“พ่อคะ...พ่อ”
ปาณิศาเดินตามหาพ่อในสวนลีลาวดี คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นจากกระถางที่เพาะชำต้นอ่อน ภากรอดคิดไม่ได้ว่าถ้าคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงยังอยู่...คุณหนูปาณิศาคงไม่ต้องมามอมแมมเปื้อนดินโคลนอย่างนี้
“เดินหาซะเมื่อยเลย” หญิงสาวบ่นแต่ยิ้มสดใส
“เหนื่อยเหรอ เป็นหอบอีกหรือเปล่า”
“โธ่พ่อ! แค่นี้เอง ฝนไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซะหน่อย” เธอหัวเราะน้อยๆ และฉุดแขนภากรให้ลุกขึ้น
“มีอะไร จะให้พ่อไปไหน”
“ไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อนฝนกำลังจะมาที่สวนเราค่ะ”
“เพื่อน? ฝนมีเพื่อนด้วยเหรอ” ภากรถามอย่างแปลกใจ เพราะนอกจากไอ้บ๊วยกับภาณุลูกชายแท้ๆ ของเขาแล้ว ปาณิศาก็ไม่ได้สนิทสนมกับใครเลย
“แหม! พูดอย่างกับฝนนิสัยไม่ดีไม่มีใครคบแหนะ”
มือเรียวเล็กดึงแขนลำใหญ่ให้เดินตามเข้ามาในบ้าน บรรดาคนงานที่เห็นก็แอบหัวเราะกันคิกคัก ก็แน่ละ! เรื่องความดุ เฮี้ยบ เจ้าระเบียบไม่มีใครกล้าหือกับภากร แต่พออยู่กับลูกสาวแล้วเขากลายเป็นคนละคนไป
“เพื่อนฝนอยากมาดูต้นไม้บ้านเราคะ” ปาณิศาอธิบายเพิ่ม
“ก็ดูไปซิ แล้วจะให้พ่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทำไม”
“ก็เพื่อนฝนคนนี้อายุน้อยกว่าพ่อแค่สองปีเองค่ะ” ปาณิศาหันมายิ้มมีเลศนัย
“อ่อนกว่าพ่อแค่สองปี...นี่ฝนไปรู้จักคนแบบนั้นได้ไง เล่ามาให้หมด อ้อ! หรือไอ้ณุมัน...!”
“พอเลยคะพ่อ...ไม่เกี่ยวกับพี่ณุเลย พ่อรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พี่ยาใกล้จะมาถึงแล้วค่ะ”
ปาณิศาดันหลังให้พ่อเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เธอมองดูเงาตัวเองในกระจก ผมยาวถูกถักเปียไว้ที่ด้านหลัง เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงเอี๊ยมยีนที่ใส่ประจำดูไม่มอมแมมนัก เธอเดินฮัมเพลงลงมาชั้นล่าง เตรียมน้ำส้มคั้นใส่เหยือกแล้วแช่เย็นไว้
ตั้งแต่กลับมาจากงานออกบูธแสดงต้นไม้ วัลยาก็โทรติดต่อกับปาณิศาสม่ำเสมอ คราวแรกเธอเองก็รู้สึกแปลกๆ เพราะ เหมือนกับวัลยาไม่ได้สนใจต้นไม้อะไรนักหนา แต่เมื่อคุยไปคุยมาก็รู้สึกถูกคออย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะเธอไม่มีทั้งแม่และพี่สาวหรือแม้แต่เพื่อนผู้หญิง ทำให้เธอสนิทสนมกับวัลยาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อคืนวัลยาบอกว่าจะพาลูกค้ามาดูต้นไม้ไปประดับโรงแรม แต่ไม่รู้ทำไมปาณิศาถึงอยากให้พ่อภากรเจอกับวัลยามากกว่าก็ไม่รู้!
