Chapter 3
บางสิ่งที่ขาดหาย (2)
หลังจากสั่งอาหารไปไม่นานภัทรนันท์ก็มาตามนัด เขาเดินมายังโต๊ะที่กั้นความเป็นส่วนตัวเอาไว้ด้วยมู่ลี่สีน้ำตาล ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นว่าที่โต๊ะไม่ได้มีแค่น้องสาวที่นั่งรอ แต่ข้างกายยังมีเพื่อนที่เขาจำได้ว่าเธอไปร่วมงานวันเกิดคราวนั้น...น้ำขิง แพรวา คืนนั้นหล่อนดื่มหนักจนกลับไม่ไหว เขาเลยต้องให้นอนค้างที่บ้านเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
"สวัสดีค่ะพี่ภีม”
เขารับไหว้ด้วยการยิ้มตอบ ก่อนหย่อนกายนั่งลงตรงข้ามสองสาว เหลือบมองหน้ามินตรา ก็เห็นว่าหล่อนส่งยิ้มเจื่อนกลับมาคล้ายเกรงใจ
"พอดีมาเดินซื้อของด้วยกัน ก็เลยชวนขิงมาทานด้วยกันค่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีเหมือนกันทานหลายคนจะได้ไม่เหงา"
ภัทรนันท์โฟกัสสายตาไปยังอาหารบนโต๊ะมากกว่าการสนใจว่าใครจะมาร่วมโต๊ะ เขาเห็นมีแค่ไม่กี่อย่างที่สั่งมา คงเป็นเพราะมินตรารอให้เขาเป็นคนมาสั่งเพิ่มเลยไม่กล้าสั่งอะไรไว้รอ
"ทำไมสั่งกันมาน้อยจังล่ะครับ อยากกินอะไรก็สั่งเลยไม่ต้องเกรงใจ"
"รอพี่ภีมมาสั่งค่ะ ของอัยย์กับขิงพอแล้ว เดี๋ยวทานไม่หมด"
"ถ้าพี่สั่งมาแล้วต้องช่วยกันนะ วันนี้อยากกินอะไรสดๆ คาวๆ จนมือไม้สั่นไปหมดแล้ว"
คนพูดหัวเราะเบาๆ กับน้องสาวตัวเอง...แวบหนึ่งที่เหลือบสบตากับคนที่นั่งชิดด้านใน เขาเห็นแววตาคู่นั้นสบกลับมาพร้อมยิ้มแฝงความนัย หล่อนทำเหมือนเขินอายคิดลึกกับถ้อยคำเมื่อสักครู่ ทั้งๆ ที่เขาพูดออกมาไม่ได้คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น
แพรวาก้มหน้าหนีรอยยิ้มชวนให้ใจละลายและสายตาชวนให้
ใจสั่นไหว ไม่อยากมโนไกลว่าเขาแอบคิดอะไรกับตน แต่สายตาของเขาก็ชวนให้คิดลึกหลงตัวเองไม่น้อย แววตากรุ้มกริ่มยามจับจ้องมองชวนให้ร้อนวูบวาบไปทั้งกาย
"ดื่มเจแปนกันคนละแก้วแค่นั้นเหรอน้องอัยย์ จะลองสั่งอย่างอื่นมาชิมมั้ยล่ะครับ"
เขาหมายถึงน้ำองุ่นผสมมะนาวและโซดาที่สองสาวสั่งมาก่อนหน้า มินตราหันไปทางแพรวาเพื่อขอความเห็น พร้อมกันนั้นหล่อนคิดไปพร้อมกันว่าเพื่อนดูเรียบร้อยพูดน้อยจนผิดสังเกต ท่าทีเปลี่ยนจากสาวมั่นเป็นสาวเรียบร้อยนั้นดูขัดหูขัดตาตนเหลือเกิน
"สั่งแค่นี้ก่อนค่ะ เดี๋ยวสั่งเพิ่มทีหลังก็ได้"
"ถ้าอย่างนั้นพี่สั่งแต่อาหารก่อน จะดื่มอะไรเพิ่มก็ว่ากันอีกที"
"ได้เลยค่ะ"
