Chapter 4
ความหวั่นไหว (1)
มินตราเดินราวตุ๊กตาไร้ชีวิตออกมาจากลิฟต์ สภาพของหล่อนไม่พร้อมกับการออกจากบ้านไปพบเจอหน้าใคร แต่ความที่กลัวภัทรนนท์จำต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมงตามคำขู่ เมื่อมาถึงส่วนรับประทานอาหารที่อยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างตึกกับครัวไทยก็เห็นเขานั่งรออยู่ บนโต๊ะมีเครื่องดื่มวางอยู่หนึ่งแก้วกับขนมปังอีกหนึ่งแผ่น หล่อนกัดฟันยิ้มเดินเข้าไปหาคนที่เหลือบตาขึ้นมามองแต่ไม่ยิ้มด้วยเลยสักนิด...เดิมก็เงียบขรึมเสียจนน่ากลัวอยู่เป็นทุนเดิม พอโกรธก็ยิ่งไปกันใหญ่ คิดพลางขยับไปใกล้เขาอีกนิดแล้วโปรยยิ้มหวานสุดพลัง
"จะไป…ไปหรือยังคะ"
"จะไปโดยไม่ทานมื้อเช้ารึไง นั่งก่อนสิ"
หล่อนทำตามคำสั่งเหมือนหุ่นยนต์ รีบลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงตามคำบัญชา แววตากลมโตมองสมูทตี้ในแก้วสลับกับมองหน้าของเขาคล้ายสงสัยว่านั่นคือของตนหรือของใคร
"ของใครเหรอคะ"
"ของตัวเองนั่นแหละ สมูทตี้กล้วยหอมแก้แฮ้งค์"
คนฟังทำหน้าเหม็นเบื่อขึ้นมาทันที หล่อนไม่ชอบกลิ่นของมันเลยสักนิด กลิ่นกล้วยหอมที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกัน
"ไม่ชอบก็ต้องดื่ม โพแทสเซียมในกล้วยหอมจะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ลองดูก่อนสิครับอย่าเพิ่งอิดออด"
เขาอธิบายพลางเลื่อนมันมาใกล้ตรงหน้าของหล่อนมากขึ้น แววตาที่มองมาเหมือนขู่อยู่กลายๆ ว่าควรที่จะรีบดื่มมันเข้าไป
"คุณภามอุตส่าห์ลงมือปั่นให้ด้วยตัวเองเลยนะคะ พี่ทำไม่เป็นหรอกค่ะ ไม่รู้ว่าใส่อะไรบ้าง"
เสียงแทรกจากแม่บ้านวัยแก่กว่าภัทรนนท์ไม่มากดังขึ้น ดูเหมือนหล่อนจะภูมิใจนำเสนอสมูทตี้แก้วนี้จนออกนอกหน้า...เพียงเท่านั้น แววตาคมกล้าก็ตวัดมองคนพูดทันควัน
เขาอยากจะบีบคอคนปากพล่อยพูดไม่คิด เพราะไม่อยากให้มินตรารู้ว่าในความโกรธขึ้งแท้จริงแล้วก็ยังคงซ่อนความห่วงหาอาทรเอาไว้ เขาไม่อยากให้หล่อนได้ใจจนเคยตัว
"ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์ทำให้อัยย์"
เมื่อได้รู้ว่าเป็นฝีมือของเขาหญิงสาวก็ยิ้มไม่หุบ แม้จะไม่ชอบกล้วยหอมแต่หล่อนก็จะดื่มมันให้หมดแก้ว ไม่ให้เสียน้ำใจที่เขาอุตส่าห์ทำมาให้ด้วยความหวังดี
"เร็วๆ เข้าเถอะ สายแล้ว"
เขาเร่งเร้าเมื่อเหลือบดูเวลาแล้วเห็นว่าสายกว่าทุกวันไปมากแล้ว เมื่อเห็นหล่อนชักช้าไม่ทันใจจึงเปิดแยมผลไม้แล้วทาลงบนแผ่นขนมปัง ใส่จานเลื่อนมาตรงหน้าคนที่กำลังดื่มสมูทตี้อย่างเร่งรีบ
"ทานขนมปังด้วยสิครับ มันจะช่วยดูดสารพิษที่ตกค้างในกระเพาะอาหารได้"
"ขอบคุณค่ะ"
