หญิงสาวให้คนขับรถมาส่งที่ห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง วันนี้เธออยากช็อปปิงสักล้านสองล้านแก้เบื่อ
สาวสวยรวยทรัพย์เดินเข้าไปในร้านกระเป๋าแบรนด์ดังอย่างคุ้นเคย ก่อนกวาดตามองข้าวของตรงหน้า
พนักงานขายจึงรีบเข้ามาต้อนรับขับสู้ด้วยความเต็มใจ เห็นคุณขจีเนตรทีไรมีความรู้สึกกังวลและดีใจปะปนกัน กังวลเพราะเธอเอาใจยาก ดีใจเพราะเธอไม่งกถ้าชอบอะไรก็ซื้อเลยไม่คิดมาก
“ฉันต้องการกระเป๋าใบนั้น”
ในที่สุดก็เจอกระเป๋าใบจิ๋วที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในขณะนี้ เหล่าบรรดาเซเลบไฮโซต้องมีติดบ้านไว้เพื่อประดับบารมี แล้วทำไมคุณหนูเซลีนจะไม่ซื้อ
พนักงานขายถึงกับหน้าซีดเพราะกระเป๋าใบนั้นมีคนต้องการแล้ว เพิ่งเข้ามาในร้านก่อนหน้าขจีเนตรเพียงห้านาที
“เอ่อ กระเป๋าใบนั้นเพิ่งจะมีคนสนใจไปเมื่อสักครู่เองค่ะ”
“แล้วยังไง ถ้าลูกค้าระดับ VVIP ต้องการให้ไม่ได้เหรอ”
“คือลูกค้าท่านนั้นก็ระดับ VVIP เหมือนกัน ดิฉันเกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ”
“ถ้าฉันได้กระเป๋าใบนั้น ฉันจะซื้อกระเป๋าใบอื่นด้วย รวมถึงพวกเครื่องประดับ แค่นี้ก็รู้แล้วใช่ไหม เธอต้องขายให้ใคร”
พนักงานแสดงสีหน้าลำบากใจจึงเดินไปปรึกษาผู้จัดการสาขา ทางหัวหน้าจึงเข้าไปคุยกับลูกค้าคนก่อนด้วยตัวเอง
ถึงจะโดนลูกค้าตำหนิแต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะขจีเนตรมีคำว่า VVIP มากกว่าที่สำคัญยอดซื้อต่อเดือนยังเป็นหลักล้าน
ขจีเนตรยิ้มด้วยความพอใจหลังจากพนักงานเดินมาบอกว่าเธอคือคนที่ได้กระเป๋า บัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินถูกรูดออกไปราวสองล้านบาทกับกระเป๋าหลายใบและของกระจุกกระจิก จากนั้นเธอก็ถ่ายรูปส่งให้เพื่อน ๆ พร้อมกับบอกว่า ถ้าใครอยากได้กระเป๋าให้มาหาตนเองที่ห้าง... เหล่าผองเพื่อนจอมตอแหลมีเหรอจะไม่เอา
หญิงสาวถือถุงกระเป๋าออกมาจากร้าน ไม่ทันเห็นว่ามีคนเดินมาทำให้ชนเข้าอย่างจัง น้ำหวานในมือของผู้หญิงที่ดูจะมีอายุมากกว่าหกรดชุดตัวสวยของเธอ
ถึงทางนั้นจะขอโทษแต่ดูเหมือนคุณหนูเอาแต่ใจไม่ยอมจบจึงต่อว่าไปเสียยกใหญ่ ไร้ความเมตตาปรานี ไม่เห็นถึงความจริงใจ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมจบเรื่อง เมื่อคนผ่านไปผ่านมาเริ่มให้ความสนใจ
ขาเรียวสวยก้าวฉับ ๆ เข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ไม่พอใจเอามาก
“สวัสดีค่ะคุณลูกค้า”
“ฉันต้องการเสื้อคอลเลกชันใหม่ เอามาเดี๋ยวนี้”
