บทที่ 1 - เกลียดแค้น 4

1414 คำ
ณ ไร่พรอุษา จังหวัดจันทบุรี ในบ้านหลังใหญ่กำลังต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเหมือนทุกครั้ง วทันยูเดินเข้ามาในบ้านตัวเองเมื่อนมอิ่มได้โทรไปตามเขาบอกว่าตอนนี้เจ้าสัวเวทิตมารออยู่ที่บ้าน เขามาถึงห้องรับแขกก็ยกแขนขึ้นมองดูนาฬิกาที่ข้อมือเป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่า เขาเดินไปนั่งลงโซฟาตัวยาวด้วยท่าทางสบายโดยไม่คิดจะสนใจยกมือไหว้แขกที่ตนเองเกลียดชัง “คุณมาทำอะไร เจ้าสัวเวทิต” เขาถามทันทีเมื่อหย่อนก้นนั่งลงพร้อมกับเด็กรับใช้นำน้ำเย็นๆ มาเสิร์ฟให้เขา ส่วนของแขกและคนติดตามของแขกมีอยู่ก่อนแล้ว “ทำไมยู พ่อมาหาลูกไม่ได้เลยรึไง” เจ้าสัวเวทิตรู้ดีว่าลูกชายคนเดียวของตัวเองเกลียดตัวเองและไม่อยากเจอหน้าตัวเองมากแค่ไหน แต่เขาอยากให้วทันยูรับรู้ว่าแม้ชายหนุ่มจะเคียดแค้นชิงชังตัวเองมากแค่ไหน เขาก็ยังรักลูกชายคนนี้ ไม่เคยถือโทษหรือโกรธตอบแม้ได้รับความเย็นชาร้ายกาจจากอีกฝ่ายตอบโต้กลับมา “ว่าธุระของคุณมาเถอะเจ้าสัวเวทิต อย่ามาแทนตัวเองว่าพ่อลูกกับผมเลย ผมไม่เคยมีพ่อ ผมมีแค่แม่สุรีย์คนเดียวที่เลี้ยงผมและท่านก็ได้จากผมไปแล้ว ถ้าคุณจะมาพูดแค่นี้ก็เชิญกลับไปที่ของคุณเถอะครับ ผมไม่ต้อนรับคุณ คุณก็รู้ดีแก่ใจ” เขาตอบกลับเย็นชาพร้อมกับลุกขึ้นจะเดินหนี แต่เสียงแหบแห้งของชายวัย 68 ปี เอ่ยรั้งไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อนสิยู พ่อมีเรื่องอยากขอร้องลูก” “ขอร้องลูก? คุณอย่าพูดคำนี้ได้ไหม ผมไม่มีพ่อและคุณก็ไม่ใช่พ่อผม พ่อผมตายไปนานแล้ว และเลิกมาหาผมสักทีเถอะ ผมเกลียดคุณ” เขายกยิ้มเหี้ยมส่งให้ผู้เป็นบิดาแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม “พ่อรู้ว่ายูเกลียดพ่อ แต่ถึงเกลียดยังไง พ่อก็ไม่เคยเกลียดลูกชายของพ่อ ลูกคือลูกพ่อเสมอนะยู” เสียงแหบแห้งตามวัยเอ่ย “เลิกพูดไร้สาระสักทีเถอะ มีอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่พูดก็เชิญออกจากบ้านของผมไปได้แล้ว บ้านพรอุษาไม่ต้อนรับคนทรยศอย่างคุณ” เจ็บแล้วเจ็บเล่ากับคำพูดของลูกชายคนเดียวของตัวเอง แต่ด้วยรู้ดีว่าอดีตที่ผ่านมาตัวเองผิด ผิดที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นเช่นนี้ ผิดที่เขาเอง เขาอยากแก้ไขอดีต แต่มันก็ยากเกินจะแก้ไขแล้ว เพราะมันผ่านมาหลายปีเหลือเกิน “พ่ออยากให้ยุเข้ามารับช่วงบริหารบริษัทต่อจากพ่อ ตอนนี้พ่อแก่มากแล้ว และพ่อก็ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน...แค่กๆ” เวทิตพูดจบก็ยกมือปิดปากไอ แต่มันก็ไม่ได้เรียกร้องความสงสารเห็นใจจากคนเย็นชาอย่างวทันยูได้เลย “คงรู้ตัวว่าตัวเองใกล้ตายสินะถึงได้มาหาผมบ่อยแบบนี้ แล้วทำไมไม่ไปให้ผู้หญิงแพศยาคนนั้นกับลูกสาวหล่อนช่วยดูแลล่ะ” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “พวกเขาสองแม่ลูกไม่เกี่ยวอะไรด้วย และไม่เกี่ยวข้องกับเรา ทำไมพ่อต้องให้เขาช่วยด้วยล่ะ” “ก็เห็นพาลูกสาวของหญิงแพศยาคนนั้นไปทำงานด้วยนี่” “ลูกรู้” เจ้าสัวเวทิตเอ่ยถาม “สรุปที่มาหาผมวันนี้ เพราะอยากให้ผมไปรับช่วงบริหารงานต่องั้นสินะ ถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่ ทั้งๆ ที่มาหลายครั้งแล้วผมก็ยังยืนยันคำเดิม งั้นครั้งนี้ผมจะสงเคราะห์ให้ก็แล้วกันถึงแม้ว่างานผมจะเยอะมากก็ตาม ไหนๆ คุณก็ใกล้ตายแล้วนี่ ถือว่าทำบุญกับคนพิการใกล้ตายก็แล้วกัน” วทันยูมองผู้เป็นบิดาที่นั่งบนรถเข็นด้วยสายตาสมเพชก่อนจะพูดต่อ “ผมจะไปรับช่วงต่อก็ได้ คุณต้องยกทุกอย่างให้ผมจัดการทั้งหมด ผมอยากปรับเปลี่ยนตรงไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาวุ่นวาย เพราะถือว่าคุณไร้ประโยชน์ในบริษัทแล้ว