EP 7. เด็กในการปกครอง
“มะ...หมายความว่าอะไรคะ หรือว่าธนาคารกำลังจะมายึดบ้านไป”
ปี่แก้วเข้าใจว่ายังสามารถอยู่บ้านหลังนั้นต่อไปได้ จนกว่าทางธนาคารจะหาผู้ซื้อมาซื้อบ้านหลังนี้ไป ป้าข้างบ้านได้ให้คำแนะนำกับเธอว่าบางทีการหาผู้ซื้อก็กินระยะเวลาเป็นปีหรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งระหว่างนี้หากเธอหางานทำได้ค่อยขยับขยายย้ายออกไปหาห้องเช่าเล็กๆ อยู่อาศัย
ถ้าต้องย้ายออกจากบ้านตอนนี้ นอกจากเธอจะไม่มีที่ไปแล้ว ด้วยเงินติดตัวที่มีน้อยนิดอาจต้องอาศัยนอนตามป้ายรถเมล์ เพราะไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครได้
“ไม่ใช่แบบนั้น” ปรานต์รีบท้วงขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดและดวงตาหม่นเศร้าของเด็กสาว
“อ้าว...แล้วทำไมหนูถึงไม่ต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นแล้วล่ะคะ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเป็นปม ในดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นทรงกลมไหวระริกด้วยความสับสน
“ฉันหมายถึง...ต่อไปนี้เธอเป็นเด็กในการปกครองของฉัน ดังนั้นไม่ต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้น เธออยากเรียนต่อในประเทศหรือต่างประเทศฉันจะเป็นคนส่งเธอเรียนเอง และนี่...”
ขณะที่เด็กสาวยังคงอึ้งตะลึงจากสิ่งที่ได้ยิน เขาก็ยื่นกระดาษสีขาวจากในเสื้อสูทส่งให้เธอ
ปี่แก้วรับมาถือไว้ พบว่าในกระดาษคือรายชื่อเจ้าหนี้ทั้งหมดที่ได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งบ้านที่กำลังจะถูกธนาคารยึดปรานต์ก็ได้ทำการไถ่ถอนมาทั้งหมด
“ปี่ไม่เข้าใจค่ะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเป็นพ่อทูนหัวของเธอ นับจากนี้ฉันจะดูแลส่งเสียเลี้ยงดูให้เธอได้เรียนหนังสือ จนกว่าเธอจะบรรลุนิติภาวะ” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าหวานก็แดงก่ำ ขอบตารื้นไปด้วยหยาดน้ำใสคล้ายจะหยาดหยดลงทุกชั่วขณะ
“ขอบคุณค่ะ ถ้ารวมหนี้ทั้งหมดมาไว้ที่คุณอา ก็อาจทำให้หนูชดใช้หนี้ได้ง่ายขึ้น” เด็กสาวพนมมือไหว้แล้วเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“หนี้อะไร”
“ก็คุณอาปรานต์ใช้หนี้ให้หนู หนูก็ติดหนี้คุณ...”
ชายหนุ่มโบกมือให้เธอหยุดพูด “เธอเป็นลูกสาวของพี่รักษ์ ฉันเต็มใจช่วย ไม่ต้องนับเป็นหนี้สินหรือบุญคุณอะไรทั้งนั้น”
ใบหน้าสวยระเรื่อแดงกว่าเดิม ขอบตาที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาหยาดหยดลงด้วยความดีใจ ริมฝีปากเล็กเม้มสนิทพยายามกลั้นสะอื้น ทว่ากลับทำได้ยากเหลือเกิน ในที่สุดเด็กสาวจึงปล่อยโฮออกมา ความทุกข์ใจที่เธอแบกรับเอาไว้ได้มีผู้ปลดเปลื้องออกไปราวกับปาฏิหาริย์
ทว่าทุกคนในร้านขนมกลับมองมายังชายตัวโตด้วยสายตาตำหนิ เพราะเข้าใจว่าเขากำลังล่อลวงเด็กสาวและทำให้เธอร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว
“ยะ...อย่าร้องไห้”
เขาพยายามทำเสียงอ่อนโยนแล้วยื่นมือไปแตะที่ไหล่บางสั่นเทิ้มราวกับปลอบโยน ซึ่งนั่นกลับทำให้ปี่แก้วยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
“โฮ...”
