แล้วก็มาถึงช่วงเช้าของวันที่สามหลังงานวิวาห์ซึ่งได้เวลาที่หานไท่หมิงจะต้องพาพระชายาทั้งสองเข้าเฝ้าและองค์จักรพรรดิตามราชประเพณีของชาวหนานสุ่ย แล้วเป็นเช่นเดิมวันนี้มีรถม้ามารอที่หน้าตำหนักสองคันดังกับวันที่เกี้ยวเจ้าสาวสองหลังมาเทียบที่หน้าตำหนักชินหวาง แห่งหนานสุ่ย มิต้องคาดเดาให้เหนื่อยเฉียวปิงเซียวเด็กน้อยนางก็รู้ตัวดีว่าตนเองจะต้องไปนั่งคันที่เล็กกว่าและคงมีเพียงเสี่ยวเตี๋ยกับแม่นมซางเท่านั้นที่ร่วมนั่งไปด้วยกัน
...แต่ย่อมดีอย่างยิ่งนางล้วนพึงใจเหลือเกิน...
เด็กน้อยกลับคิดในใจด้วยชมชอบและยิ่งกว่ายินดีเพราะชินหวางสำหรับนางแล้วตัวโตราวยักษ์เพียงเขานั่งร่วมด้วยนางอาจต้องถูกเบียดจนแบนดังผักดองตากแห้งเสียเป็นแน่ ให้พี่สาวคนงามแบนไปผู้เดียวย่อมดีกว่า เด็กน้อยมองสวามีตัวโตอุ้มพี่สาวคนงามขึ้นรถม้า ด้วยสายตาไม่เข้าใจนัก เพราะตลอดมานางก็เห็นพี่สาวเดินเหินได้ปกติ เพียงจะก้าวขึ้นรถม้าเองคงไม่น่าจะยาก ไม่เหมือนตนเองที่ขานั้นสั้นกว่ามาก ไยชินหวางเลือกปฏิบัติเช่นนี้
"ชินหวางเฟย ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ"
เป็นเฉินเซินนั่นเองที่เข้ามาจับเอวเล็กยกส่งขึ้นไปบนรถม้า เพราะเห็นนางยืนมองชินหวางที่หายขึ้นไปแล้วสั่งคนออกเดินทางทันทีไม่รอพระชายาเอกเลยสักนิด
"ลำบากเฉินเกอเก่อแล้ว"
เด็กน้อยฉีกยิ้มแต้ขอบคุณจากใจ นั่นเองรถม้าคันเล็กจึงได้เคลื่อนออกเดินทางเข้าวังเสียที คันหนึ่งยิ่งใหญ่โอฬาร อีกคันกลับเล็กเสียจนดูย่ำแย่ แต่เฉียวปิงเซียวก็หาใส่ใจแม้แต่น้อยนางยังคงชะโงกหน้าออกไปดูชมบรรณยากาศสองข้างถนนด้วยใบหน้าแจ่มใส ซางเหนียงจือนั้นแลเห็นแล้วก็ทำได้เพียงระบายลมหายใจหนักอก ไม่อาจทราบได้ว่าเด็กน้อยจะปลอดภัยในตำหนักชินหวางไปอีกกี่วันกัน เห็นทีนางคงต้องทูลบางสิ่งแก่ก่อนจะสายเกินไป เพราะเด็กน้อยใสซื่อจะไปเอาปัญญาใดไปต่อกรกับอสรพิษร้ายในคราบนางเซียนเช่นจางหลานเย่ผู้นั้นได้กันเล่า
ดังนั้นแล้วเมื่อทั้งหมดมาถึงตำหนักขององค์เรียบร้อยและเสร็จพิธียกน้ำชาเสิ่นลี่เหยาตามธรรมเนียมต้อนรับสะใภ้ใหม่เข้าร่วมสกุลนางจึงมองจางหลานเย่ด้วยสายตาพินิจแต่มองกี่ครั้งภายใต้หน้ากากหญิงงามคนที่ผ่านศึกแย่งชิงมาหลายสิบหนาวเช่นพระนางมีหรือจะมองไม่ออกถึงความทะยาน อยากของจางหลานเย่ไปได้
...อสรพิษย่อมเห็นคมเขี้ยวของอสรพิษพวกเดียวกันมิผิดไป...