อาหารถูกสั่งมาจนเต็มโต๊ะเพราะเจ้ามือกลัวว่าสองสาวจะไม่อิ่มเขาเลยจัดเสียชุดใหญ่ และนี่เป็นมื้ออาหารที่แพรวาชื่นชอบที่สุด การได้นั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกับพี่ชายเพื่อนซ้ำเขายังปฏิบัติกับตนอย่างเอาใจ ดูแลเหมือนตนเป็นน้องสาวแท้ๆ อีกคน ทำให้นึกอิจฉามินตราเพราะอยากมีคนคอยดูแลเอาใจทุกๆ วันเหมือนเพื่อนบ้าง มันคือความรักที่โหยหามาตั้งแต่วัยเด็ก อยากมีใครสักคนคอยดูแลประหนึ่งตนคือคนสำคัญแต่ก็ยังหาคนที่ใช่ไม่ได้เลย
บางทีคนที่ใช่ก็อาจอยู่ผิดที่ผิดทางผิดเวลา...แพรวาคิดขณะลอบมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามของคนตรงหน้า เซ็กส์แอพพรีลแบบไม่พยายามและผู้ชายเมโทรเซ็กส์ชวล นั่นคือเสน่ห์ที่แสนดึงดูดให้ใหลหลง ที่สำคัญ หล่อนชอบคนเฟรนด์ลี่และภาพลักษณ์แบดบอยนิดๆ อย่างเช่นพี่ชายเพื่อน แต่น่าเสียดายที่เขามีพันธะติดตัวเสียแล้ว ส่วนอีกคนที่ยังโสดหล่อนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา แฝดคนน้องแลดูเย่อหยิ่งและไม่ค่อยพูดยากที่ใครจะเข้าถึงได้ง่ายๆ มันคงยากหากหล่อนจะพังทลายกำแพงหัวใจของคนใดคนหนึ่ง หากอยากจะได้ใกล้ชิดพี่ชายเพื่อน การทำตัวสนิทสนมกับมินตราเข้าไว้จะเป็นใบเบิกทางสร้างสัมพันธ์ในอนาคต ดูเหมือนว่าแพรว่าจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว
++++++
"บ้านเข้าซอยไหนเหรอครับน้องขิง เพราะเดี๋ยวพี่ขับเลย"
"เดี๋ยวพี่ภีมจอดส่งที่หน้าปากซอยก็พอค่ะ"
"อ้าว ทำไมล่ะครับ มืดค่ำแล้วจะเข้าไปได้ยังไงคนเดียว ซอยเปลี่ยวหรือเปล่า"
"ไม่ค่ะ ขิงชินแล้ว พอดีจะแวะซื้อของที่เซเว่นด้วย พี่ภีมจะได้ไม่ต้องเข้าไปให้เสียเวลา"
แพรวายังคงยืนกรานคำเดิม ไม่อยากให้เขารู้ว่าแท้จริงตนอยู่อพาร์ตเม้นต์เก่าๆ ไม่ใช่คอนโดที่โกหกเขาตอนมินตราไปเข้าห้องน้ำจนได้คุยกันหลายคำ ส่วนใหญ่เขาจะถามเรื่องเรียนแล้วก็เรื่องที่พักอาศัยอยู่กับใครที่ไหน หล่อนอายที่จะบอกใครๆ ถึงภูมิหลังอันแท้จริง อายในอาชีพของพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด จึงจำต้องสร้างภาพให้สมกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ใครมองแล้วก็คิดว่าหล่อนเป็นลูกคนมีเงิน
ภัทรนันท์แตะเบรกหาที่จอดตรงหน้าปากซอยตามที่แพรวาบอก ก่อนลงจากรถหล่อนไม่ลืมที่จะโปรยยิ้มหวานให้คนขับ...กับมื้ออาหารที่แสนอร่อยและประทับใจ
"ขอบคุณมากนะคะที่เลี้ยงอาหารแล้วก็ยังขับรถมาส่งกันอีก เกรงใจพี่ภีมจะแย่อยู่แล้วค่ะ"
"ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง"
ภัทรนันท์หันไปมองที่เบาะหลัง พร้อมรอยยิ้มละลายใจคนมอง แพรวากำลังคิดว่าคืนนี้คงเก็บเขาไปนอนฝันถึงแน่นอน
"พรุ่งนี้เจอกันนะอัยย์ ไปก่อนนะคะพี่ภีม"