“ละ...แล้วกัน... ทำไมถึงร้องหนักกว่าเดิม”
ปรานต์พึมพำเบาๆ ด้วยความงุนงง เหงื่อเม็ดโตเกาะที่หน้าผากและปลายจมูก คิ้วหนาขมวดมุ่นพยายามคิดหาวิธีทำให้หญิงสาวหยุดร้องไห้
ทว่าเขากลับคิดไม่ออก...
เขาไม่เคยปลอบผู้หญิงร้องไห้ อาจเพราะตอนเป็นเด็ก เขาเห็นมารดาเอาแต่ร้องไห้เสียใจจากความเจ้าชู้ของบิดาแทบทุกวัน เขาเคยเข้าไปกอดปลอบแต่มารดากลับฉุนเฉียวแล้วผลักเขาล้มลง เด็กชายปรานต์ในวัยห้าขวบตกใจและเสียใจ ทำได้แค่เพียงแอบยืนอยู่หลังเสา เฝ้ามองหยาดน้ำตาของผู้เป็นมารดาอย่างเงียบเชียบ ขณะที่หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดและโกรธแค้นบิดาซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งหมด
นับจากนั้นเขาจึงค่อนข้างเป็นเด็กเก็บตัว ไม่กล้าแสดงความรู้สึก พูดน้อย มีเพื่อนน้อย และไม่เคยสนิทสนมไว้ใจใคร อภิรักษ์จึงเป็นเพื่อนบนโลกที่เขามีเพียงไม่กี่คน
ฮึก...ฮึก
เสียงร้องไห้โฮค่อยๆ เบาลงกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นในลำคอ ใบหน้าและปลายจมูกของเด็กสาวแดงก่ำ แก้มนวลเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา กระนั้นเธอกลับยังคงความงดงามได้อย่างน่าประหลาด
ปรานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กว่าห้านาทีที่เขาต้องนั่งนิ่งๆ โดยมีมือข้างหนึ่งแตะไหล่เด็กสาวเอาไว้ เพราะเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
“หนูดีใจมากเลยค่ะ หนูคิดว่าหนูต้องตายแน่ๆ ก่อนหน้านี้หนูคิดไม่ออกเลยว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง คุณอาปรานต์เหมือนพ่อพระมาโปรดหนูเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนหน้าโหดอย่างคุณอาจะใจดีขนาดนี้” เธอดึงทิชชูเช็ดใบหน้า สะอื้นฮักจนตัวโยน กระนั้นใบหน้ากลับสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นเธอชมฉันใช่มั้ย” เขาดึงมือกลับเมื่อเห็นเธอมีอาการดีขึ้น
“ค่ะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับตามประสาซื่อ ปรานต์จึงทำได้เพียงแค่นยิ้มที่มุมปาก อย่างน้อยเธอก็ชมว่าเขาใจดี...
“ฉันให้คนไปเก็บของใช้ส่วนตัวของเธอที่บ้านโน้นหมดแล้ว ต่อไปเธอเป็นเด็กในการปกครองของฉัน จึงต้องไปอยู่กับฉันที่บ้าน แต่ไม่ต้องกลัวที่นั่นมี ‘ป้าศรี’ แกเป็นแม่บ้านคนเก่าคนแก่ตั้งแต่ฉันยังเด็กๆ แกใจดีและทำอาหารอร่อยมาก และอีกคน ‘คุณพ่อ’ ของฉันท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก เดี๋ยวเธอก็จะได้พบท่าน ”
“ค่ะ ขอบพระคุณที่เมตตาปี่นะคะ” เด็กสาวยกมือพนมไหว้อีกครั้ง