บทนำ
เสียงเครื่องสายของชาวจงหยวนดังอึงมี่ก้องไปไกลคงราวร้อยลี้ จากนั้นไม่นานทุกสายตาก็ได้เห็น ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวอันยิ่งใหญ่ โผล่พ้นหัวโค้งก่อนถึงตำหนักชินหวางแห่งหนานสุ่ยปีนี้คือรัชศกต้าเต๋อปีที่6ปกครองโดยคนแซ่หาน พระนามว่า’ หานไท่สือ’ องค์จักรพรรดิลำดับที่36ในราชวงศ์หาน หลายหน้าหนาวที่ผ่านพ้น มหานครเทียนคงเฉิงแห่งนี้สงบสุขไร้ทุกข์ทั้งภัยสงครามและโรคระบาดผ่านมาหลายหน้าหนาว ที่มาแผ่วพานชาวเมือง โดยการปกครองซึ่งเป็นธรรมและมากปัญญาขององค์จักรพรรดิหนุ่มวัยยี่สิบสองหนาวปี
จึงทำให้หน้าหนาวปีนี้เมืองหลวงแห่งหนานสุ่ยเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งชาวประชาใบหน้าสดใสข้าวเปลือกในยุ้งฉางของแต่ละจวนต่างเต็มแน่นไม่ขาดแคลน การค้าการขายก็ก้าวไกลไปหลายดินแดน ร้านค้าหรือก็มีมากขึ้น ขอทานและคนจนยากไร้ผู้ที่ขาดที่อยู่อาศัยเร่ร่อนแทบจะไม่มีให้พบเจอภายในเมืองหลวงแห่งนี้ให้ได้พบเจอเช่นอดีต
และส่วนอีกหนึ่งผู้ที่ช่วยเหลือส่งเสริมให้การปกครองขององค์จักรพรรดิหนุ่มนั้นดำเนินไปได้โดยปกติสุขก็ยังมี’ ท่านอ๋องสิบแปด’ หรือชินหวาง แห่งอาณาจักรหนานสุ่ยพระนาม ว่า’ หานไท่หมิง’ บุรุษวัยเพียงสิบเก้าหนาวทว่ากลับเป็นแม่ทัพใหญ่ของหนานสุ่ยมานับตั้งแต่เขามีวัยเพียงสิบสี่หนาวเท่านั้นเพราะจะไม่ว่าจะเป็นศึกน้อยศึกใหญ่เป็นศึกนอกดินแดนที่มารุกรานหรือเป็นศึกในจากพวกเหล่ากบฏชินหวางหนุ่มแน่นผู้นี้เขาก็ล้วนเผชิญหน้าปกป้องชาวหนานสุ่ยมาด้วยดีตลอดห้าฤดูหนาวที่ผ่านมา
ดังนั้นเมื่อมีการศึกใดบังเกิดหากเอ่ยถึงกองทัพกิเลนเพลิงพิฆาตที่มีจอมทัพผู้เป็นน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันเช่นหานไท่หมิงออกหน้าเผชิญศึกคราวใดองค์จักรพรรดิหนุ่มแห่งหนานสุ่ยล้วนวางใจกินอิ่มนอนหลับสบายใจปลอดโปร่งดีเลยทีเดียว
เช่นนั้นในวันนี้มีข่าวว่าตำหนักชินหวางกำลังจะมีงานมงคลตบแต่งทั้งพระชายาเอกและพระชายารองพร้อมกันในวันเดียวกัน ชาวบ้านจึงออกมาดูชมหวังใจว่าพวกเขาจะมีบุญวาสนาได้ยลโฉมท่านอ๋องสิบแปดผู้ถูกขนานนามว่าเป็นเทพแห่งสงครามของยุคนี้สักครา
แล้วก็ไม่ผิดหวังพวกเขาต่างได้ยลโฉมของบุรุษที่มีร่างกายสูงสง่าซึ่งสวมอาภรณ์มงคลที่แดงเจิดจ้าสะท้อนแสงแดดอ่อนของต้นยามเฉิน ที่เพิ่งทอแสงลงมายังพื้นพิภพของมหานครเทียนคงเฉิงซึ่งยังคงมีหิมะปกคลุมพื้นถนนส่องประกายแวววาวงดงามเกินจะบรรยายภาพเจ้าบ่าวผู้นำขบวนจึงหล่อเหลาและงามสง่าดังกับเขาคือเทพเซียนที่กำลังลงมาเยือนโลกมนุษย์มิผิดไป เพียงแต่หากใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มแตะแต้มสักนิดความงดงามและหล่อเหลาที่ผสานกันอย่างลงตัวนั้นจึงลดน้อยถอยลงไปถึงกึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“เกิดมาหนึ่งชีวิตนับว่าข้าไม่สูญเปล่าแล้ว”