คุณมันก็แค่คนพิการรอวันตาย” เจ้าสัวเจ็บร้าวในอกแทบอยากร้องไห้ แต่ก็กัดเม้มปากแน่นฝืนความเจ็บปวดในใจตัวเองไว้ ด้วยรู้ดีว่าวทันยูนั้นเป็นคนใจเหี้ยมโหดแค่ไหน และใครกันล่ะทำให้วทันยูเป็นเช่นนี้ เพราะเขาอีกนั่นแหละที่สร้างปมความเจ็บแค้นในใจของชายหนุ่มจนต้องเป็นคนก้าวร้าว ใจอำมหิตเช่นนี้ “ได้ทุกอย่าง พ่อจะไม่เข้าไปวุ่นวาย เพราะมันเป็นของยูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกอย่างที่พ่อมี มันคือของยู” เจ้าสัวเวทิตกัดกลืนความเจ็บไว้ในอกแล้วพูดออกมา “เดี๋ยวผมจะให้เลขาของผมเข้าไปจัดการอาทิตย์หน้า ก่อนที่ผมจะเข้าไปบริหาร ถ้าหมดเรื่องแล้วเชิญคุณกลับไปได้แล้วเจ้าสัวเวทิต” วทันยูลุกขึ้นพร้อมชี้มือไล่อีกฝ่าย “มันดึกแล้ว ให้พ่อค้างที่บ้าน...” “บ้านนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกพัก เชิญครับ ไปนอนโรงแรมข้างนอกเถอะครับ อย่ามานอนหายใจใต้หลังคาเดียวันเลย ผมไม่สะดวก” เขารู้ดีว่าเจ้าสัวเวทิตจะพูดอะไรเลยรีบเอ่ยแทรกตัดประโยคอีกฝ่าย “คุณยูคะ นมว่าให้เจ้าสัวเวทิตพักค้างที่นี่เถอะนะคะ นมได้จัดห้องไว้ให้เจ้าสัวแล้ว” นมอิ่มที่แอบฟังอยู่เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมจับแขนของอีกฝ่ายพร้อมลูบเบาๆ อย่างขอร้อง ส่วนวทันยูมองไปทางคนพิการและคนติดตามแล้วเม้มปากแน่น “ไม่ครับ ผมไม่ต้องการให้เขาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ส่งแขกด้วยนมอิ่ม” เขาปัดมือนมอิ่มออกจากแขนตัวเองแล้วเดินจากไปโดยไม่คิดไหว้ผู้ให้กำเนิดตัวเอง เฮ้อ! นมอิ่มถอนหายใจไล่หลังชายหนุ่มที่เดินจากไปแล้วหันมาทางเจ้าสัวที่นั่งหน้าอมทุกข์อยู่บนรถเข็นก่อนจะเอ่ย “เชิญเจ้าสัวกลับค่ะ ฉันช่วยได้เท่านี้จริงๆ” นางเอ่ยบอกอีกฝ่าย “ฉันรู้ว่าในใจและในสายตาของยู ฉันเป็นเพียงคนสารเลวที่ทำให้แม่เขาตาย” เจ้าสัวเวทิตเอ่ยแล้วหันไปแหงนเงยหน้ามองคนที่ยืนด้านหลังรถเข็นตัวเองแล้วพยักหน้าให้เข็นพาตัวเองออกจากห้องรับแขก ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่ต้อนรับจะอยู่ทำไม และหวังเหลือเกินว่าก่อนตายเขาจะได้ยินวทันยูเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ เหมือนครั้งที่ชายหนุ่มยังเด็ก และหวังเหลือเกินว่าความแค้นในใจของวทันยูจะจางหายก่อนที่เขาจะสิ้นลมจากโลกนี้ไป “ฝากแม่อิ่มดูแลยูด้วยนะ ฉันคงทำได้แค่มองดูเขาโตห่างๆ เหมือนที่ผ่านมา” เมื่อออกมาที่ลานจอดรถของบ้านหลังใหญ่ที่คนขับรถได้ขึ้นไปติดเครื่องยนต์รอท่าตัวเองแล้วก็หันมาเอ่ยกับนมอิ่มที่เดินออกมาส่งตัวเอง “อย่าคิดมากเลยนะท่านเจ้าสัว ดิฉันเชื่อว่าสักวันท่านและคุณยูจะเข้าใจกัน” นางเอ่ยทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามันยากเหลือเกินที่วทันยูจะทิ้งความแค้นแล้วให้อภัยผู้ให้กำเนิดตัวเอง “ฉันเลิกหวังแล้วแหละแม่อิ่ม ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับยูและแม่ของเขามากในตอนนั้น” เวทิตเอ่ยเสียงเศร้าสร้อย นมอิ่มได้แต่พยักหน้ารับรู้และเชื่อว่าเจ้าสัวเวทิตนั้นรักวทันยูและคุณสุรีย์มาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมช่วงเวลานั้นถึงได้สร้างความเจ็บปวดให้ทุกคนแบบนี้ “ฉันไปล่ะแม่อิ่ม” แล้วก็หันมาพยักหน้าสั่งประมวลให้ประคองตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถ เมื่อขึ้นมาบนรถก็เหลือบสายตามองไปทางชั้นสองของบ้านเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ และคนที่ขึ้นไปบนห้องได้มายืนแอบมองก็รีบปิดดึงม่านทันทีเมื่อถูกจับได้ เจ้าสัวเวทิตเห็นผ้าม่านไหวจึงอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเงาของใครบางคนอยู่หลังม่าน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม