู่งามก็สะท้อนความอ่อนไหวออกมาวูบ เพราะชีวิตในวัยเยาว์ของเขาช่างคล้ายกันกับชีวิตในวัยเยาว์ของหล่อนเหลือเกิน หญิงสาวนึกถึงสมัยเด็กตอนที่โรงเรียนปิดเทอม หล่อนและพี่ชายมักจะไปขลุกอยู่ที่สวนผลไม้เสมอ ยามเย็นกลับบ้านก็มักจะหอบเอาผลไม้ต่าง ๆ กลับมาด้วยทุกครั้ง ยิ่งเวลาเปิดภาคเรียนใหม่ เพื่อน ๆ ที่หล่อนสนิทใจไม่กี่คนก็มักจะได้ของฝากที่เป็นผลไม้สดใหม่จากสวนหล่อนไปทานด้วย
หญิงสาวรีบเบือนหน้าออกด้านนอกรถทันที เพื่อกลั้นน้ำตาที่คลอขึ้นมานั้น เมื่อหัวใจได้ระลึกถึงพี่ชายที่หล่อนรักที่สุดขึ้นมา ...
และแล้วทางถนนที่ราบเรียบก็เริ่มเป็นทาง ที่ขลุกขลักเล็กน้อย สองข้างทางเริ่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และจะเห็นว่ามีสวนผลไม้อยู่ติด ๆ กัน หลายสวน กระทั่งเขาชะลอความเร็วของรถลงและหักพวงมาลัยเข้าสู่สวนผลไม้แห่งหนึ่ง หญิงสาวจึงได้ทันทีรู้ว่าคงเป็นที่นี่ที่เป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้
รถยนต์คันสีดำแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่จริงจะเรียกว่าบ้านก็ไม่ใช่ ดูลักษณะแล้วน่าจะเรียกว่าเป็นเพิงเสียมากกว่า จากนั้นไม่นานก็มีชายวัยกลางคนเดินลงจากเพิงหลังนั้น คชาธารจึงรีบลงจากรถแล้วเข้าไปหาชายคนดังกล่าวพร้อมกับพูดจาอะไรกันคำสองคำ หม่อมหลวงหนุ่มก็ชี้มายังรถที่หล่อนนั่งรอเขากับหนูปลา ชายคนนั้นก็รีบพยักหน้าตามด้วย
แล้วคชาธารก็เดินกลับมาหาหล่อนและหนูปลา เปิดประตูรถออกเพื่อบอกว่า
"ลงมาเถอะ เราต้องจอดรถเอาไว้ที่นี่แล้วเดินเข้าไปอีก"
"ไป ไปไหนคะ!"
"ตรงนี้เป็นด้านหลังสวน ด้านหน้าสวนของคุณตาและคุณยายผมจะติดกับคลองซึ่งทำให้เราต้องอ้อมไปอีกไกลแล้วต้องนั่งเรือเข้ามาอีก ผมพาคุณและหนูปลามาทางนี้คิดว่าน่าจะสะดวกกว่า แค่เดินเข้าไปอีก...หน่อย"
ปานยิหวาพาหนูปลาลงรถ พลางหันหน้ามาถามเขา
"แล้วบ้านหลังนี้ไม่ใช่หรือคะ"
"อ้อ ลุงคมเป็นคนดูแลสวนให้คุณตาคุณยาย ผมฝากรถเอาไว้ที่นี่ ลุงคมแกรับปากจะดูแลให้"
"ค่ะ...แล้วต้องเดินอีกไกลมั้ยคะ" ความจริงหล่อนก็ชินกับสภาพพื้นที่ของสวนผลไม้เพราะชีวิตหล่อนก็เดินหรือวิ่งเล่นสวนผลไม้ของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ทว่าการที่เขาไม่ได้บอกหล่อนล่วงหน้า ว่าจะพามาที่นี่ หล่อนเลยไม่ได้เตรียมตัวสักเท่าไหร่ ไหนจะเป็นชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนลายใบไม้สีน้ำตาลเข้มที่มีความยาวเลยเข่านี่ และรองเท้าส้นสูงอย่างนี้อีก...คงทำให้หล่อนลำบากน่าดูหากจะต้องเดินจริง ๆ
คชาธารเองก็เห็นขึ้นมาว่า ดวงตาหล่อนหลุบมองสภาพตัวเองอย่างเป็นกังวลขึ้น เขายิ้มแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ พลางกระซิบบอกว่า
"มือข้างหนึ่งของผมก็ยังว่าง เพื่อรอให้มือคุณมาจับนะ"
ปานยิหวาเงยหน้าขึ้นมามองเขา เห็นเขายิ้มให้แล้วย่อตัวลงไปหาเจ้าตัวเล็กที่หล่อนยังจูงมืออยู่
"มาหนูปลา เดี๋ยวเราเดินไปหาคุณตาทวดคุณยายทวดกันนะ" ว่าพลางก็จับมือหลานสาวขึ้นมา ก่อนจะผุดลุกแล้ววางมือข้างที่ยังว่างลงตรงหน้าหญิงสาว
"สนใจมั้ย..."