“ได้เลยค่ะ คุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ”
พนักงานกุลีกุจอรีบไปจัดการหาเสื้อผ้ารุ่นใหม่มานำเสนอคุณหนูขจีเนตร
หญิงสาวเลือกไปเลือกมาได้ประมาณสามชุดก็ทำการเปลี่ยนทันที ส่วนชุดที่เลอะน้ำหวานเธอทิ้งลงถังขยะอย่างไม่เสียดาย
หลังจากอารมณ์ดีแล้วถึงได้ไปหาเพื่อนที่มานั่งรอกันอยู่ในร้านประจำ คนเหล่านี้ฝืนยิ้มและพยักหน้าให้ขจีเนตร ทำเป็นเข้าอกเข้าใจเพื่อกระเป๋าราคาหลายแสน หลังจากนั่งฟังยายคุณหนูปากร้ายบ่นและอวดรวยเสร็จ
“ขอบใจนะจ๊ะเซลีน เธอสวยและรวยของจริง”
“ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พวกเราคงไม่ได้ใช้ของดี ๆ แบบนี้หรอก”
“ถูกต้อง คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เป็นเพื่อนกับเธอ”
และอีกมากมายหลายประโยคที่เยินยอเอาอกเอาใจขจีเนตรสารพัด สุดท้ายคนที่ต้องออกเงินจ่ายของทุกอย่างรวมถึงค่าอาหารก็คือคุณหนูผู้ร่ำรวยที่ดูไม่ออกถึงนิสัยคนรอบตัว และไม่เคยรู้ว่าตัวเองนิสัยเสียขนาดไหน
ชีวิตของหญิงสาวดีมาอย่างต่อเนื่อง มีพ่อแม่ให้ท้ายใช้เงินไปวัน ๆ อันไหนไม่พอใจก็เหวี่ยงวีน อันไหนชอบก็เปย์ไม่อั้น
ด้วยความที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นคุณหนูตกอับจึงไม่สนใจเก็บเงิน ได้มาเท่าไรก็ใช้หมดและสิ่งหนึ่งที่เธอไม่เคยรู้เลยคือ ธุรกิจของครอบครัวกำลังจะเจ๊ง เพราะขาดทุนสะสมมาหลายปี
ยิ่งช่วงโรคระบาดยิ่งหนัก เธอคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขราวกับเจ้าหญิงต่อไปถ้าไม่ได้ยินพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องหนี้สินและการจำนองบ้าน
“คุณพ่อว่ายังไงนะคะ บริษัทกำลังจะเจ๊งงั้นเหรอ”
เธอผลักประตูห้องของบิดามารดาเข้าไปถามเพื่อความชัดเจน เผื่อเรื่องที่ตัวเองได้ยินเมื่อสักครู่จะไม่ใช่ความจริง
สองสามีภรรยาหันมามองลูกสาวด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าลูกจะได้ยินเรื่องนี้
“เซลีนลูก หนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” มารดาของเธอถามเสียงอ่อย หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
“ตอบหนูมาสิคะ เรื่องจริงหรือโกหก”
ถามเสียงสั่นเมื่อเห็นแววตาของพ่อแม่ คำตอบเริ่มชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายให้เสียเวลา
“มาถึงขั้นนี้แล้ว พ่อจะบอกความจริงกับลูก”
คุณชาญชัยถอนหายใจเฮือก ไหน ๆ ลูกสาวก็รู้แล้วปกปิดไปก็ไร้ประโยชน์ อีกไม่กี่วันทุกอย่างของบ้านหลังนี้จะถูกยึด
