“เขาสวยกว่า...ดีกว่าคุณรัตน์และที่สำคัญไม่เคยวิ่งตามผู้ชายอย่างใครบางคนด้วย”
เอกชัยพูดชัดถ้อยชัดคำ นารีรัตน์แทบอยากจะกรีดร้องออกมา หากไม่มีสายตาดุๆ พร้อมกับนิ้วชี้ของชายหนุ่มที่ชี้มาที่ใบหน้าของเธออย่างคาดโทษเสียก่อน ไม่งั้นเขาได้แก้วหูแตกแน่
“หยุดนะ...ถ้าจะกรี๊ดไปกรี๊ดนอกรถพี่ โน่นเลยไป...อย่ากรี๊ดแถวนี้รำคาญ...แล้วก็เชิญย้ายก้นลงไปจากรถพี่เสียที พี่จะรีบไป จวนได้เวลานัดแล้ว”
เอกชัยไล่เจ้านายสาวอย่างไม่เกรงใจ มีหรือสาวเอาแต่ใจอย่างเธอจะยอม
“ไม่ลง...อยากไปก็ไปสิ อยากเห็นเหมือนกันว่าคนดีเลิศประเสริฐศรีของพี่เอก หน้าตาจะดีอย่างที่พูดหรือเปล่า”
เธอยังคงความดื้อรั้นเสมอต้นเสมอปลาย เอกชัยทำได้เพียงระบายลมหายใจอย่าง กลัดกลุ้ม เขาจะทำยังไงกับเจ้านายสาวที่ทั้งดื้อ หัวรั้น และเอาแต่ใจคนนี้
“อยากไปก็ไป อย่าทำตัวน่ารำคาญนะ ไม่งั้นเจอหวดก้นแน่”
เขาคาดโทษเธออีกครา ก่อนจะกระชากรถยนต์ออกไปจากบ้านหลังใหญ่ อย่างอารมณ์เสีย ที่ไม่สามารถทำอะไรผู้หญิงที่นั่งเชิดหน้าคนนี้ได้เลย ถ้าไม่ติดว่าเขาต้องไปรับจินตนาเพื่อนสนิทที่สนามบิน เพื่อมาเยี่ยมบิดาและมารดาของเธอ หลังจากไปใช้ชีวิตคู่ที่อเมริกากับสามีนานนับสิบปี เขาไม่มีทางพานารีรัตน์ไปด้วยแน่
พอถึงสนามบินเอกชัยเดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาเข้าทันที โดยไม่รอนารีรัตน์ที่เดินแกมวิ่งตามชายหนุ่มมาตั้งแต่ลานจอดรถ
“จะรีบไปไหนนักหนานะ แล้วมาทำไมที่นี่เนี่ย” นารีรัตน์บ่นอุบ พยายามวิ่งตาม ชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ
วินาทีแรกที่นารีรัตน์เห็นเอกชัย โอบกอดหญิงสาวร่างบางคนหนึ่ง ใบหน้าของทั้งสองแย้มยิ้มให้แก่กัน ราวกับว่าโลกทั้งโลกมีเพียงแค่สองคน แถมยังกระซิบอะไรกันบางอย่างที่ข้างหู ทำให้เธอเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และเริ่มหวงพี่เลี้ยงของเธอมาตงิดๆ
“นี่...จะยืนกอดกันอีกนานไหม ที่นี่เมืองไทยนะไม่ใช่เมืองนอก...ทำอะไรประเจิดประเจ้อ”
เธอพูดเสียงเขียว จ้องมองหญิงสาวรุ่นพี่ไม่วางตา หากแต่สายตาของจินตนากลับมองมาด้วยสายตาที่เป็นมิตรและเอ็นดู
“คนเป็นแฟนกันก็ต้องกอดกันเป็นของธรรมดา คุณรัตน์ไม่รู้หรอก เพราะไม่เคยมีแฟน”
“ถึงรัตน์มีแฟน ก็ไม่ทำอย่างที่พี่เอกทำหรอก”
นารีรัตน์เถียงออกมาจนได้ พิจารณารูปร่างหน้าตาของผู้หญิงข้างกายของเอกชัย ใบหน้าของเธอสวยเรียบ ผิวขาวเหลือง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทันสมัย ไม่จืดชืดอย่างที่เธอคิดไว้
“ไปกันเถอะจิน...คุณพ่อคุณแม่รออยู่”
เอกชัยหันมาพูดกับจินตนาเสียงหวาน ก่อนจะเข็นกระเป๋าเดินทางของจินตนาไปยังลานจอดรถ และขับออกไปจากสนามบิน จุดหมายปลายทางคือบ้านของจินตนา
นารีรัตน์นั่งหน้างออยู่ตอนหลังของรถ ฟังการสนทนาที่หยอกล้อและเสียงหัวเราะของทั้งสอง ที่ดังก้องเข้ามาในโสตประสาทของเธอตลอดการเดินทาง อยากจะเอาเล็บข่วนหน้าหล่อๆ ที่ปรายตามามองเธออย่างเยาะเย้ยหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้ จึงเก็บความแค้นเคืองไว้ในใจ