แม่เฒ่านางหนึ่งพึมพำดวงตานั้นก็ยังคงจับจ้องติดตามขบวนเจ้าสาวทั้งสองไปด้วยสายตาตื้นตันจนถึงกับหลั่งน้ำตา บัดนี้เหล่าสาวงามต่างก็ล้วนริษยาเจ้าสาวทั้งสอง ส่วนบุรุษนั้นพวกเขาย่อมริษยาบุรุษผู้นั่งองอาจอยู่บนหลังอาชาศึกตัวโตสายพันธุ์ดีเฉกเช่นกันที่สามารถตกแต่งภรรยาเข้าเรือนได้ถึงสองนางในคราวเดียวกันเช่นนี้
“แต่ก็แปลกนะ ปกติแล้วเหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งหนานสุ่ยของพวกเราหาได้เคยมีผู้ใดต้องออกมารับเกี้ยวเจ้าสาวด้วยตนเองสักพระองค์ เหตุใดท่านอ๋องสิบแปดจึงแหวกม่านประเพณีเช่นนี้เล่า”
มีคนชื่นชมย่อมต้องมีคนติฉินนินทาอยู่คู่ใต้หล้ามานานดังนั้นพอขบวนเกี้ยวยิ่งใหญ่ผ่านเลยไปไม่ไกลก็บังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมากลางปล้องไม่กลัวตายสักนิดขึ้นทันใด
“หุบปาก!”
เป็นท่านป้าผู้หนึ่งที่คงจะอดคันริมฝีปากไม่ได้จึงเผลอวิจารณ์ออกมาอย่างไม่รักชีวิตเดือดร้อนให้สามีของนางต้องเร่งมืออุดปากคนหาความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวทันทีก็นั่นเชื้อพระวงศ์พวกเขาคือชาวบ้านหาเช้ากินค่ำมีสิทธิ์ใดไปก้าวก่ายกันเล่า
“เห็นว่าเพราะคุณหนูรองสกุลจางผู้ถูกตกแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองนั้นเป็นสตรีซึ่งท่านอ๋องสิบแปดผูกใจรักมั่นคงมานานหลายฤดูหนาวแล้ว ทว่าสุดท้ายท่านอ๋องมิอาจรับนางตกแต่งเป็นพระชายาเอกได้ วันนี้จึงเพียงเอาใจว่าที่พระชายารองท่านอ๋องสิบแปดถึงกับออกปากทูลขอต่อฝ่าบาทให้ละเว้นประเพณีของราชวงศ์ชดเชยที่ไม่อาจตกแต่งคุณหนูแซ่รองจางก็เพียงเท่านั้น”
อย่างที่กล่าวคำคนเช่นไรก็อยากจะปิดบังดังนั้นจากเดิมเริ่มที่ท่านป้าไม่กลัวตายก็ขยายกว้างไปรวดเร็วยิ่งกว่าไฟไหม้ฟางกลางท้องทุ่งนา เสียอีก โดยเฉพาะเรื่องเหล่านั้นเป็นไปในทางที่เสื่อมเสีย เพราะถึงชินหวางผู้นี้จะมีพระคุณต่อแผ่นดินหนานสุ่ยไม่น้อยหากแต่นิสัยเอาแต่พระทัยตนเองเป็นใหญ่กับอารมณ์ที่ทั้งร้อนและร้ายชาวบ้านในเทียนคงเฉิงแห่งนี้รู้แจ้งกันมาเนิ่นนาน เช่นนั้นเพียงเขาอยากแหวกม่านประเพณีเช่นนี้จึงไม่นับว่าแปลกอันใดเลย
“อ้าวเช่นนั้นวันนี้เป็นผู้ใดกันที่มากวาสนาได้ตกแต่งมาเป็นพระชายาเอกกระนั้นหรือยายเฒ่ากัว”
ยายเฒ่าผู้หนึ่งที่เพิ่งจับจูงหลานตัวน้อยออกมาร่วมดูชมขบวนเจ้าสาวสองเกี้ยวยิ่งใหญ่ถามขึ้นเพราะเกี้ยวหลังโตงดงามนั้นดูจะสูงศักดิ์ใช่น้อย
“ข้าได้ฟังมาว่าเป็นธิดาพระองค์หนึ่งในจวินกั๋วกงแห่งต้านโจวซึ่งมีชายแดนติดกับเผ่าซีเป่ยแต่ไม่ทราบได้ว่าเป็นลำดับที่เท่าใด เห็นมีข่าวลือหนาหูว่าสมรสคราวนี้เป็นพระประสงค์ขององค์ไทเฮาเลยทีเดียวว่าเช่นไรพระชายาเอกนั้นจะต้องเป็นท่านหญิงน้อยแห่งต้านโจวนางนั้นจะผิดไปมิได้เลยทีเดียว”
