“จริงอ่ะ... ฉันได้ยินนะ” กุลจิราเห็นสายตายิ้ม ๆ ของเพื่อน ก็ทำให้เธอต้องเฉไฉมองไปทางอื่น “ก็เสียงมันลอด ๆ ออกมา ไม่ได้ตั้งใจฟังหรอก มันได้ยินเอง”
“หรา”
“เออดิ ...เล่า”
“เขาจีบฉันหรือเปล่าไม่รู้หรอก แกก็รู้นี่ว่าฉันไม่คิดจะรักใคร นอกจากพี่นที”
“ทำไมล่ะ ถ้าเขาโอ แกก็น่าจะลองพิจารณาดูหน่อยมั้ย”
“ชีวิตฉันเป็นของพี่นทีคนเดียว แบบนี้ฉันจะกล้าเอาชีวิตเอาหัวใจไปมอบให้ใครได้ไง อีกอย่างใจมันก็ไม่พร้อมจะเปิดรับใครทั้งนั้น สงสัยชาตินี้คงไม่มีใครแทนที่พี่นทีได้แล้วมั้ง” ปลายเสียงเศร้าๆ ทำให้กุลจิราเหลือบตามองเพื่อนสาวด้วยความเห็นใจ
“ไม่เป็นไร ๆ ถ้าแกไม่คิดจะมีใคร ก็ขึ้นคานเป็นเพื่อนกันนี่แหละ” คำปลอบใจของกุลจิราได้ผล เมื่อทำให้อัญญายิ้มออกมาได้
“แน่ใจ” อัญญาเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างไม่เชื่อในน้ำคำของเพื่อน ก็จากกันไปตั้งนาน อีกอย่างกุลจิราก็สวยขึ้นจนผิดหูผิดตาแบบนี้ จะยังโสดได้ไง
“มั่นใจเลยย่ะ ฉันน่ะ ไม่เคยคิดจะมีภาระ”
“แกยังไม่เจอคนถูกใจยัยกุล ลองเจอดิ แกคงเลื่อยคานเองกับมือ”
“จริงปะวะ...มาคิด ๆ ดูแล้ว หรือฉันจะหาสามีสักคนดีวะแก จะได้ไม่เหงา”
“ดี” อัญญาทำหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเอ่ยสนับสนุนเพื่อน
“แต่...จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีผู้ชายคนไหนเสี่ยงตายมากระชากฉันลงจากคานเลย เรื่องมันเศร้า” กุลจิราทำหน้าม่อยด้วยความปวดใจ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหมาเห่าให้ตื่นเต้นสักครั้ง ก็อยากจะเจอความรู้สึกรักมั่นรักแท้เหมือนที่อัญญามีต่อนทีบ้าง มันคงจี๊ดจ๊าดในหัวใจดี
สงสัยถ้าอยากได้จริง ๆ สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือ นอนหลับแล้วฝันเอา
“เมื่อกี้แกบอกว่าจะอยู่บนคานเป็นเพื่อนฉัน แป๊บเดียว ตอนนี้อยากได้สามีแล้ว ตกลงจะเอาไงกันแน่”
“แหะ...แหะ ฉันก็ฝันกลางวันไปงั้นแหละแก อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว” กุลจิราหัวเราะออกมาเสียงใสก่อนจะหันหน้ามาถามเพื่อนอีกครั้ง
“ตกลงจะให้ฉันไปส่งบ้านเลย หรือจะแวะไหนก่อน”
“อืม...พรุ่งนี้แกว่างมั้ย?” อัญญาไม่ตอบ แต่กลับถามอีกเรื่อง
“พรุ่งนี้เหรอ... แกจะไปไหน?”