"ชินหวาง อีกสักเก้าวันเปิ่นกงจะส่ง เสี่ยวปิงไปศึกษาวิชาการแพทย์ที่ซั่วหยางกับท่านอาจารย์เสวี่ย เจ้าไม่ติดขัด ปัญหาใดใช่หรือไม่"
เพราะความไม่พึงใจกับสะใภ้เช่นจางหลานเย่ องค์ไทเฮาจึงแทนตนเองอย่างห่างเหินและเป็นทางการ หานไท่หมิงที่ตลอดมามารดาอุ้มพี่ชายโอ้ ถึงภายนอกเขาคือจอมทัพผู้แกร่งกล้า ทว่าภายในเขาก็คือคนหนุ่มเลือดร้อนธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น พอมาพบว่าการกลับเมืองหลวงในคราวนี้พระมารดาหรือแม้แต่พี่ชายเช่นองค์จักรพรรดิต่างเปลี่ยนไป แล้วมีเด็กน้อยเช่นเฉียวปิงเซียวโผล่มาแทรกกั้นอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสามเช่นนี้เขาจึงยกความไม่ถูกต้องนี้ไปให้เด็กน้อยไม่รู้ความผู้หนึ่งอย่างไม่คิดละอายใจทั้งสิ้น
ก็หากวันนี้ไม่มีนางป่านนี้เขาคงชื่นมื่นกับหญิงคนรักไปแล้วมิใช่เป็นเพียงเจ้าบ่าวที่ยังมิได้ลิ้มรสน้ำผึ้งในราตรีเข้าหอเลยสักเพียงหนึ่งหยดเช่นนี้ โดยที่เขาคงจะลืมเลือนไปว่าหากไร้เฉียวปิงเซียวคนเช่นมารดาของตนเองที่ไม่พึงใจสตรีเช่นจางหลานเย่สุดท้ายพระนางก็จะหาวิธีดึงสตรีซึ่งตนเองพึงใจมาจับยัดเยียดแทรกกลางระหว่างบุตรชายสุดรักสุดหวงอยู่ดี
"ก็หากอาหมิงมีข้อติดขัดเสด็จแม่ก็จะไม่ส่งนางไปหรือไรเล่า?"
คำตอบจึงกวนอารมณ์สตรีสูงวัยอย่างยิ่ง ทว่ามีหรือเสิ่นลี่เหยานางจะเปิดเผยอารมณ์เกรี้ยวกราดให้'คนนอก'ได้พบเห็นโดยง่ายนอกจากจะเพียงกดรอยยิ้มมุมปากมิได้แผ่ขยายไปจนถึงดวงตาเท่านั้น
"คำตอบนั้นเปิ่นกงคาดว่าชินหวางย่อมรู้แจ้งแก่ใจตนเองดีกว่าผู้ใดมิใช่หรอกหรือ?"
ส่วนจางหลานเย่นั้นกลับดีใจเพิ่มพูนเพราะการที่เฉียวปิงเซียวนางถูกส่งไปไกลถึงพระราชวังคิมหันต์ฤดู (คิม-หัน-ตะ-รึ-ดู) ที่ซั่วหยางหากนางลงมือสังหารนังเด็กมารขวางความก้าวหน้าของตนเอง ย่อมง่ายดายขึ้นไปอีกหลายส่วนแน่นอน
ส่วนเฉียวปิงเซียวต่อให้พวกผู้ใหญ่ทั้งหลายอาจคิดว่านางยังเยาว์นักคงยากจะคิดมากหรือเข้าใจอันใดที่พวกเขาต่างคิดและตัดสินใจแทนนางไปแล้วนั้น กลับเศร้าซึมลงไปเพราะตลอดมาตั้งแต่มารดาสิ้นชีวิตเด็กน้อยก็ไม่เคยสุขสงบอีกเลย อยู่จวนจวินกั๋วกงเหล่าอนุภรรยาและพี่ชายกับเหล่าพี่สาวต่างก็รังแกนาง ถูกส่งไปอยู่กับท่านย่า นางก็ถูกชิงชังเพราะสีของเส้นผมกับดวงตาที่ผิดแปลกไปจากชาวจงหยวนซึ่งหญิงชราหัวเก่าเช่นท่านย่าไม่ชอบ สุดท้ายพอมีราชโองการซึ่งเด็กน้อยนั้นไม่เข้าใจหรอกว่าราชโองการคือสิ่งใดทั้งสิ้น
เด็กน้อยกลับพบว่าทั้งท่านพ่อและท่านย่านั้นต่างก็ล้วนยินดีจนปิดไม่มิด พอมาอยู่เมืองหลวงทุกวันต้องถูกเข้มงวดให้ศึกษาทุกศาสตร์ของเชื้อพระวงศ์หญิงชั้นสูง เกียจคร้านก็ไม่ได้ หลบหนีก็ไม่พ้น ทุกวันต้องตื่นตั้งแต่ต้นยามอิ๋นกว่าจะได้นอนอีกคราวก็เข้าสู่ต้นยามจื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเด็กน้อยเช่นนางไม่เคยได้ใช่ชีวิตเช่นเด็กน้อยผู้อื่น พอนางจะเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตเข้มงวดภายในวัง กลับต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวตกแต่งให้กับพี่ชายที่เห็นนางกี่ครั้งก็มองกันด้วยสายตาอยากฆ่านางให้ตายไปเสียทุกทีย่อมรู้สึกยิ่งกว่าตนเองกลายเป็นคนถูกทอดทิ้งเอาไว้บนโลกที่แสนจะโดดเดี่ยวเดียวดายเหลือแสนเกินกำลังเด็กน้อยเช่นนาง