เมื่อได้มีผู้หนึ่งเปิดปากสอบถามย่อมมีอีกผู้คอยโต้ตอบคืนซึ่งก็มิอาจทราบได้ว่าพวกท่านป้าและท่านยายทั้งหลายเล่านี้นั้นพวกเขานั้นช่างคิดไปหาความจริงจากที่ใดมาตอบโต้กันประหนึ่งว่าไปแอบซ่อนกายสืบความเคลื่อนไหวภายในตำหนักชินหวางและตำหนักไทเฮาด้วยตนเองอย่างไรอย่างนั้น
"ข้ายังได้ฟังมาอีกว่าธิดาพระองค์นี้นางมีวัยเพียงหกขวบปีเท่านั้นยังมิทันใกล้วัยปักปิ่นเช่นสตรีชาวจงหยวนที่พร้อมตกแต่งออกเรือนแม้แต่น้อย"
พอขบวนเกี้ยวผ่านเลยไปยิ่งไกลวงสนทนาของเหล่าหญิงชราผู้ว่างงานทั้งหลายกลับยิ่งขยายกว้างอย่างไม่กลัวตายที่บังอาจซุบซิบนินทาเหล่าเชื้อพระวงศ์กันเสียเลยก็เพียงพวกเขานั้นต่างได้ฟังว่าเจ้าสาวผู้ที่พวกเขาคาดว่าเป็นผู้มากวาสนากลับมีวัยเพียงหกขวบปีล้วนพากันตาโตเท่าไข่เป็ดกันทั่วหน้า เร่งขยับกายมาล้อมวงเพิ่มอย่างกับพบเจอสิ่งมหัศจรรย์พันลึกบังเกิดขึ้นมากลางเมืองเลยทีเดียว
"จะใช่องค์ประกันหรือไม่ข้านั้นมิแจ้งใจ แต่ที่ได้ยินได้ฟังมานั้นเหตุล้วนมาจากองค์ไทเฮาทั้งสิ้นพวกเรามีผู้ใดบ้างมิแจ้งแก่ใจว่าองค์ไทเฮานั้นทรงชมชอบศาสตร์แห่งการทำนายของเหล่านักบวชนักพรตทั้งหลาย"
เสียงวิจารณ์พลันขยายเป็นวงกว้างดังท้องน้ำถูกก้อนศิลายักษ์ตกกระแทกก็มิปาน
"ใช่...ข้านั้นก็ได้ฟังมาว่าเมื่อหลายเดือนไทเฮาพระนางเกิดทรงฝันร้าย จึงเรียกหาท่านใต้ซื่อบนยอดเขาไห่ซานมาทำนายความฝันนั้น จากนั้นก็คล้ายจะกล่าวถึงเด็กหญิงที่มีดวงจิตของธิดาเทพโอสถมากำเนิด หากท่านอ๋องสิบแปดทรงได้ตกแต่งเอาคนมีดวงนี้มาเป็นพระชายาเอกนั้นจากคำทำนายว่า...ว่าในวัยของชินหวางครบยี่สิบเก้าพระชันษาอาจมีเคราะห์ใหญ่ก็จะบรรเทาลงหรืออาจถึงขั้นไม่เกิดขึ้นจึงบีบบังคับให้ชินหวางตบแต่งท่านหญิงน้อยให้จงได้"
วงสนทนายิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ แล้วในเวลาไม่นานข่าวที่ว่าชินหวางเฟยมีวัยเพียงหกขวบปีนั้นกระจายไปทั่วทั้งเทียนคงเฉิง ที่สำคัญจากที่นางเป็นเพียงธิดาในจวินกั๋วกงเชื้อพระวงศ์ชั้นปลายแถวผู้ถูกควบคุมอำนาจให้เขารั้งอยู่แต่เพียงหัวเมืองติดชายแดนก็กลายเป็นว่านางมีดวงธิดาเทพโอสถเป็นถึงผู้วิเศษจะมาส่งเสริมให้ราชวงศ์และชาวเมืองเทียนคงเฉิงอยู่เย็นเป็นสุขก็ยิ่งวิจิตรพิสดารไปจากความเป็นจริงไปไกลเกินจะกู้ร้องไห้กลับมาเป็นเช่นเดิมคงยากแล้ว
"อันใดนะ! ...นางเพียงหกขวบปี ไยจึงแปลกประหลาดเช่นนี้หรือว่าวิวาห์นี้นางคือองค์ประกันแห่งต้านโจวกันเล่า? ท่านหญิงน้อยช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว"
ซึ่งย่อมแน่นอนเด็กหญิงเพียงหกหนาวเท่านั้นก็ต้องตบแต่งให้แก่บุรุษวัยสิบเก้าหนาวผู้ใดได้ฟังมีหรือจะไม่แตกตื่นก็เจ้าสาวกับผู้เป็นเจ้าบ่าววัยห่างกันราวกับบิดาและบุตรสาวเช่นนั้น มิอาจทราบได้ว่าสตรีสูงศักดิ์เช่นไทเฮาพระนางงมงายจนเสียสติไปแล้วหรือไม่?
