บทนำ
…ในปีค.ศ.2026…
ยามนี้ทั่วโลกบังเกิดวิกฤตการณ์ของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เค.26ระบาดแพร่กระจายติดต่อมวลมนุษยชาติอย่างรวดเร็ว แต่ละประเทศต่างหาวิธีตั้งรับทั้งคัดกรองป้องกันและรักษาอีกทั้งหลายประเทศผู้นำต่างก็เร่งคิดค้นวัคซีนต่อต้านเชื้อไวรัสดังกล่าว ทว่าด้วยประชากร ที่มากมาย จึงยากต่อการควบคุม หลายประเทศต่างก็คัดแยกประชากรของตนอีกทั้งต่างก็ปิดประเทศเพื่อปกป้องประชาชนส่วนใหญ่ของที่ยังไม่ติดเชื้อไม่ให้ได้รับเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้นและเร่งรัดกักกันและแยกเอาผู้ที่ติดเชื้อทั้งสิ้นเข้าฐานพิเศษซึ่งสร้างขึ้นมารองรับทั้งผู้ป่วยและผู้เข้าข่ายเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยเฉพาะ
เวลา23.00.น
สถานกักกันพิเศษที่4กุ้ยโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน
“คืนนี้ทางหน่วยเหนือแจ้งมาว่าให้เราเตรียมรับคนที่เพิ่งส่งเครื่องบินไปรับมาจากบังกลาเทศหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกคนพวกคุณพร้อมรับมือกันแล้วใช่ไหม”
บุรุษซึ่งอยู่ในชุดป้องกันโรคสีเขียวเข้มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด อยู่ยังลานกว้างของโดมกลางของฐานคัดกรองพิเศษแห่งนี้ ด้านหน้าของเขาคือบุคลากรในชุดป้องกันโรคมิดเช่นกัน ราวเก้าสิบเจ็ดชีวิต
“แต่คนเรามีเพียงเท่านี้เองนะครับหัวหน้าเจียง”
เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นค่อนข้างอ่อนล้าเพราะร่วมสามสิบหกชั่วโมงพวกเขายังไม่ได้ล้มกายลงนอนให้ดีเลยสักคนมีเพียงต่างสลับกันพักงีบหลับกันได้ราวคนละสิบห้านาทีก็ถือว่ามากแล้ว
“มีเท่านี้เราก็ต้องยิ่งทำให้เต็มที่ ผู้กองลู่ ผู้หมวดเฉินด้านรักษาความปลอดภัยคงต้องรบกวนพวกคุณแล้ว...ลำบากหน่อยนะ”
เขาหันไปเอ่ยกับสองร่างซึ่งยืนอยู่ท้ายแถวสุด
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ/รับทราบค่ะ”
สองเสียงประสานแข็งขัน
“เพื่อครอบครัวและพี่น้องที่อยู่ด้านนอก ที่ทำได้ก็คือทุกคนต้องช่วยเหลือกัน ผมหวังว่าเราจะผ่านมันไปได้เหมือนอดีตที่เคยเป็นมาด้วยกันอีกครั้ง เอาละทุกคน ไปพักสักยี่สิบนาที ก่อนที่รถจากสนามบินจะมาถึงเชิญครับ”
กล่าวจบทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักอย่างที่จะหาโอกาสเช่นนี้ได้น้อยนิดยิ่งนัก สภาวะเช่นนี้ ทุกวินาทีล้วนมีค่ากว่าทองคำ