เช่นนั้นเฉียวปิงเซียวเด็กหญิงวัยเพียงหกหนาวทว่าถูกบีบคั้นไปจนแทบหายใจไปออกด้วยภาระยิ่งใหญ่เหลือกำลังเลยปล่อยให้พวกผู้ใหญ่ใช้วาจาเข่นฆ่ากันไปส่วนนางนั้นแอบย่องออกมาด้วยกิริยาเหงาหงอยสุดท้ายเจอมุมข้างบ่อปลาคาร์ฟสีสวยนางจึงนั่งกอดเข่าโดยมีตุ๊กตากอดเอาไว้แนบหน้าอก มองดูปลาที่ดูพวกมันช่างน่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะต้องเวียนว่ายอยู่ในขอบเขตที่คนกำหนดให้พวกมันเท่านั้นซึ่งมันล้วนไม่แตกต่างจากนางเลยสักนิด
"พวกเจ้าช่างคล้ายกันกับเสี่ยวปิงยิ่งนัก"
เท้าเล็กปลดรองเท้าออกแล้วหย่อนสองเท้าเล็กจิ๋วลงไปในบ่อแกว่งตีน้ำเล่นไปมา ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่นางจะทำเช่นนั้นเฉียวปิงเซียวก็ต้องหันมองจนทั่วว่าจะมีผู้อื่นมาพบเห็นหรือไม่ การอยู่ในวังหนึ่งเดือนสอนให้เด็กน้อยระวังไปเสียทุกสิ่ง เพราะหากนางไม่ระวังก็จะไม่พ้นถูกลงโทษ ถึงจะเป็นเพียงถูกไม้เรียว แต่นางก็ไม่ชอบหรอกนะ ก็มันยิ่งเล็กกลับยิ่งเจ็บบาดลึกไปหลายวันนี่นา
แต่ถึงเด็กน้อยจะระวังอย่างดีเท่าใดมีหน้าจะรอดพ้นสายตาของคนที่มันจ้องจะทำร้ายและคอยหาโอกาสลงมือในทุกลมหายใจไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าคนผู้นั้นย่อมจะต้องเป็นฝ่ายของพระชายารองจางหลานนเย่ที่วางเอาไว้สอดแนมไทเฮาที่เฝ้าจับตามองดูตั้งแต่ชินหวางเฟยตัวน้อยนางเข้าวังมาเลยด้วยซ้ำยิ่งมันได้เห็นทุกสิ่งตั้งแต่เด็กน้อยแอบย่องหนีออกมาจากโถงกลางในตำหนักไทเฮา จนตราบที่นางนั่งทอดอารมณ์ยังริมบ่อปลาคาร์ฟยิ่งใหญ่กว้างขวางกินเนื้อที่ดินเกินยี่สิบหมู่ที่ (1หมู่เท่ากับ1ไร่) มันจึงหรี่ดวงตาจนแคบลงหกส่วนประเมินดูความลึกของน้ำกับขนาดร่างกายของเด็กหญิงวัยเพียงหกหนาวแล้วเปิดรอยยิ้มเหี้ยมโหดมิสนว่า'เหยื่อ'ตรงหน้านางจะเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น
ดวงตาเรียวรีดังดวงตาของอสรพิษร้ายพลันกระตุกหรี่แคบลงไปถึงสามส่วนทันใดมันก็คอยเฝ้ารอเวลาให้เหมาะสมจะลงมืออย่างใจเย็น เพราะหากเฉียวปิงเซียวตกลงไปในบ่อปลาคาร์ฟที่ลึกขนาดที่มันซึ่งเป็นบุรุษมีร่างกายสูงใหญ่ก็ยังยืนในบ่อแล้วน้ำสูงถึงลำคอเช่นนั้นหากเด็กตกลงไปย่อมยากจะรอด เพียงเท่านี้ผลงานใหญ่ก็มารอมันแล้ว
เมื่อมันดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครจะผ่านเข้ามาในส่วนของบ่อปลาคาร์ฟที่อยู่ด้านในสุดของตำหนักไทเฮาแน่แล้วเท้าหนาก็ค่อยเริ่มก้าวแผ่วเบาหวังใจว่าถีบหนึ่งครั้งกายน้อยนั้นก็จมดิ่งลงไปแน่นอน ยิ่งหันไปเจอไม้ยาวท่อนหนึ่งเข้าด้วยแล้วแสนจะเหมาะมือมันจึงหยิบฉวยหวังฟาดลงไปที่ด้านหลังตรงจุดของลำคอเล็กนั้นเพียงหนึ่งครั้งคงไม่รอดอย่างแน่นอน
…ขวับ! …ฉับ! ...ครึก…ครึก…กึก!
“กรี๊ด!”