“ไม่ลงมาเหรอคุณรัตน์ ถึงบ้านจินแล้วนะ” เอกชัยเอ่ยถาม เมื่อเจ้านายสาวนั่งนิ่งอยู่ บนรถไม่ยอมลงมา เมื่อมาถึงบ้านของจินตนาแล้ว
“ไม่ลงหรอก ขี้เกียจลง” เธอกระชากเสียงตอบ สะบัดหน้าไปยังทิศทางที่ไม่มีคนทั้งสอง
“งั้นก็รอในรถนี่แหละ แต่อาจไปนานหน่อยนะ คนมันห่างกันนาน ต้องทำอะไรบางอย่างให้หายคิดถึงหน่อย” เอกชัยพูดอย่างมีความหมาย และนั่นเองทำให้นารีรัตน์ถึงกับหูผึ่ง ก้าวลงมาจากรถทันที
“ไหนบอกจะคอยบนรถไง” เขาถามกวนๆ
“ร้อน...ลงมารอข้างล่างดีกว่า”
นารีรัตน์ตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็กชั้นเดียวของจินตนา ไม่รอสองหนุ่มสาวที่ยืนยิ้มมองหญิงสาวหัวใจเด็กอย่างนารีรัตน์
“ไปแกล้งคุณรัตน์ทำไมเอก...เขายังเด็กอยู่เลยนะ” จินตนาหันมาต่อว่าเพื่อนสนิท
“ตัวไม่เด็กแล้ว...แต่นิสัยน่ะใช่เลย เด็กอายุสี่ขวบยังอาย”
เขาพูดอย่างระอา ส่ายศีรษะกับความดื้อรั้นไม่รู้จักโตของนารีรัตน์ ที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนจะเดินควงแขนเพื่อนรักเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย
สองชั่วโมงกับการนั่งรอเอกชัย สองชั่วโมงที่นารีรัตน์ไม่เคยคอยใครอย่างอดทนและไม่บ่น เธอนั่งมองเอกชัยที่คอยดูแลเอาใจใส่จินตนาบนโต๊ะอาหาร บางครั้งเขาก็ตักอาหารมาให้กับเธอบ้าง แต่ส่วนมากจะให้กับหญิงคนรักมากกว่า ใบหน้านารีรัตน์หมองเศร้าจนเอกชัยรู้สึกสงสาร จึงขอตัวกลับ หลังจากแก้เผ็ดเจ้านายสาวผู้เอาแต่ใจตัวเองนานหลายชั่วโมงแล้ว
ตลอดทางกลับบ้านนารีรัตน์ไม่พูดไม่คุยกับเอกชัยเลยสักคำ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่อยากคุยกับหญิงสาวเท่าไหร่ จนกระทั่งถึงบ้านเนติรัตน์พิบูล นารีรัตน์ก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในบ้านเงียบๆ โดยมีสายตาของเอกชัยมองตามอย่างรู้สึกผิด ที่กลั่นแกล้งเธอแรงไปหน่อย แต่คิดอีกทีคนที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างเธอคนนี้ โดนแบบนี้ถือว่ายังน้อยไป
“พี่เอก คนมากันพร้อมแล้วนะ”
เดียวลูกน้องของอัคคีที่จะขึ้นมากรุงเทพฯ ตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย หากมีเรื่องต้องใช้สอย เอ่ยบอกเอกชัยลูกพี่หนุ่ม
“รอคุณคีย์ก่อน สงสัยงานนี้จะงานใหญ่ ไปบอกให้เตรียมตัว เตรียมอาวุธให้พร้อมก็แล้วกัน”
“ได้...งั้นผมจะไปบอกกับทีมของผมก่อนนะ บอกเจ้านายด้วย ว่าพวกผมยินดีทำตามคำสั่งนายเสมอ” เดียวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายให้อัคคี ไม่ว่างานนั้นจะเสี่ยงตายมากขนาดไหน เขาและพวกเดนตายที่ผ่านคุกผ่านตะราง ผ่านคมมีดและกระสุนปืนมานับไม่ถ้วน ยินดีที่จะทำงานตามที่อัคคีสั่งทุกอย่าง เพราะอัคคีไม่เพียงให้ชีวิตใหม่กับพวกเขา แต่ยังให้ชีวิตใหม่กับครอบครัวของทุกคนด้วย