ส่วนเจ้าสาวผู้ถูกกล่าวขานว่ามากวาสนาและเป็นถึงดวงผู้เป็นธิดาเทพโอสถมากำเนิดนั้นกำลังนั่งขยับเกาซ้ายบ้างขวาบ้าง หนักเข้านางก็ถึงกับถลกตลบเอาชายกระโปรงชุดเจ้าสาวที่งดงามหรูหราทว่านางทรมานคันไปทั้งกายแล้ว เด็กน้อยเช่นไรนางก็ยังเป็นเด็กน้อยต่อให้กว่าหนึ่งเดือนที่ถูกส่งเข้าวังนางจะถูกไทเฮาและแม่นมเข้มงวดเพียงใดแต่'เฉียวปิงเซียว'ท่านหญิงน้อยแห่งจวนจวินกั๋วกงนางก็ยังเป็นเด็กน้อยวัยเพียงหกขวบปีย่อมมีความอดทนต่ำเป็นปกติอยู่นั่นเอง
“อุ๊ย! ท่านหญิงหกอย่าถลกชายกระโปรงนะเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเตี๋ยสาวใช้วัยสิบสามหนาวเร่งตลบชายผ้าคืนกลับไม่ให้ท่านหญิงตัวน้อยของนางทำขายหน้าตั้งแต่ยังไม่ทันลงจากเกี้ยวเจ้าสาวเช่นนี้หาไม่หากแม่นมซางเหนียงจือนางมาพบเห็นนายน้อยของนางจะต้องถูกเฆี่ยนเอาจนหลังลายเสียเป็นแน่ก็ต่อให้บัดนี้ท่านหญิงน้อยกำลังจะตบแต่งเป็นชินหวางเฟยน้อยก็จริง ทว่าหากนายน้อยของนางดื้อดึงไทเฮาทรงกำชับให้แม่นมสาวลงโทษได้เลยมิต้องรายงานนี่นา
“เสี่ยวเตี๋ยเจ่เจ๊ท่านช่างใจร้ายเกินไปแล้ว...มันร้อน...มันคัน...เสี่ยวปิงอยากอาบน้ำ”
ริมฝีปากเล็กคว่ำลงทันใดที่ตนถูกสาวใช้กึ่งพี่เลี้ยงดุเอาอีกแล้ว มิผิดเสี่ยวเตี๋ยเจ่เจ๊นี้นางก็คือสาวใช้กึ่งพี่เลี้ยงให้แก่ท่านหญิงหกในจวินกั๋วกงแซ่เฉียวมาเนิ่นนาน เพราะเจ้าสาวผู้มาจากชายแดนฟากฝั่งเผ่าซีเป่ยนางหาใช่สาวงาม ทว่านางคือเด็กหญิงตัวน้อยวัยเพียงหกหนาวเท่านั้น! นางจะรู้จักว่าสิ่งใดสมควรหรือไม่สมควรทำไปได้เช่นไรกันนางร้อน นางคันย่อมพูดจาจริงใจไร้เดียงสามิมีปั้นแต่ง
...บิดามันเถอะ! ...