“ฉันอยากไปเยี่ยมพี่นที ถ้าแกไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ”
“ว่างสิ พรุ่งนี้ฉันไม่ได้ไปไหน”
“ขอบใจนะกุล ฉันคงต้องรบกวนแกอีกสักพัก ตอนนี้ยังไม่มีรถ อีกอย่างสามปีไม่ได้อยู่เมืองไทย ไม่รู้ถนนหนทางเปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว”
“ฉันเพื่อนแกนะ มีไรก็บอกได้ไม่ต้องเกรงใจ อีกอย่างแกอย่าเพิ่งขับรถเองเลยมันอันตราย รอให้แกชินกับที่นี่ก่อน”
“ได้จ้า งั้นเรากลับบ้านดีกว่า ป่านนี้แม่คงรอแล้ว”
“เคร” จากนั้นสองสาวก็ตรงไปยังลานจอดรถ เพื่อจะพา อัญญากลับบ้าน
บ้านที่หญิงสาวยังไม่เคยเหยียบย่างเข้าไป เพราะซื้อหลังจากที่อัญญาเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศได้ไม่นาน มีเพียงกุลจิราที่ช่วยสาวิตรีดูแลจัดการให้ทุกอย่าง ตั้งแต่เลือกหาจนตกลงซื้อ ในช่วงเวลาที่ลูกสาวคนเดียวแบบอัญญาไม่สามารถกลับมาได้
รถยนต์เคลื่อนเข้าไปจอดในรั้วบ้านเดี่ยวชั้นเดียว พื้นที่ไม่กว้างมากนัก ขนาดไม่เกินหกสิบตารางวา บริเวณหน้าบ้านจอดรถได้ไม่เกินสองคัน ตัวบ้านสีฟ้าอ่อน ดูสะอาดตา และโล่งสบาย ไม่มีอะไรเลยนอกจากดอกไม้ต้นเตี้ยที่ปลูกประดับตามริมรั้ว
อัญญาก้าวขาลงจากรถ สายตากวาดมองจนทั่วบริเวณบ้านหลังนี้เทียบไม่ได้กับหลังเก่าที่เธอเคยอยู่ ไม่ต้องพูดถึงราคาเอาแค่พื้นที่ก็ห่างกันแทบไม่เห็นฝุ่น พวกเธอจำเป็นต้องขายบ้านหลังเก่า เพราะพินิจถูกจับในข้อหาค้ายาเสพติด ต้องโทษจำคุก
และที่หนักหนาคือธุรกิจร้านขายเฟอร์นิเจอร์ถูกอายัดทรัพย์ เพราะมีการนำเงินจากการจำหน่ายยาเสพติดมาหมุนเวียนในบริษัท รวมทั้งอายัดเงินสดที่มีในบัญชีทั้งหมด เหลือรอดเพียงบ้านหลังใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดของบรรพบุรุษ
อัญญาใช้เวลานานกว่าจะทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวได้ เหมือนทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่อยากคิดว่าสาวิตรีจะทำใจได้ไหม
เพราะแม่ของเธอเคยอยู่บ้านหลังใหญ่โต มีคนรับใช้คอยดูแล แต่ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ก็ได้แต่หวังว่าพวกเธอจะก้าวผ่านมันไปได้โดยเร็ว
อัญญายังจำความรู้สึกเลวร้ายเมื่อสามปีก่อนได้แม่น พินิจกับสาวิตรีต้องการส่งเธอไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา เพื่อให้เธอลืมเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น และอนาคตต้องการให้เธอกลับมาบริหารกิจการของครอบครัว
ทั้งที่เธอไม่อยากไป แต่ในเมื่อพินิจกับสาวิตรีขอร้อง และมีเหตุผลเพียงพอ เธอจึงไม่อาจขัดได้ แต่เธอเพิ่งไปอยู่ได้ไม่ถึงสามเดือนก็ได้รับข่าวร้าย
พินิจหนีความผิดใช้ปืนยิงปลิดชีพตัวเองคาบ้าน อัญญาเสียใจร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ความเสียใจจากการสูญเสียคนรักยังไม่ทันจางหาย พ่อของเธอก็มาตายจากไปอีกคน
อัญญาจะบินกลับมาเมืองไทย แต่สาวิตรีเอ่ยปากห้ามไม่ให้เธอกลับมาจนกว่าจะเรียนจบ เพราะมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว และที่สำคัญบ้านเราไม่มีเงินเหลือมากมาย เงินก้อนสุดท้ายที่มีก็เพื่อส่งให้เธอเรียน
พอนานวันเข้า ครอบครัวเธอไม่มีรายได้อะไร และบ้าน
หลังใหญ่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะ สุดท้ายสาวิตรีก็ตัดสินใจประกาศขายบ้านสมบัติชิ้นสุดท้าย อัญญาได้แต่ใจหาย และเสียใจ
“ยัยอัญ”
น้ำเสียงสั่นเครือ แฝงด้วยความตื่นเต้นดีใจเรียกให้อัญญาเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสูงวัย ผมขาวแซมตลอดทั้งหัว กำลังยืนส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ทำให้เธอกลั้นน้ำตาไม่อยู่ อัญญาวิ่งโผเข้าไปกอดด้วยความรัก และคิดถึง
“แม่!”
สองแขนเรียวโอบกอดร่างผอม และเหมือนจะเล็กลงไปกว่าเดิม แม่เธอผอมลงจนแขนเธอโอบรอบ
“คิดถึงแม่ที่สุด” น้ำเสียงสั่น น้ำตาไหลทะลักอาบแก้ม
“แม่ก็คิดถึง สบายดีใช่มั้ย เดินทางมาเป็นไงบ้าง ลำบากหรือเปล่า..” น้ำเสียงอบอุ่นของสาวิตรี ค่อย ๆ หายลงไป ลำคอตีบตันด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าลูกสาวอีกครั้ง
“อัญสบายดีค่ะ แล้วแม่ล่ะคะ ลำบากมากมั้ย”
“ไม่เลยลูก มีหนูกุลมาดูแล แม่ก็ไม่เหงามาก”
“ต่อไปอัญจะอยู่กับแม่ไม่ไปไหนอีกแล้ว จะดูแลแม่เองนะคะ”
สองแม่ลูกกอดกันแน่น กุลจิราซึ่งกำลังเปิดท้ายรถยกกระเป๋าลงให้เพื่อน ถึงกับน้ำตาซึมออกมา ดีใจที่เพื่อนกลับมา และสงสารผู้หญิงสองคนที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิต
ไม่รู้ต่อไปจะเป็นยังไงบ้าง แต่เธอเชื่อมั่นว่าอัญญาเป็นคนเข้มแข็ง แล้วทุกอย่างก็ต้องผ่านไปด้วยดี