ด้วยบุคลากรทางการแพทย์ต่อให้จะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยล้วนไม่เคยเพียงพอยามที่เกิดปัญหาเช่นนี้
“เสี่ยวถาน เมื่อช่วงหัวค่ำคุณแม่โทร.มาบอกให้เธอช่วยติดต่อท่านกลับไปด้วย”
ร่างเล็กในชุดมิดชิดชะงักไปครู่หนึ่ง
“ขอบคุณที่บอกค่ะพี่เขยแต่ทีหลังหากเขายังโทร.มาอีกคุณไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ ฉันอยู่แบบนี้มาสิบสองปีแล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเขาเองจะมาร้อนรนไปทำไมกัน”
น้ำเสียงนั้นช่างเยือกเย็นจนผู้ถูกเรียกขานว่า ‘พี่เขย’ หรือก็คือหัวหน้าเจียงนายแพทย์ ‘เจียงเจิงฮุย’ ถึงกับต้องระบายลมหายใจออกมาเสียงหนัก
“เสี่ยวถาน...เมื่อไหร่เธอจะหายโกรธท่านได้สักทีหรือ”
กายเล็กว่าถอนหายใจเสียงหนักอย่างไม่ปิดบัง
“ทำไมฉันจะต้องโกรธด้วยตลอดมาไม่เคยโกรธวันนี้ก็ยังคงไม่โกรธ และต่อไปฉันก็คิดว่าคงไม่มีวันโกรธแม่ตัวเองได้หรอกเพียงแต่ฉันเคารพการตัดสินใจที่แม่เลือกแล้วก็เท่านั้น ขอตัวนะคะพี่เขยฉันยังไม่ได้นอนมา36ชั่วโมงแล้ว ก่อนที่จะรับมือกับร้อยเจ็ดหกชีวิตของีบสัก15นาทีก็ยังดี”
เจ้าของร่างเล็กนามว่า ‘เฉินเสี่ยวถาน’ หรือร้อยตรีแพทย์หญิงเฉินเสี่ยวถานคุณหมอทหารวัย23ปีผู้มีอีคิว115และไอคิวนั้นมากถึง165กันเลยทีเดียว กล่าวจบก็เดินแยกตัวจากไปทันที
“เมื่อไหร่เพื่อนคุณเขาถึงจะมีใจอ่อนลงสักทีน่ะผู้กอง” ”
ร่างสูงเลยต้องหันมาบ่นกับอีกผู้ที่ยังไม่ได้ขยับไปไหน
“คงยากเสี่ยวถานเขาเหมือนคุณลุงเรื่องใจแข็งขอให้บอกต่อให้เห็นคุณน้าล้มป่วยลงต่อหน้าก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอจะหันกลับมาพูดคุยดังเดิมอีก”
เอ่ยอย่างรู้จักรู้ใจกันดี
“คุณชอบเธอหรือ”
“โว๊ะ!”
ร่างสูงกว่าถึงกับมีอันสะดุ้งก่อนจะหลุดเสียงร้องน่าเกลียดตามติด
“มิกล้า...มิกล้า...ขนาดแมลงเพศผู้ยังเกรงว่าไม่คิดจะกล้าเข้าใกล้หรือกัดผู้หญิงคนนั้น แล้วมนุษย์ผู้รักชีวิตถึงแก่นแบบผมหรือจะหาญกล้าบ้าบิ่นไปชอบผู้หมวดเฉินมือปาดเจ้าของฝีปากใบมีดแช่น้ำแข็งหิมาลัยแห่งกองทัพคนนั้นไปได้”
กล่าวจบก็พลันขนทั้งกายชวนกันลุกชัน
“ผมขอตัวดีกว่าครับอยากเติมคาเฟอีนเข้าเส้นเลือดสักหน่อยก่อนว่ากันยาวไป”
“ตามสบายครับผู้กอง”
...01.35.น...
