ย้อนกลับไปในอดีตช่วงที่ขจีเนตรยังเป็นคุณหนูผู้มั่งคั่ง มีบริวารรายล้อมซ้ายขวาใช้ชีวิตราวกับเจ้าหญิงมาตั้งแต่เกิด อยากได้อะไรก็ต้องได้ เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดใจเพราะเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ จนบรรดาสาวใช้พากันเอือมระอารวมถึงญาติ ๆ ด้วย บางคนก็อิจฉาที่หญิงสาวทั้งสวยและรวย ติดอยู่อย่างเดียวนิสัยร้ายกาจเกินไปจนไม่น่าคบหา
“เอวา เธอซื้อของอะไรมาให้ฉันเนี่ย บ้านนอกมาก”
สายตามองจิกไปยังของที่ดูไร้ราคาสำหรับตัวเอง ก่อนเบะปากมองบนคล้ายไม่พอใจ
น้ำเสียงของขจีเนตรทำให้เพื่อนที่พ่วงตำแหน่งญาติห่าง ๆ อย่างเอวารินรู้สึกเจ็บจี๊ด กี่ครั้งกี่หนแล้วที่โดนยายคุณหนูเอาแต่ใจทำพฤติกรรมแบบนี้ใส่
“ไม่บ้านนอกนะเซลีน นี่เป็นกระเป๋าสานจากฝีมือชาวบ้านที่เอวาไปเที่ยว เอวาเห็นว่าใกล้วันเกิดของเซลีนก็เลยซื้อมาเป็นของขวัญ”
ฝืนยิ้มทั้งที่ในใจก็ไม่ชอบขจีเนตรเหมือนกัน แต่เพราะบ้านของญาติห่าง ๆ คนนี้มีฐานะเธอจึงยอมอ่อนข้อและยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่ในใจเกลียดแสนเกลียด คอยดูเถอะวันใดที่ขจีเนตรล้มลงตนเองนี่แหละจะเป็นคนแรกที่เหยียบซ้ำ
“คนอย่างฉันไม่ใช้ของบ้านนอกแบบนี้หรอกย่ะ”
น้ำเสียงดูถูกดูแคลนทำให้เอวารินโมโหไม่น้อยเธออุตส่าห์ควักเงินซื้อมาตั้งเกือบพัน กระเป๋าสานใบนี้สวยไม่น้อยไปกว่ากระเป๋าหรูที่โชว์อยู่ในห้างสรรพสินค้าเลย
“แต่ข้าวของที่เซลีนใช้ราคาแพงมาก เอวาไม่มีเงินซื้อหรอก”
ถ้ามีเงินซื้อเธอก็รวยแล้วสิ ยายคุณหนูตัวร้ายใช้กระเป๋าราคาตั้งหลายแสน ใช้ได้ไม่กี่วันก็เบื่อจากนั้นก็ซื้อใบใหม่ ครอบครัวของเธอไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเหมือนขจีเนตรจะได้มีเงินถุงเงินถังให้ถลุงใช้ไม่ขาดมือ
“ไม่มีเงินก็ไม่ต้องซื้อ ฉันรวย เกิดเป็นคนจนก็อยู่เงียบ ๆ ไม่ต้องเสนอหน้า” ขจีเนตรต่อว่าเอวารินอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งที่เพื่อนก็นั่งอยู่กันตั้งหลายคน
เธออุตส่าห์มีน้ำใจซื้อมาฝาก เอวารินหน้าหดเหลือสองนิ้วหลังจากเห็นคนในกลุ่มของขจีเนตรหันมามองเธอด้วยสายตาดูแคลน
“เซลีนพูดกับเอวาแบบนี้ได้ยังไง เอวาเป็นเพื่อนเซลีนนะ แล้วเรายังเป็นญาติกันด้วย”
เอ่ยอย่างตัดพ้อน้ำตาจวนเจียนจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโมโห
“ฉันไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับเธอ มีแต่เธอที่อยากเป็นเพื่อนกับฉัน อ้อ ส่วนความเป็นญาติ เราเป็นแค่ญาติห่าง ๆ แบบห่างมาก ไม่ต้องมานับญาติกันก็ได้ ฉันไม่ถือ”
คุณหนูเอาแต่ใจเชิดหน้าตอบกลับอย่างไม่คิดรักษาน้ำใจ ก่อนจะหันไปหัวเราะคิกคักกับเหล่าเพื่อนคนรวย เพื่อนที่ไม่เคยจริงใจกับเธอแต่ที่ยอมรวมกลุ่มด้วยเพราะขจีเนตรเป็นคนมีเงิน
เอวารินคอตกน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ มือบางเอื้อมไปเอากระเป๋าสานที่ตั้งใจซื้อมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ขจีเนตรด้วยความเสียใจและเจ็บใจ
คิดว่าสักวันหนึ่งเธอต้องทำให้ยายผู้หญิงนิสัยไม่ดีคนนี้เอ่ยคำว่าขอโทษให้ได้ แต่ขาทั้งสองข้างยังไม่ทันเดินห่าง หูก็ได้ยินเสียงเรียกของขจีเนตรจึงหันกลับไปมองพลางเลิกคิ้วก่อนจะเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าใส
“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป ฉันมีอะไรจะให้เธอ”
“เซลีนมีอะไรกับเอวาอีกเหรอ”
“เอาไปฉันให้ กระเป๋าใบนี้ ฉันใช้เบื่อแล้ว เผื่อเธอจะมีของดี ใช้เหมือนคนอื่นเขาบ้าง”
