วัลยาหัวเราะออกมาก่อนลุกขึ้นเดินไปคล้องแขนกับภากรแล้วดึงให้ภากรเดินนำหน้า ส่วนปาณิศากับมาริสเดินตามหลัง มีนายบ๊วยที่ยืนเกาหัวแกรกๆ ก่อนที่จะก้าวขายาวๆ เดินตาม
“ขอโทษนะค่ะ พ่อของฝนอาจจะทำอะไรเสียมารยาทไปหน่อยแต่พ่อไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ” ปาณิศาเอ่ยเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเธอกับแผ่นหลังของพ่อไกลพอที่พ่อจะไม่ได้ยินเสียงพูดของเธอ
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อยิ่งมีลูกสาวสวยก็ยิ่งต้องหวงเป็นธรรมดา”
เสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้ปาณิศาเงยหน้าขึ้นมอง แต่แววตาที่เป็นประกายระยิบระยับคู่นั้นของเขาทำให้เธอต้องหลบสายตาทันที รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแถมหัวใจยังเต้นแรงผิดปกติอีกต่างหาก
‘เขาพูดเล่นหรือพูดจริงว่าเราน่ารักนะ’
“ต้นไม้พวกนี้คุณฝนดูแลเองหมดเลยหรือครับ” เขาถามอย่างชวนคุย
“เรียกฝนเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ฝนอายุน้อยกว่าคุณ” ปาณิศาตอบอย่างตะกุกตะกัก “ฝนไม่ได้ดูแลต้นไม้ทั้งหมดเองหรอกคะ ส่วนใหญ่ก็พ่อกับพี่บ๊วย ฝนช่วยดูแลบัญชีอะไรพวกนั้น”
“แล้ววันที่ไปออกบูธ ใครเป็นคนออกแบบว่าจะจัดวางต้นไม้แบบไหนยังไง”
“ฝนเองค่ะ เอ๊ะ!คุณมาริสไปดูบูธฝนด้วยเหรอคะ”
“ไปซิครับ ไม่งั้นจะตามมาดูถึงที่นี่เหรอ” เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เอ่อ...คือปกติฝนไม่ค่อยเห็นระดับผู้บริหารจะต้องมาดมาเลือกซื้อต้นไม้เองหนะค่ะ”
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้ารับ “ปกติผมก็ไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้หรอก พอดีพี่ยาชวนมาผมก็เลยอาสาขับรถมาให้”
ปาณิศาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “ฝนชอบต้นไม้ค่ะ อยู่กับต้นไม่แล้วมีความสุข สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ฝนไม่ค่อยมีเพื่อนด้วยมั้งคะ ก็เลยชอบพูดคุยกับต้นไม้”
“คุณฝนเป็นลูกคนเดียวเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ... คือร่างกายฝนไม่ค่อยแข็งแรงก็เลยไม่ได้ไปเรียนหนังสือเหมือนคนอื่นนะค่ะ แต่ฝนมีพี่ชายอีกคนชื่อพี่ภาณุแต่ตอนนี้ทำงานอยู่กรุงเทพ”
เพียงแค่ได้ยินชื่อ ‘ภาณุ’ ใบหน้าของมาริสก็เผลอยิ้มเหี้ยมขึ้นมาทันที เขาต้องข่มเพลิงแค้นในใจก่อนที่จะกัดฟันพูดเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับชื่อแสลงใจนี้
“แต่คุณฝนก็เก่งนะครับ สามารถเป็นมือขวาให้คุณพ่อได้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
พื้นดินที่เพิ่งโดนน้ำรดใหม่ๆ เปียกชุ่มและลื่น เท้าเล็กๆ ของปาณิศาเหยียบดินที่กลายเป็นโคลนลื่นเสียหลักจะล้มลงแต่มือใหญ่ของมาริสช่วยพยุงไว้ได้ทัน
“คุณหนู!” บ๊วยตกใจกับภาพที่เห็น เขาเป็นห่วงปาณิศากลัวจะหกล้มบาดเจ็บ แต่ไม่ได้คิดว่ามีชายหนุ่มที่ไหนมากอดตระกองลูกสาวคนเดียวของภากร
“ฝน!” ภากรหันมาตามเสียงของบ๊วย แม้จะเห็นภาพเดียวกับบ๊วยแต่อาการหวงลูกสาวทำให้เขาเดือดพล่านขึ้นมาทันที
“ทำอะไรลูกสาวฉัน!”
