“ไม่!!”
เสียงปฏิเสธทันควันไม่ยั้งคิดทำเอาใบหน้างามบูดบึ้ง มองค้อนสามีรูปงามตาเขียวจนฮ่าวหมิงนึกขันในใจแต่ก็จำต้องกลั้นรอยยิ้มเอาไว้เพื่อไม่ให้นางนั้นได้ใจ
“จะนอน”
นางไม่ยอมแพ้เถียงกลับ นางเองก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา เหตุใดจะนอนร่วมเตียงสามีของตนเองไม่ได้เล่า ในเมื่อมันคือสิ่งที่ควรมาตั้งแต่แรก หากเห็นเป็นสหายจะรับนางเข้าเรือนมาด้วยเหตุใด
“ไม่ให้นอน”
ร่างสูงในอาภรณ์เนื้อดีขยับกายขวางเตียงนอนของตนเองเอาไว้เมื่อดวงตากลมดั่งลูกกวางน้อยกำลังมองที่นอนของเขาตาเป็นประกายระยับ
“จะนอน ฮึ๊บ สบายอย่างนี้เอง ท่านถึงได้นอนแต่ที่นี่ ไม่ไปหาข้าเลย”
ว่าจบร่างเล็กก็วิ่งหลบอ้อมปีนขึ้นไปนอนบนเตียงแสนนุ่ม ที่แม้แต่เรือนของนางเองยังไม่นุ่มน่านอนมากถึงเพียงนี้ เรือนหลังเล็กนั้นมีเครื่องใช้ครบครันแต่ก็ไม่ได้หรูหราตามฐานะฮูหยินของเรือนนี้นัก นางเองก็ไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดมากมายเพราะเคยชินกับการอยู่เช่นนี้ ตอนอยู่ในโรงแพทย์ของท่านป้าเฉียวนั้นนางก็มักจะชอบความเรียบง่ายจึงไม่มีปัญหากับที่อยู่นัก
“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”
ฮ่าวหมิงตรงเข้ามาอุ้มภรรยาแนบอก จนคนโดนอุ้มยิ้มหวาน
“อะ อุ้มข้าทำไมเหรอ…หรือว่าท่านอยาก อ๊ะ!”
แววตากลมสั่นระริกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สามีอย่างสมใจ แต่เวลาแห่งความสุขนั้นกลับไม่นาน
“ทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ยฮ่าวหมิง!! ข้าเป็นเมียเจ้านะ โยนออกมาได้อย่างไรกัน”
คนถูกโยนออกจากห้องนั่งกับพื้นด่าสามีอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหจนทนไม่ไหว //นางงดงามขนาดนี้กล้าโยนออกมาได้อย่างไรเจ้าคนโง่เง่า คิดว่าตัวเองรวย รูปงามแล้วจะทำอะไรกับนางก็ได้อย่างนั้นเหรอ
“ข้าชอบนอนคนเดียว”
เขายิ้มให้คนนั่งกอดอกกับพื้น ความเครียดจากเรื่องงานเริ่มเลือนรางหายไปแทนที่ด้วยความขบขันเข้ามาแทน เขาโยนนางเบา ๆ จนแทบจะวางกับพื้น โวยวายราวกับเจ็บนักหนา ช่างเป็นสตรีที่ไม่รักษากิริยาเลยแม้แต่น้อย
“กรี๊ดดดด เจ้าโง่เอ้ย! จำเอาไว้เลยนะ! ดี! ต่อไปข้าจะวาดรูปเจ้าเป็นหมูตอนให้หมดเลย เจ้าผัวโง่!”