"ระวังตัวด้วยนะครับ"
"ถึงที่พักแล้วไลน์บอกด้วยนะ ฉันเป็นห่วงแกที่ต้องเข้าซอยมืดๆ คนเดียว"
"โอเคเพื่อน"
แพรวาลงจากรถแล้วยืนมองภัทรนันท์เปิดไฟขอทางเพื่อออกขวา สายตาจับจ้องมองท้ายรถที่ค่อยๆ แล่นไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสงครามแย่งชิงพื้นถนน จนกระทั่งท้ายรถของเขาถูกกลืนหายไปกับรถราที่แล่นขวักไขว่แลดูวุ่นวาย หล่อนกำลังคิดว่ามันช่างเหมือนใจคนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ยากที่จะเข้าใจแม้กระทั่งหัวใจตัวเอง
หลังจากส่งแพรวาแล้วมินตราก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของพี่ชายตน การที่เขาลอบถอนหายใจอยู่เป็นระยะคล้ายคนมีเรื่องราวมากมายสุมอยู่ในใจ เรื่องที่บอกใครไม่ได้จนต้องระบายมันออกมาด้วยลมหายใจหน่วงหนัก จนหล่อนรู้สึกอึดอัดเพราะปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้ นั่นแสดงว่าต้องมีอะไรมากระทบใจจนเคร่งเครียด คิดพลางเอ่ยถามออกมาตรงๆ จะได้ไม่ต้องนั่งสงสัยไปจนตลอดทาง
"วันนี้พี่ภีมดูเครียดๆ นะคะ"
"ก็...นิดหน่อย..."
"เครียดเรื่องอะไรคะ บางทีพี่ภีมควรระบายออกมาเสียบ้าง เก็บเอาไว้ไม่ดีนะคะ มันจะสุมขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคเครียด"
นั่นคือความห่วงใยตามประสาคนเป็นพี่น้องกัน...เขาไม่ตอบคำถามหากแต่ว่ากลับเอ่ยถ้อยคำชวนให้ต้องงุนงง
"ไปฟังเพลงกันไหม"
"ฟังเพลง..."
"พอดีพี่รู้สึกเบื่อๆ น่ะ ยังไม่อยากกลับบ้าน ไปหาเพลงฟังคลายเครียดกันดีกว่า"
"มันจะดึกนะคะพี่ภีม คุณพ่อคุณแม่จะห่วงน่ะสิคะ"
"เดี๋ยวพี่โทร.ไปบอกเอง ท่านไม่ว่าอะไรหรอก"
"....."
มินตรายังคงกังวล หล่อนเกรงใจภัทรนนท์กลัวเขาจะตำหนิว่ากลับดึกทั้งๆ ที่พรุ่งนี้มีเรียน
"ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยสิครับ น่านะน้องอัยย์"
เมื่อเจอลูกอ้อนจากน้ำเสียงและแววตาคู่นั้น มินตราจำต้องใจอ่อน ติดที่ว่าหล่อนยังอยู่ในชุดนักศึกษา เขาคงไม่พาหล่อนเดินเข้าไปนั่งฟังเพลงทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า คิดพลางมองหน้าคนชวนอย่างกังวล เขาสบตากลับมาอย่างรู้ใจกันดี
"ไม่ต้องห่วง ห้างยังไม่ปิดหรอกตอนนี้"
"แบบนี้ก็ได้เหรอ"
"หรือจะไม่เปลี่ยนก็ได้นะ พี่ไม่ซีเรียส"
เขาหัวเราะตบท้ายเบาๆ แน่นอนว่าเขาคงไม่ย้อนไปบ้านเพื่อ
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสียเวลา เพราะถ้าใจอยากเข้าบ้าน เขาคงจะไม่หาเรื่องชวนมินตรามาเถลไถลนอกบ้านไม่ยอมพากลับไปง่ายๆ เสียแล้ว