“ไม่เป็นไร เซลีนเก็บไว้เถอะ เอวาขอตัว”
“อย่าหยิ่งนักเลย เอาไป คนจนอย่างเธอเกิดอีกกี่ชาติถึงจะมีเงินซื้อ” ขจีเนตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกก่อนจะปรายตามองชุดนักศึกษาที่เอวารินใส่ด้วยความดูแคลน
ทั้งเก่าทั้งซีดเธอไม่เข้าใจเลยทำไมเอวารินซึ่งเป็นลูกสาวของลูกน้องบิดาที่พ่วงตำแหน่งญาติถึงได้แต่งตัวไร้รสนิยม ไร้แบรนด์ เสื้อผ้าราคาไม่กี่บาทเอง รองเท้า กระเป๋า รวมถึงเครื่องประดับราคารวมกันไม่ถึงล้าน แค่นี้ก็ไม่มีปัญญาซื้อ
เอวารินไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรสุดท้ายจึงยื่นมือไปรับกระเป๋าสีดำทรงบอยของแบรนด์หรูราคาสูงถึงสามแสนบาทมาครอบครอง จากนั้นก็ขอตัวกลับพร้อมด้วยความรู้สึกเจ็บใจ อย่าให้ถึงวันของเธอก็แล้วกันเธอจะเหยียบขจีเนตรให้จมดินไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยคอยดู
สองสาวอายุเท่ากันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันแต่เอวารินได้ทุนเรียนฟรี ส่วนขจีเนตรรวยอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่งกับใคร ใจจริงเธออยากเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน แต่มารดาต้องการให้เข้ามหาวิทยาลัยรัฐอันดับหนึ่งของประเทศ
เธอจึงยินยอมตั้งหน้าตั้งตาสอบ สุดท้ายก็เข้าคณะอักษรศาสตร์หลักสูตรนานาชาติได้สำเร็จ ซึ่งเป็นคณะที่มารดาเคยศึกษา
ด้วยความเป็นคนหน้าตาดีแถมบ้านรวยทำให้ขจีเนตรเป็นที่สนใจของรุ่นพี่ตั้งแต่ปีหนึ่ง ถูกทาบทามให้เป็นดาวคณะแต่เพราะเธอเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่ชอบทำตามคำสั่งของใครจึงไม่ตอบตกลง
สุดท้ายคนที่เป็นดาวคณะในปีนั้นจึงกลายเป็นเอวารินซึ่งเรียนคณะอักษรศาสตร์เหมือนกัน
เป็นดาวคณะแล้วอย่างไร ท้ายที่สุดผู้คนก็ให้ความสำคัญขจีเนตรมากกว่าโดยเฉพาะผู้ชายที่ขยันขายขนมจีบ แต่ขจีเนตรเป็นคนหยิ่งเลยไม่รับรักใครสักคน
คุณหนูขจีเนตรนอกจากเอาแต่ใจแล้วยังเป็นคนเรื่องมากอีกต่างหาก สาวใช้ที่บ้านต่างรู้ดีจึงไม่ค่อยมีใครกล้าเถียงเธอแม้สิ่งนั้นจะไม่ถูกต้องก็ตาม
คุณหนูนิสัยร้ายกาจลงมากินข้าวหลังจากตื่นนอนในช่วงเที่ยงของวัน สีหน้าหงิกงอทันทียามที่ได้เห็นกับข้าวตรงหน้า
เธอเรียนจบมาหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่อยากไปทำงานจึงขอพ่อแม่พักสักหนึ่งถึงสองปีหรือจนกว่าจะหายเบื่อ
“ฉันไม่อยากกินกับข้าวพวกนี้ ไปทำมาใหม่”
“คุณหนูอยากทานอะไรไม่ทราบคะ”
“อาหารญี่ปุ่น ไปเตรียมมาให้เร็ว”
“รับทราบค่ะคุณหนู”
ไม่เกินสิบห้านาทีเชฟของบ้านหลังใหญ่ก็จัดการทำอาหารตามที่เจ้านายต้องการสำเร็จ
ขจีเนตรนั่งไปกินไปอย่างเพลิดเพลิน ไร้เงาบิดามารดาเพราะท่านทั้งสองต้องไปทำงาน มารดาของเธอไม่ได้ทำงานแต่มีหน้าที่ติดตามสามีทำให้ขจีเนตรเติบโตมากับพี่เลี้ยงเป็นหลัก ขาดการอบรมสั่งสอนดูแลจากบุพการี
คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นมาด้วยความสงสัยหลังจากไถโทรศัพท์แล้วเห็นโพสต์ของเอวารินในทวิตเตอร์ ก่อนจะเข้าไปแสดงความคิดเห็นด้วยคำพูดกึ่งดูถูก ทำให้เพื่อน ๆ ที่เป็นพรรคพวกของตนเข้าไปแสดงความคิดเห็นด้วยจนเจ้าของโพสต์ทนไม่ไหวต้องลบข้อความทิ้ง
“ฉันพูดความจริงทำเป็นรับไม่ได้ ออกไปช็อปปิงดีกว่า”
คุณหนูเอาแต่ใจยักไหล่ไม่สนใจ หลังจากหนึ่งในเพื่อนส่งแชตมาบอกว่าเอวารินลบโพสต์ดังกล่าว มุมปากของขจีเนตรยกยิ้มขึ้นมา บอกแล้วไงกระเป๋าใบนั้นไม่เหมาะกับคนรวยอย่างเธอ คนมีระดับต้องใช้แต่ของมีราคาเท่านั้น