เขาทำมาให้แบบนี้มีหรือจะอิดออด หญิงสาวหยิบแผ่นขนมปังขึ้นมากัดด้วยหัวใจที่พองโต แม้สภาพร่างกายจะไม่เต็มร้อย แต่ยามนี้หัวใจกลับสดชื่นแซงหน้าร่างกายไปเสียแล้ว มันสดชื่นเพราะได้รู้ว่าแม้เขาจะกำลังโกรธขึ้งมากเพียงใด แต่อีกมุมหนึ่งเขาก็แสดงให้เห็นว่ายังคงเป็นห่วงกันอยู่เสมอ แม้จะไม่ได้มีคำพูดหวานๆ หลุดออกมาจากปาก แต่การกระทำของเขาก็บอกอะไรได้มากมาย
บนโต๊ะอาหารตัวเดิมแต่ต่างช่วงต่างเวลา สิตางคุ์นั่งใจลอยขณะมือกำลังปาดแยมสตรอว์เบอรี่ลงบนแผ่นขนมปังโฮลวีท วันนี้หล่อนตื่นสายไปนิดเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เหตุเพราะสามีไม่กลับมานอนในห้อง มันแปลกไปกว่าทุกครั้งเพราะที่ผ่านมาต่อให้กลับดึกแค่ไหน เขาก็ไม่เคยที่จะไม่กลับมาบ้าน แม้จะไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้นับตั้งแต่ตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยากให้เขาไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่เตียงเดียวกันกับตน
เมื่อเช้าเขากลับเข้ามาตอนหล่อนตื่นพอดี ยังไม่ทันถามไถ่อะไรเขาก็หนีเข้าไปนอนแช่น้ำอุ่นในห้องน้ำ ขังตัวเองอยู่นานในนั้น และความที่ขุ่นเคืองเขาอยู่ลึกๆ หล่อนจึงทำเป็นไม่สนใจ ไม่โทร.หาแม้เขาจะหายไปทั้งคืน คิดว่าความเงียบจะทำให้เขาเกรงใจไปเอง เกรงใจจนไม่กล้านอกลู่นอกทางมากไปกว่านี้
แววตาที่เริ่มมีความเคลือบแคลงเจือปนเหลือบมองร่างสูงในชุดที่พร้อมสำหรับออกไปทำงาน ในมือของเขาถือแก้วสองใบเดินตรงมาที่โต๊ะอาหาร เขายื่นมันมาให้เธอแก้วหนึ่ง เป็นนมสดอุ่นมาจนร้อนกรุ่นไอควันหอมเตะจมูก มาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้ความขุ่นเคืองในใจแทบมลายหายไป
"ผมอุ่นนมมาเผื่อคุณ ตอนนี้คุณต้องทานอาหารเช้าให้ครบ
ห้าหมู่นะแบม ทานแค่ขนมปังเดี๋ยวลูกได้สารอาหารไม่ครบนะ"
"ขอบคุณค่ะ ว่าแต่…คุณไปทำงานไหวเหรอคะภีม"
"สบายมาก ต่อให้ดื่มหนักแค่ไหนผมก็จะไม่ให้เสียงานเสียการเด็ดขาด"
ใครบางคนว่าไว้ คนมีชนักติดหลังมักจะทำดีกลบเกลื่อน นั่นคือสิ่งที่สิตางคุ์มองสามีตน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอาจเอาใจเพราะความรักที่มีให้ แต่เซ้นส์ของหล่อนบอกว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล
หล่อนมองคนที่กำลังจิบกาแฟดำลงคอ หลังจากที่ชั่งใจอยู่นาน ความข้องใจทำให้ตัดสินใจถามในสิ่งที่ยังคงค้างคา
"เมื่อคืนคุณนอนที่ไหนเหรอคะภีม"
ภัทรนันท์ชะงักมือที่กำลังปาดแยมลงบนแผ่นขนมปัง เหลือบมองหน้าคนพูดด้วยแววตาซ่อนความลับสุดยอดเอาไว้
"ผมนอนในห้องทำงานน่ะ เกรงใจไม่อยากทำให้คุณตื่น...ผมก็เลย...ก็เลยนอนที่นั่น"
"เหรอคะ..."
รอยยิ้มแบบนั้นเขาไม่รู้ว่าหล่อนเชื่อมันหรือไม่ แต่มันคงจะดีกว่าพูดความจริง คิดพลางหันมาสนใจกับกาแฟที่เหลือและขนมปังที่ทาแยมค้างเอาไว้ บรรยากาศเหมือนจะอึมครึมขึ้นมาทันที แม้จะมีสายลมโชยเอื่อยและกลิ่นหอมจากดอกแก้วตลอดสองข้างทางเดิน แต่ก็ไม่อาจช่วยเรียกความสดชื่นให้เกิดขึ้นในหัวใจสองดวงได้เลย