“บอกมาเถอะค่ะ หนูรับทุกอย่างได้” เธอสูดหายใจเข้าปอดเพื่อรอรับฟังความจริงจากปากบุพการี ในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีเรื่องร้ายแรง
“บ้านเราไม่มีเงินแล้ว บ้านเรากำลังจะถูกยึด”
บิดาเอ่ยเสียงเครียดก่อนจะนั่งลงบนเตียงนอนอย่างคนหมดแรง ถ้าไม่ใช่เพราะโรคโควิดระบาดปัญหาการเงินของบริษัทคงไม่มาถึงทางตันเช่นนี้ ท่านสร้างบริษัทมาด้วยความยากลำบากไม่คิดว่ามันจะจบลงด้วยคำว่าเจ๊ง
“ไม่จริง เป็นไปได้ยังไง หนูไม่เชื่อ” ลูกสาวส่ายหน้าไม่ยอมรับ ไม่มีเงิน ไม่มีรถ บ้านถูกยึด เป็นไปไม่ได้แน่นอน
เธอไม่เคยได้ยินพ่อแม่บ่นเรื่องนี้ให้ฟังเลย เท่าที่รู้มาบริษัทกำลังเฟื่องฟูไม่ใช่เหรอ อีกอย่างพ่อบริหารธุรกิจมาเป็นสิบปีมันจะล้มได้อย่างไร ไม่เชื่ออย่างไรก็ไม่เชื่อ
“บริษัทขาดทุน พ่อเอาบ้านกับที่ดินไปจำนองธนาคาร เราไม่มีเงินจ่ายธนาคารหลายเดือนแล้ว ธนาคารเลยต้องการยึดบ้าน”
ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเศร้าไม่คิดว่าชีวิตต้องมาล้มเหลวตอนแก่ น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างคนสิ้นหวังโดยมีภรรยาคู่ทุกข์คอยกอดปลอบ
“ไม่จริง คุณพ่อโกหก ไม่จริงใช่ไหมคะคุณแม่” ลูกสาวยังไม่เชื่ออยู่ดีจึงหันไปถามมารดา
“จริงลูก พวกเราจะไม่มีเงินอีกต่อไปแล้ว” คุณสายสมรพยักหน้าก่อนจะปาดน้ำตาออกจากแก้มนวล หลังจากลองคิดหักลบกลบหนี้เงินในบัญชีแทบจะติดลบ
“หนูไม่เชื่อ คุณพ่อเก่งมาก จะทำให้บริษัทขาดทุนได้ยังไง”
เท่าที่เธอจำความได้บิดาประกอบกิจการส่งออกปุ๋ยเคมีไปต่างประเทศ ทำมาตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้ ไม่ใช่เพิ่งมาบริหารเสียหน่อยมันจะขาดทุนจริงเหรอ
“บริษัทขาดทุนสะสม ตอนนี้ไม่มีเงินหมุนแล้ว ไม่มีใครยอมให้พ่อกู้” เพราะไม่มีเงินจ่ายเหล่าเพื่อนพี่น้องพากันหนีหน้าไม่ยอมให้พบ กับธนาคารยิ่งแล้วใหญ่ไม่มีเครดิตแล้ว
“แม่ต้องเอาเครื่องประดับทุกชิ้นไปขาย นอกจากธนาคารเรายังมีเจ้าหนี้รายอื่นอีก เราต้องใช้หนี้พวกเขา รวมถึงให้เงินพนักงานเป็นค่าชดเชย”
หนี้บางส่วนถูกจัดการเรียบร้อย เหลือหนี้ธนาคารที่ไม่มีปัญญาหามาจริง ๆ สองสามีภรรยาสบตากันด้วยความเข้าใจ
“พ่อต้องขายสมบัติทุกอย่างเหมือนกัน พ่อขอโทษนะลูก”
“ไม่จริงหนูไม่เชื่อ คุณพ่อคุณแม่โกหก”
ลูกสาวรับไม่ได้จึงวิ่งหนีกลับไปยังห้องนอนของตนเอง เธอร้องไห้อย่างหนักไม่คิดว่าเรื่องที่พ่อแม่พูดจะเป็นความจริง
ต่อไปเธอจะกลายเป็นคนจนอย่างนั้นเหรอ ขจีเนตรสะอื้นไห้สักพักก็ได้ยินเสียงปืนดังจากห้องนอนของบิดามารดา
ปัง!