ขบวนรถบัสของสนามบินก็เริ่มทยอยกันตีวงเลี้ยวเข้าสู่แผนกกักกันที่4ด้วยความเรียบร้อยหากแต่พอคันที่5ก็บังเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึงเมื่อมีกลุ่มราวหกคนซึ่งคาดว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันเริ่มโวยวายและเรียกร้องที่จะพักรวมกันไม่ยินดีที่จะแบ่งแยกชายหญิงตามระเบียบของค่ายแห่งนี้
“ทำไมต้องให้พวกเราแยกกันด้วย จัดที่ให้โดยเฉพาะไม่ได้หรือไงต้องการเงินมากเท่าไหร่ก็ได้เรายินดีจ่าย”
หญิงวัยตน50ปีเริ่มส่งเสียงดังโวยวายขึ้นเป็นลำดับ
“คุณนายจางที่นี่ไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นครับทางเราเพียงขอความร่วมมือให้ช่วยทำตามกฎระเบียบเล็กน้อยของหน่วยเราเท่านั้น”
หัวหน้าเจียงอธิบายอย่างใจเย็น ด้วยพบเจอคนประเภทนี้มาก็ใช่น้อย
“ฉันไม่สนยังไงครอบครัวของฉันก็ต้องได้อยู่ด้วยกัน จะให้แยกไปอยู่รวมกับ พวกที่อยู่เดิมแล้วถ้าหากว่าพวกของฉันไม่ได้มีเชื้อ ไวรัสบ้าบอนั่นแต่ไปอยู่รวมกับคนที่มีเชื้อหากติดขึ้นมาพวกคุณรับผิดชอบไหวหรือ”
และด้วยเสียงที่เริ่มทวีความดังข้อความที่พูดชวนไขว้เขวอีกหลายครอบครัวซึ่งก็เคร่งเครียดมาอย่างหนักตลอดการเดินทาง อีกทั้งสันดานดิบลึกๆ ซึ่งมีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่กันทุกตัวคนแล้วแต่ว่าใครจะมีจิตสำนึกรู้ดีและรู้ชั่วมากน้อยกว่ากันก็เพียงเท่านั้น ส่งผลให้เริ่มมีการต่อต้านจากคนกลุ่มเดียวค่อยๆ ขยายวงกว้าง จนจำนวนของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีประมาณส่วนที่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เกินจะต้านทานและรับมือ จากจำนวนของผู้แรกรับมีมากถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกชีวิต แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรวมไปถึงทีมหมอมีรวมกันแค่เพียง63ชีวิตเท่านั้น เมื่อเกิดการก่อจลาจลขึ้นจึงวุ่นวายยากจะควบคุม
“ผู้หมวดเฉินระวัง!!!”
คุณหมอสาวได้ยินเสียงนั้นแต่มิทันได้ ‘ระวัง’ ก็รู้สึกเจ็บแปลบ ที่หน้าอกด้านซ้ายซึ่งแน่จัดว่ามันคือตำแหน่งของหัวใจใบหน้าภายในหมวกคลุมมิดชิดเริ่มบิดเบี้ยว...
ฉึก! ...
ก่อนที่ร่างเล็กจะทรุดลง เฉินเสี่ยวถานรับรู้ถึงจุดที่สองของบาดแผลที่ตนเองถูกของแหลมซึ่งค่อนข้างแน่ใจว่าน่าจะเป็นมีดพกขนาดเล็ก แทงเข้ายังชายโครงด้านซ้ายที่ครั้งนี้หาได้โชคดีเช่นแผลแรกที่โดนแทงพลาดเฉียดขั้วหัวใจไปเล็กน้อย เพราะคราวนี้ผู้เป็นหมอที่อยู่กับร่างกายของมนุษย์มาหลายปีรู้แน่ชัดว่าตนเองถูกแทงโดนปอดเข้าเสียแล้ว กายเล็กค่อยๆ ทรุดร่างลงนอนบนพื้นที่ผู้คนกำลังวุ่นวาย ถูกเท้าของใครหลายคนต่างเหยียบย่ำลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความเจ็บค่อยๆ แปลเปลี่ยนเป็นชาหนึบ และเริ่มหนาวสะท้านเพราะร่างกายเริ่มค่อยๆ ขาดเลือด ลมหายใจเริ่มติดขัด เพราะเลือดคงค่อยๆ ท่วมปอดแล้ว ต่อให้อยากไขว่คว้าเอาลมหายใจและชีพของตนให้พ้นจากความตายตามสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกผู้ที่ล้วนต่างก็รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งสิ้น...
ทว่าเฉินเสี่ยวถานกลับมิอาจทำได้เอาเสียเลย กว่าจะถูกนำออกมาจากเหตุการณ์วุ่นวายได้ก็ผ่านไปราว30สิบนาที ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหมดสิ้นลงทั้งที่สติของคนเป็นหมอยังมีอยู่เต็มเปี่ยม
‘ชีวิตของฉันต้องสิ้นลงเพียงเท่านี้จริงหรือ?’
นั่นคือความคิดสุดท้ายของเฉินเสี่ยวถานคุณหมอทหารที่มีวัยเพียง23ปีที่ต้องมาสิ้นชีพลงเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของคนเพียงไม่กี่คนโดยแท้...