คนถูกด่ายังคงยิ้มให้กับคำต่อว่าและคำขู่อันแสนน่ากลัวนั้น ซิงเหยียนวาดภาพเขาเป็นพัน ๆ ภาพ จะวาดให้เป็นหมูบ้างก็คงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลนัก ฮ่าวหมิงเหลือบมองหีบเหล็กหลายใบที่เก็บภาพวาดที่ซิงเหยียนหัดวาดตั้งแต่วาดออกมาดูไม่ได้จนเหมือนแม้กระทั่งรูขุมขนแล้วนึกถึงสหายตัวน้อยที่ตามติดเขาไปทุกที่ก็ให้นึกเอ็นดู เขาเองไม่ได้รังเกียจนางออกจะเอ็นดูดุจน้องสาว ด้วยซ้ำ มันจึงเป็นสาเหตุให้เขาไม่อยากทำลายความบริสุทธิ์ของนางเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
“เมื่อคืนฮูหยินถูกโยนออกมาจากเรือนใหญ่ คิกคิก เจ้ารู้หรือไม่”
สาวใช้ในเรือนนินทาฮูหยินสีหน้าสะใจเพราะพวกตนนั้นก็หวังจะได้เป็นอนุของเจ้าของเรือน ติดที่มีซิงเหยียนคอยขัดขวางตลอด
“เจ้ายังคิดว่านางเป็นฮูหยินอย่างนั้นหรือ แม้แต่อนุยังไม่ได้เป็นเลย”
สาวใช้อีกนางป้องปากหัวเราะกับเรื่องราวที่ได้ยินมา และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เศรษฐีปฏิเสธซิงเหยียน พวกนางจึงไม่ได้เคารพยำเกรงนัก
“ปากพวกเจ้าว่างมากหรือยังไง ถึงได้มาคอยนินทาเจ้านาย”
แม่บ้านจูตำหนิสาวใช้ปากสว่างที่กล้าเอ่ยนินทาภรรยาเจ้าของเรือน
“แม่บ้านจู นางไม่ได้เป็นฮูหยินเสียหน่อย”
สาวใช้เถียงเสียงอ่อยด้วยกลัวสายตาแม่บ้านจูมองมา
“หากไม่ใช่ คุณชายหมิงจะเป็นคนเอ่ยเอง บ่าวอย่างพวกเจ้ามีสิทธิ์คิดแทนอย่างนั้นหรือ ข้าจะเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายอย่าได้นินทาฮูหยินเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นเรื่องนี้จะถึงหูคุณชายหมิง พวกเจ้าจะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
แม่บ้านผู้เป็นคนเลี้ยงฮ่าวหมิงมาเอ่ยปากเองนั้นทำให้ ทุกคนในเรือนย่อมยำเกรงเพราะหลังจากสูญเสียบิดา เศรษฐีรูปงามก็เคารพแม่บ้านจูดุจมารดาแท้ ๆ บ่าวหลายคนไม่กล้าแม้แต่ จะถกเถียงด้วยซ้ำ
“เจ้าค่ะ / เจ้าค่ะ”
สาวใช้ทั้งสองก้มหน้าซีดเผือด ด้วยรู้ดีหากแม่บ้านจูออกปากฟ้องคงถูกไล่ออกจากเรือนเป็นแน่
“ไปทำงานกันได้แล้ว!”
หญิงชราจิกตามองทุกคนบริเวณนั้นก่อนจะออกปากไล่ให้ไปทำงานไม่ใช่คอยสอดความเรื่องเจ้านาย
นางเลี้ยงฮ่าวหมิงมากับมือตั้งแต่คลอดใหม่ ๆ ไยจะไม่รู้ว่าแท้จริงเจ้าของเรือนเอ็นดูฮูหยินไม่น้อย มิเช่นนั้นจะยอมรับมาอยู่ในเรือนง่าย ๆ เช่นนี้ จะปล่อยให้ผู้อื่นดูแคลนได้อย่างไรลำพังแค่เป็นอยู่ตอนนี้ก็นับว่าไม่ควรมากแล้ว นางเองก็แค่แม่บ้านถึงจะได้รับความเคารพจากฮ่าวหมิงแต่ก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์ขาดในเรือน