“ไม่ใช่ค่ะพ่อ” ปาณิศา รีบอธิบาย “คุณมาริสช่วยฝน ฝนลื่นจะล้มคุณมาริสก็เลยมาช่วยไว้ทัน”
“มาริสนี่เป็นคนดีจริงๆ เลยนะ” วัลยาแกล้งพูดให้คนขี้หวงลูกสาวได้ยิน
ภากรหน้าเสียไปทันทีแต่รีบเข้าไปประคองลูกสาวตัวเอง “เอ่อ...ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” มาริสปล่อยมือจากแขนนุ่มอย่างเสียดาย “พี่ยาครับ วันนี้เรากลับกันก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องต้นไม้ก็ไม่มีปัญหาอะไร พี่ยาซื้อจากสวนของคุณภากรก็แล้วกัน”
“ยังไงก็ได้” วัลยาหันมายิ้มหวานให้ภากรแต่เขาขนลุกเกรียวรีบหันหน้าหนี “วันนี้ยามารบกวนนานแล้ว แต่เจ้าของบ้านใจดี คราวหน้ายาจะมรบกวนใหม่นะจ๊ะ”
“ด้วยความยินดีค่ะพี่ยา”
ปาณิศายิ้มอย่างดีใจ แต่ดูเหมือนภากรจะไม่ยอมมองหน้าวัลยาเลยแม้กระทั่งทั้งวัลยาและมาริสไหว้ลาเขาก็รับแบบแกนๆ
“คุณหนูไม่เจ็บตรงไหนใช่มั๊ยครับ” บ๊วยถามอย่างเป็นห่วง
“ฝนไม่เป็นไร ขอบใจพี่บ๊วยที่เป็นห่วงนะจ๊ะ” ปาณิศายิ้มกว้าง รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีจริงๆ เลย
“แล้วทำไมหน้าแดงๆ เป็นไข้หรือเปล่าครับ”
คำถามของบ๊วยทำให้ภากรหันขวับมามองหน้าลูกสาว ปาณิศาจับหน้าตัวเอง เธอไม่รู้ว่าตัวเองหน้าแดงมากแค่ไหน แต่ภากรกึ่งจูงกึ่งลากให้ปาณิศาเข้ามาพักในบ้านจัดแจงเอาผ้ามาห่มแถมหายาประจำตัวมาให้เธอกินอีกต่างหาก ปาณิศาไม่อยากขัดใจพ่อเมื่อทานยาเสร็จก็ล้มตัวลงนอนทั้งที่ไม่ง่วงเลยสักนิด แต่ความรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของมาริสนั้นทำให้เธอหัวใจเต้นแรงจนแทบลืมหายใจ เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
...เหมือนเธอเคยถูกเขากอดมาแล้วยังไงไม่รู้.
.............
“ใช่ที่นี่จริงๆ เหรอ”
โรมแรมตรงหน้าใหญ่โตหรูหราจนปาณิศาต้องเผลออ้าปากค้างสลับกับก้มมองนามบัตรในมือ แต่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งสถานที่หมายที่เธอต้องเดินทางมาในวันนี้ก็คือโรงแรมขนาดใหญ่ตรงหน้า หญิงสาวก้มมองสำรวจตนเองอีกครั้ง วันนี้สวมกระโปรงยาวคลุมเข่ากับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินดูเป็นการเป็นงานเข้าท่าดี แต่จะว่าไปมันก็ดีที่เท่าที่เธอมีนั้นแหละ เพราะปกติเธอแทบไม่เคยออกไปไหน วันทั้งวันอยู่แต่ในบ้านนั่งทำหน้าดูแลบัญชีกับรับโทรศัพท์และเดินเข้าไปดูต้นไม้ในสวนบ้าง
“มั่นใจหน่อยปาณิศา สู้ๆ”
เธอบอกกับตัวเองแล้วกระชับกระเป๋าที่คล้องไหล่ก่อนจะก้าวเข้าไปในโรงแรมตรงหน้า วันนี้ไม่ได้ขับรถมาเองเพราะกลัวหลงทางในกรุงเทพฯ การขับรถในเมืองที่เต็มไปด้วยตรอกเล็กตรอกน้อยและแยกไปแดงไฟเขียวมากมายเธอต้องสติแตกตายแน่ๆ แต่ถ้าขับรถชานเมืองละก็...เธอไม่มีปัญหาเลย มือเรียวยื่นออกไปแต่ประตูกระจกใสก็เปิดออกก่อนโดยพนักงานที่สวมชุดไทยรอต้อนรับแขก ปาณิศาทำหน้าเอ๋อเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากขอบคุณแล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ดิฉันมาพบคุณมาริส กอบู๊ซ อัลบา ค่ะ”
“นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“นัดไว้แล้วครับ”
ปาณิศาหันไปตามเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยอยู่ด้านหลัง ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเข้มยืนยิ้มให้เธอ เขาช่างดูสง่างามผิดกับชายหนุ่มทั่วไปที่เธอรู้จักหรือเพราะมีใบหน้าคมเข้มและเคราบางๆ ทำให้ดูแปลกตาหรือว่า...หรือเพราะอะไรกันแน่นะ?
“เชิญทางนี้ดีกว่าครับ” มาริสพยักหน้าเล็กน้อยให้หญิงสาวเป็นเชิงทักทายและเชื้อเชิญให้เธอเดินตามมา “ผมกำลังคิดอยู่ว่า...ผมน่าจะเป็นฝ่ายไปรับคุณฝนไม่ใช่เป็นฝ่ายรอคุณแบบนี้”
“ฝนมาช้าหรือคะ” เธอยกนาฬิกาดูเวลาซึ่งมันก็ยังอยู่ในกำหนดที่นัดหมาย แต่เสียงหัวเราะน้อยๆ ของเขาทำให้เธอหันไปมองเสี้ยวหน้าอย่างงุนงง
“ผมหมายถึง...ผมทรมานใจที่รอคุณฝนครับ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม
“เอ่อ...” ปาณิศาอึกอักแล้วหลบสายตาที่แสนเจ้าชู้คู่นั้น เขาคงแค่ล้อเธอเล่นมากกว่าจริงจังกับคำพูดตัวเอง แต่กระนั้นเท้าเล็กๆ ก็เดินตามเขาไป อาจเพราะช่วงขาที่ยาวผิดกันทำให้เธอต้องเดินให้เร็วขึ้น
มาริสเหลือบมองคนข้างๆ ที่เดินเร็วๆ ตามก้าวยาวๆ ของเขาก็อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เธอไม่ยอมเรียกเขาสักคำหรือแม้แต่จะเกาะแขนเพื่อดึงให้เขาเดินช้าลงไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาเคยเจอ แต่เขาไม่ค่อยชอบเสื้อผ้าที่เธอสวมนัก เหมือนพวกคุณครูในโรงเรียนนางชียังไงไม่รู้