ผู้เป็นเจ้าบ่าวนั้นสบถแล้วสบถอีกเกรงว่านับไม่ถ้วนเสียแล้วนับตั้งแต่เขาได้รู้ว่าเจ้าสาวผู้จะมาเป็นพระชายาเอกมีวัยเยาว์จนแทบจะเป็นบุตรสาวของเขาได้อยู่แล้ว ก็ห่างกันถึงสิบสามหนาวหากเขาตกแต่งพระชายาตั้งแต่วัยเยาว์เกรงว่าบุตรของเขาวัยคงน้อยกว่าธิดาในจวินกั๋วกงไม่กี่หนาวเป็นแน่ บุรุษผู้รู้เพียงการรบย่อมมิรู้จักการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเด็กเช่นนี้จะมิให้เขาโมโหเดือดไปได้อย่างไรกัน
ซึ่งหากเสด็จแม่จะประทานเจ้าสาวโตเต็มวัยมาให้ เขา หานไท่หมิงผู้เป็นจอมทัพใหญ่คงไม่อารมณ์ขุ่นมัวถึงเพียงนี้ ทว่าไม่อาจทราบได้ว่า พระมารดาและฝ่าบาทนั้นคิดการใดกันแต่จึงตกแต่งเด็กน้อยผู้ยังกอดตุ๊กตาผ้าเก่าเน่าหนึ่งตัวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวมาด้วยเช่นนี้
'เลือกเอาเถิดชินหวางว่าเจ้าจะรับเอาเสี่ยวปิงไปร่วมตำหนักโดยที่เปิ่นกงยินดีให้เจ้าตกแต่งจางหลานเย่ไปเป็นพระชายารองได้หรือ...เจ้าปฏิเสธเสี่ยวปิงแล้วเปิ่นกงจะประทานสมรสให้จางหลานเย่ตกแต่งออกไปกับคนต่างเผ่า ชินหวางย่อมรู้เปิ่นกงสามารถกระทำสิ่งใดได้อยู่บ้าง'
เช่นนั้นต่อให้หานไท่หมิงทั้งโกรธและแค้นเคืองต่อโชคชะตาทว่าก็จำต้องทำตามใจขององค์ไทเฮาผู้เป็นมารดาและองค์จักรพรรดิผู้เป็นพี่ชายร่วมบิดาและมารดาเดียวอย่างมิอาจหลีกหนีพ้นไปได้
ก็หากเขายอมรับสมรสพระราชทานนี้อย่างสงบปัญหาจึงจบลงหาไม่จางหลานเย่สตรีที่เขารักปักใจอยู่หลายหนาว จะถูกพระทานสมรสออกไปกับองค์ชายต่างแดนสักพระองค์เสียเป็นแน่ ถึงองค์จักรพรรดิผู้เป็นพี่ชายปกติตามใจเขาอย่างมากแต่หากองค์ไทเฮาผู้เป็นมารดาถึงกับเอ่ยปากเองเช่นนี้เกรงว่าให้เป็นอดีตองค์จักรพรรดิผู้นอนหลับใหลในสุสานหลวงก็ยากจะช่วยเขาไปได้หนทางมันจึงมาลงเอยที่ได้ภรรยาศีรษะเท่ากำปั้นแกร่งมาหนึ่งนางเช่นนี้!
ถึงเขาจะไม่เคยเชื่อถือคำทำนายไร้แก่นสารของเหล่านักบวชและนักพรตทั้งหลายแต่ก็ยากจะต่อต้านพระประสงค์ของผู้เป็นมารดาไปได้ วิวาห์ที่มีเจ้าสาวเป็นเด็กหญิงผู้ไม่ประสีประสาจึงต้องบังเกิดขึ้นเช่นในวันนี้ชวนให้เขาโกรธไปหมด ทั้งที่เขาผู้เป็นเจ้าบ่าวไม่ต้องการเลยสักนิด ดังนั้นเจ้าเพลิงโทสะนี้ ความขัดเคืองทั้งหลายที่อัดแน่น เหล่านี้ หานไท่หมิงจึงนำมันไปลงที่เด็กน้อยไม่ประสาเช่นเฉียวปิงเซียวไปโดยปริยาย ทั้งที่เด็กน้อยเองก็ยากจะเลือกเส้นทางด้วยตนเองเช่นนั้น แต่แล้วจะอย่างไรคนกำลังมีอารมณ์พาลเพราะหากนางไม่เกิดในวันเวลาตกฟากตามคำทำนาย เขาอาจจะไม่ถูกพระมารดาบีบบังคับเช่นนี้มิถูกหรอกหรือไรเล่า?