“คุณฝนมีแขกมาหาครับ”
“เร็วจัง...พี่บ๊วยไปตามพ่อให้หน่อยนะคะ ฝนจะออกไปรับแขก”
ปาณิศาแทบจะวิ่งออกมาที่หน้าบ้าน ใบหน้าที่แย้มยิ้มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อสูทอย่างดีเนี้ยบทั้งตัวยืนแหงนหน้ามองดอกลีลาวดีสีแดงอมส้มสวยสด
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ มาชมต้นไม้หรือคะ” เธอกล่าวทักทายในฐานะเจ้าของสวนสายพิรุณ แต่หัวใจเธอก็เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อสายตาคมกริบของเขามองมาที่เธอ เธอรู้สึกคุ้นหน้าเขาแต่นึกไม่ออกว่าเคยพบกันที่ไหน
“ครับ...” ชายหนุ่มเอ่ยตอบสั้นๆ กระตุกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งก่อนแหงนหน้ามองลีลาวดีอย่างตั้งใจ “หอมนะครับ...หอมมาก”
“เพลิงพิรุณคะ พันธุ์นี้จะหอมมาก ดอกก็ใหญ่สวยเด่นเหมาะที่จะปลูกในสวน”
“ดอกไม้ก็สวย เจ้าของก็สวยนะค่ะ”
“พี่ยา” ปาณิศาดีใจที่เห็นร่างสูงบางที่ยังแต่งตัวสไตล์ยิปซีเดินอ้อมรถเก๋งคันหรูมาทักทายเธอ
“นี่ลูกค้าที่พี่บอกจะพามาไง คุณมาริสนี่ปาณิศาหรือน้องฝนจ๊ะ” วัลยาแนะนำทั้งคู่ง่ายๆ ไม่เรื่องมากปาณิศายกมือไหว้อย่างเขินๆ ตัวเขาสูงมากสูงเสียจนเธอรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนแคระไปเลย
“ไม่ใช่สวนของฝนหรอกคะสวนของพ่อภากร” ปาณิศายิ้มน้อยๆ
“ของพ่อก็เหมือนของลูกนั้นแหละ” ภากรเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาโอบไหล่ลูกสาวแสดงอาการ ‘ห่วงลูก’ ออกมาจนวัลยาอดหัวเราะไม่ได้
“พี่บ๊วยช่วยเอาน้ำส้มในตู้เย็นมาเสิร์ฟให้แขกหน่อยนะค่ะ” ปาณิศาพยายามรักษาสถานการณ์ ให้เป็นปกติที่สุด “ไปนั่งทางโน้นดีกว่าค่ะ”
ภากรจ้องมองมาริสอย่างไม่เกรงมารยาท มาริสเองก็ไม่หลบตาแต่กลับกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์ยิ่งทำให้ภากรไม่พอใจ แต่เมื่อลูกสาวคล้องแขนแล้ว ‘ลาก’ ให้เดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของบ้านซึ่งจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ตบแต่งอย่างน่ารักด้วยโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากเศษไม้เก่าแต่ดูเก๋ มีร่มทำจากผ้าดิบกางกันแดดทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองกับเจ้าของบ้านมากขึ้น
“พ่อ...นี่พี่วัลยาค่ะ ฝนเจอพี่ยาตอนที่ไปออกบูธค่ะ” ปาณิศาแนะนำอย่างเป็นทางการ
วัลยาแกล้งยื่นมาออกไปจะทักทายแบบตะวันตกแต่ภากรทำหน้าบึ้งตึง เธอกลั้นหัวเราะก่อนยกมือไหว้แบบไทยๆ ภากรจึงรับไหว้วัลยา แต่สายตาของภากรยังจับจ้องที่มาริสอย่างเปิดเผยแต่ชายหนุ่มกลับไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนอะไร
“ดิฉันวัลยาค่ะ สถานภาพโสดสนิทแต่ก็มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบทุกวัน แต่ยาเป็นพวกไม่ชอบกินของหวานก็เลยไม่สนใจใครเป็นพิเศษ นอกจากจะมีร้านกาแฟเป็นของตัวเองอุ๊ย! ไม่ใช่หุ้นกับน้องสาวแล้วก็ยังรับงานออกแบบตบแต่งภายในแต่ความจริงถนัดพวกตบแต่งภายนอกมากกว่า ยาของตากแดดให้ผิวเป็นสีแทนแบบว่าฝรั่งชอบหนะค่ะ อ้อ!ส่วนคนนี้ มาริสค่ะ เป็นเพื่อนน้องสาวยาเอง แต่เราก็รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ใช่มั๊ยมาริส”
“อ้าว! ตกลงให้ผมเป็นของน้องชายพี่ยาเองเหรอครับ โธ่!น้อยใจจริงๆ อุตส่าห์คบกันมาตั้งกี่ปี” มาริสรับมุกหน้าตาเฉย ปาณิศากลั้นหัวเราะไม่อยู่ในขณะภากรได้แต่ทำหน้าแหย
“โอเค สรุปว่าพวกคุณเป็นเพื่อนลูกสาวผม” นี่ถ้าปาณิศาาไม่นำว่าเป็นเพื่อน เขาคงไม่ยอมขายต้นไม้ให้คนเพี้ยนๆ แบบนี้แน่ๆ อย่าว่าแต่ต้นไม้เลย ต้นหญ้าก็ไม่ให้! “แล้วยังไงต่อ”
“ก็ไม่ยังไงหรอกค่ะ เผอิญยาชอบน้องฝน เอ๊ย! ชอบต้นไม้ที่น้องฝนเอาไปออกบูธเลยอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วพอดีมาริสเค้าเป็นเจ้าของโรงแรมแล้วอยากเพิ่มสปาสไตล์บาหลีเพื่อเพิ่มบริการให้ลูกค้า ยาก็เลยชวนเขามาดูต้นไม้ด้วยกันค่ะ”
“งั้นก็เชิญพวกคุณเดินดูตามสบาย ถ้าเอาต้นไหนผมจะลดให้สิบเปอร์เซ็นต์”
“พ่อ!” ปาณิศาเอ็ดพ่อด้วยสายตา หน้าเข้มๆ ของภากรจึงถอดสีลงแต่ก็ยังพยายามวางฟอร์มอยู่ แต่วัลยาก็ดูออกถึงกับหัวเราะออกมา
“เอ้า!ลดให้สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็ได้” ภากรตัดบทและลุกพรวดขึ้น “จะไปดูต้นไม้ใช่มั๊ย เดี๋ยวจะให้คนพาไป ไอ้บ๊วย!มาพาพวกคุณๆ ไปดูต้นไม้หน่อยซิ”
บ๊วยวิ่งพรวดพราดเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงภากรตะโกนเรียกชื่อเขาอยู่สองสามครั้ง ร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ทำให้เขาเขินๆ เมื่อวัลยาส่งยิ้มเป็นมิตรให้ ภากรแกล้งเดินหนีแต่ก็ต้องสะดุดหยุดก้าวแค่นั้นเพราะ...
“น้องฝนพามาริสไปดูต้นไม้แล้วกัน พี่นั่งเล่นตรงนี้แล้วกัน”
“จะบ้าเรอะ!” ภากรแหวขึ้นมา “จะไปแค่สองต่อสองได้ไง”
“พ่อขา” ปาณิศา จับแขนพ่อ “พ่ออย่าทำให้ฝนขายหน้าซิคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคะ มาริสนี่ถึงจะได้ฉายาเป็นคาสโนว่าแต่เขาไม่ฉวยโอกาสกับผู้หญิงหรอก ใช่มั๊ยมาริส” วัลยาหันมาหลิวตาให้ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ
“ก็ไม่แน่นะครับ กับผู้หญิงน่ารักๆ ก็ทำให้มือไม้ควบคุมไม่อยู่เหมือนกัน” เขายิ้มบาง ๆ
“ไม่ได้ๆ” ภากรหัวเสีย “ไปมันหมดนี่แหละ”
“ดีใจจังเจ้าของสวนสายพิรุณนี่ดูแลลูกค้าดีจริงๆ”