ปานยิหวาค้อนให้เล็กน้อยแทนคำตอบแรก พลางนึกขึ้นมาได้ว่า
นี่เขาได้วางแผนการณ์ล่วงหน้ามาก่อนหรือเปล่านี่ ที่ให้หล่อนต้องมาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถาพของตัวเองอย่างนี้!
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินได้อยู่ แค่ต้องระวังให้มากกว่าเดิมเท่านั้น"
เขายักไหล่หนา ๆ ขึ้นเล็กน้อยทำนองว่า ตามใจหล่อน ก่อนจะเดินจูงมือหนูปลานำหน้าออกไปทันที ปานยิหวาเองที่พอถอนหายใจออกพรืดแล้วก็รีบสาวเท้าตามเขาไปในทันใดเช่นกัน
คงเพราะ...ความร่มรื่นทำให้ปานยิหวารู้สึกไม่ลำบากมากหากจะเดินด้วยรองเท้าส้นสูง เพราะฝนไม่ตกดินจึงไม่ลื่นแฉะ บางทีก็ทำให้นึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่กลางสวนผลไม้ที่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างทางที่เดินตามหลังเขาไป ชายหนุ่มยังเล่าความเป็นมาของสวนผลไม้นี้เพิ่มเติมอีกด้วยว่า เมื่อก่อนที่นี่จะปลุกผลไม้หลากหลายรวมกัน แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาคุณตาและคุณยายของเขาก็ได้เปลี่ยนมาปลูกทุเรียนเป็นผลไม้หลัก แต่แม้คุณตาคุณยายของตนจะยึดทุเรียนเป็นผลไม้หลักของสวน ท่านก็ยังปลูกผลไม้อื่น ๆ แซมไปด้วย เช่น มะละกอ มะพร้าวน้ำหอม กล้วย ซึ่งระหว่างทางที่เดินตามหลังเขาไป หญิงสาวก็เห็นต้นทุเรียนที่นี่ปลูกแบบยกร่องโดยมีคูน้ำล้อมรอบ บางคูหล่อนก็เห็นว่ามีเรือลำเปล่าลอยอยู่ในคูน้ำอีกด้วย
และด้วยความที่มีร่องน้ำ หญิงสาวก็ต้องแอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่นไปด้วย ยามที่ต้องเดินอยู่บนแผ่นไม้กระดานที่ใช้พาดข้ามร่องน้ำในสวน และ...ยามที่จะข้ามจริง ๆ เขาคนนั้นก็มักจะหันกลับมามองหล่อนด้วยสายตาเป็นห่วงในทุกครั้งอีกด้วย
หลังจากเดินตามหลังชายหนุ่มไม่นาน หญิงสาวจึงเห็นบ้านที่ทำจากไม้ยกใต้ถุนสูง และหลังคามุงด้วยสังกะสีที่ซ่อนตัวอยู่กลางสวนตรงหน้า ทว่าระหว่างนั้น ได้มีเสียงสุนัขสามสี่ตัวเห่าประสานกันยามได้ยินเสียงแปลก ๆ เข้ามาในบริเวณบ้าน แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าเป็นเขา เจ้าสุนัขเหล่านี้ก็เปลี่ยนเป็นกระดิกหางไปมาคล้ายดีใจที่ได้เจอคนรู้จักและคุ้นเคยแทน ก่อนจะพากันจะล้อมหน้าล้อมหลังชายหนุ่มและหนูปลาที่กำลังเดินตรงไปยังบ้านหลังตรงหน้า
และในเวลานั้นเองก็มีชายและหญิงที่อายุราว ๆ หกสิบกว่าคู่หนึ่งเดินลงจากบ้านหลังนั้นมา ครั้นทั้งคู่เห็นชายหนุ่มเข้าก็ยิ้มอย่างดีใจ
ผู้สูงวัยทั้งสองนั้นทำท่าดีอกดีใจเป็นอย่างมากที่พบหม่อมหลวงหนุ่ม ต่างก็พากันโผเข้ากอดพลางลูบเนื้อลูบตัวเขาอย่างรักใคร่ ก่อนจะเหลือบมองหล่อนและหลานสาวตัวน้อยที่ยืนทำหน้างุนงงอยู่ใกล้ ๆ และแล้วเสียงของชายชราคนนั้นก็ถามเขาว่า
"แล้วนั่น เมียและลูกของช้างรึนั่น"
ปานยิหวาอ้าปากค้าง กับคำทักทายที่มาพร้อมกับความสงสัยบนใบหน้าของผู้สูงวัยทั้งสอง หล่อนจึงรีบปฏิเสธทันทีที่ตั้งสติได้
"ไม่ใช่ค่ะ! ไม่ใช่ !"
ก่อนจะรีบส่งสัญญาณไปให้เขาช่วยอธิบายด้วย แต่ชายหนุ่มก็ยังยิ้มขันอย่างสบายใจอยู่อีกครู่ แล้วจึงหันไปบอกผู้สูงวัยที่ส่งสายตาปริบ ๆ มายังหล่อนและหลานปลาว่า
"ไม่ใช่ครับ เราไปนั่งคุยกันตรงนี้ดีกว่า"
จากนั้นคชาธารก็จูงมือพาคุณตาและคุณยายของตนที่ยังมองหล่อนและหนูปลาอย่างสนเท่ห์ ไปยังแคร่ที่อยู่ใต้ถุนบ้าน ก่อนจะเล่าให้ฟังว่าหล่อนและหนูปลาเป็นใคร พอผู้สูงวัยทั้งสองรู้ ต่างก็มีอาการตื่นเต้นประสมกับความตื้นตันใจขึ้น
"นะ...นั่นลูกของนกยูง ก็หมายความว่า...!"
"ตาแก่ จะหมายความว่ายังไงล่ะ ก็เหลนของเราทั้งสองยังไง" คุณยายรีบพูดอย่างตื่นเต้นอีกเสียง
ปานยิหวาจึงรีบพยักหน้าสำทับว่าใช่ ๆ ดังนั้น หนูปลาไม่ใช่ลูกสาวของหล่อนและเขาแน่นอน! แล้วหล่อนจึงก้มหน้าบอกคนที่หล่อนจูงมือให้เข้าไปกราบคุณทวดทั้งสองของตัวเอง
"หนูปลาคะ"
"ขา" คนตัวเล็กขานรับพลางเงยหน้ามองคุณอาสาวด้วย
"ไปกราบคุณทวดสิคะ"
"คุณทวด?" เจ้าตัวเล็กเอียงคอไปมาคล้ายสงสัยว่า คุณทวดคือใคร จนปานยิหวาต้องรีบอธิบาย
"ก็เหมือน ๆ กับคุณปู่คุณย่าของเรายังไงล่ะคะ"
"อ๋อ ค่า" เด็กน้อยจึงเข้าไปกราบที่ตักคนทั้งสอง ซึ่งก็เรียกน้ำตาให้ซึมออกมาจากดวงตาคู่นั้นได้
"ไม่น่าเชื่อ ว่าเราจะอยู่จนได้เป็นคุณทวดกันแล้วนะ ตาแก่" คนที่ได้เป็นคุณยายทวดหมาด ๆ เอ่ยด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้น
"ใช่ ๆ ยายแก่"
"ตาแก่ ยายแก่" เสียงเล็ก ๆ นั้นเอ่ยตามอย่างไม่มีใครคาดคิด จึงทำให้ผู้ใหญ่ที่อยู่รายล้อมเด็กตัวน้อยตะลึงไปตาม ๆ กัน
"อุ๊ย! หนูปลา พูดแบบนั้นไม่ได้ค่ะ" ปานยิหวาตกใจ รีบดึงตัวหลานมาบอกกล่าวว่าห้ามพูด ท่ามกลางเสียงหัวเราะขันของผู้สูงวัยทั้งสองที่ไม่ถือสาเหลนของตนเองเลย