บทที่8. สายตาเจ้าชู้

1414 คำ
วัลยาหัวเราะออกมาก่อนลุกขึ้นเดินไปคล้องแขนกับภากรแล้วดึงให้ภากรเดินนำหน้า ส่วนปาณิศากับมาริสเดินตามหลัง มีนายบ๊วยที่ยืนเกาหัวแกรกๆ ก่อนที่จะก้าวขายาวๆ เดินตาม            “ขอโทษนะค่ะ พ่อของฝนอาจจะทำอะไรเสียมารยาทไปหน่อยแต่พ่อไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ” ปาณิศาเอ่ยเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเธอกับแผ่นหลังของพ่อไกลพอที่พ่อจะไม่ได้ยินเสียงพูดของเธอ “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อยิ่งมีลูกสาวสวยก็ยิ่งต้องหวงเป็นธรรมดา”   เสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้ปาณิศาเงยหน้าขึ้นมอง แต่แววตาที่เป็นประกายระยิบระยับคู่นั้นของเขาทำให้เธอต้องหลบสายตาทันที รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแถมหัวใจยังเต้นแรงผิดปกติอีกต่างหาก ‘เขาพูดเล่นหรือพูดจริงว่าเราน่ารักนะ’ “ต้นไม้พวกนี้คุณฝนดูแลเองหมดเลยหรือครับ” เขาถามอย่างชวนคุย “เรียกฝนเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ฝนอายุน้อยกว่าคุณ” ปาณิศาตอบอย่างตะกุกตะกัก “ฝนไม่ได้ดูแลต้นไม้ทั้งหมดเองหรอกคะ ส่วนใหญ่ก็พ่อกับพี่บ๊วย ฝนช่วยดูแลบัญชีอะไรพวกนั้น” “แล้ววันที่ไปออกบูธ ใครเป็นคนออกแบบว่าจะจัดวางต้นไม้แบบไหนยังไง” “ฝนเองค่ะ เอ๊ะ!คุณมาริสไปดูบูธฝนด้วยเหรอคะ” “ไปซิครับ ไม่งั้นจะตามมาดูถึงที่นี่เหรอ” เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ “เอ่อ...คือปกติฝนไม่ค่อยเห็นระดับผู้บริหารจะต้องมาดมาเลือกซื้อต้นไม้เองหนะค่ะ” “ใช่ครับ” เขาพยักหน้ารับ “ปกติผมก็ไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้หรอก พอดีพี่ยาชวนมาผมก็เลยอาสาขับรถมาให้”             ปาณิศาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “ฝนชอบต้นไม้ค่ะ อยู่กับต้นไม่แล้วมีความสุข สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ฝนไม่ค่อยมีเพื่อนด้วยมั้งคะ ก็เลยชอบพูดคุยกับต้นไม้”             “คุณฝนเป็นลูกคนเดียวเหรอครับ”             “เปล่าค่ะ... คือร่างกายฝนไม่ค่อยแข็งแรงก็เลยไม่ได้ไปเรียนหนังสือเหมือนคนอื่นนะค่ะ แต่ฝนมีพี่ชายอีกคนชื่อพี่ภาณุแต่ตอนนี้ทำงานอยู่กรุงเทพ”             เพียงแค่ได้ยินชื่อ ‘ภาณุ’ ใบหน้าของมาริสก็เผลอยิ้มเหี้ยมขึ้นมาทันที  เขาต้องข่มเพลิงแค้นในใจก่อนที่จะกัดฟันพูดเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับชื่อแสลงใจนี้                 “แต่คุณฝนก็เก่งนะครับ สามารถเป็นมือขวาให้คุณพ่อได้”             “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”             พื้นดินที่เพิ่งโดนน้ำรดใหม่ๆ เปียกชุ่มและลื่น เท้าเล็กๆ ของปาณิศาเหยียบดินที่กลายเป็นโคลนลื่นเสียหลักจะล้มลงแต่มือใหญ่ของมาริสช่วยพยุงไว้ได้ทัน             “คุณหนู!” บ๊วยตกใจกับภาพที่เห็น เขาเป็นห่วงปาณิศากลัวจะหกล้มบาดเจ็บ แต่ไม่ได้คิดว่ามีชายหนุ่มที่ไหนมากอดตระกองลูกสาวคนเดียวของภากร             “ฝน!” ภากรหันมาตามเสียงของบ๊วย แม้จะเห็นภาพเดียวกับบ๊วยแต่อาการหวงลูกสาวทำให้เขาเดือดพล่านขึ้นมาทันที             “ทำอะไรลูกสาวฉัน!”             “ไม่ใช่ค่ะพ่อ” ปาณิศา รีบอธิบาย “คุณมาริสช่วยฝน ฝนลื่นจะล้มคุณมาริสก็เลยมาช่วยไว้ทัน”             “มาริสนี่เป็นคนดีจริงๆ เลยนะ” วัลยาแกล้งพูดให้คนขี้หวงลูกสาวได้ยิน               ภากรหน้าเสียไปทันทีแต่รีบเข้าไปประคองลูกสาวตัวเอง “เอ่อ...ขอบใจนะ”                “ไม่เป็นไรครับ” มาริสปล่อยมือจากแขนนุ่มอย่างเสียดาย  “พี่ยาครับ วันนี้เรากลับกันก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องต้นไม้ก็ไม่มีปัญหาอะไร พี่ยาซื้อจากสวนของคุณภากรก็แล้วกัน”             “ยังไงก็ได้” วัลยาหันมายิ้มหวานให้ภากรแต่เขาขนลุกเกรียวรีบหันหน้าหนี “วันนี้ยามารบกวนนานแล้ว แต่เจ้าของบ้านใจดี คราวหน้ายาจะมรบกวนใหม่นะจ๊ะ”             “ด้วยความยินดีค่ะพี่ยา”    ปาณิศายิ้มอย่างดีใจ แต่ดูเหมือนภากรจะไม่ยอมมองหน้าวัลยาเลยแม้กระทั่งทั้งวัลยาและมาริสไหว้ลาเขาก็รับแบบแกนๆ  “คุณหนูไม่เจ็บตรงไหนใช่มั๊ยครับ” บ๊วยถามอย่างเป็นห่วง “ฝนไม่เป็นไร ขอบใจพี่บ๊วยที่เป็นห่วงนะจ๊ะ” ปาณิศายิ้มกว้าง รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีจริงๆ เลย “แล้วทำไมหน้าแดงๆ เป็นไข้หรือเปล่าครับ”           คำถามของบ๊วยทำให้ภากรหันขวับมามองหน้าลูกสาว   ปาณิศาจับหน้าตัวเอง  เธอไม่รู้ว่าตัวเองหน้าแดงมากแค่ไหน แต่ภากรกึ่งจูงกึ่งลากให้ปาณิศาเข้ามาพักในบ้านจัดแจงเอาผ้ามาห่มแถมหายาประจำตัวมาให้เธอกินอีกต่างหาก  ปาณิศาไม่อยากขัดใจพ่อเมื่อทานยาเสร็จก็ล้มตัวลงนอนทั้งที่ไม่ง่วงเลยสักนิด แต่ความรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของมาริสนั้นทำให้เธอหัวใจเต้นแรงจนแทบลืมหายใจ เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ...เหมือนเธอเคยถูกเขากอดมาแล้วยังไงไม่รู้. .............  “ใช่ที่นี่จริงๆ เหรอ” โรมแรมตรงหน้าใหญ่โตหรูหราจนปาณิศาต้องเผลออ้าปากค้างสลับกับก้มมองนามบัตรในมือ แต่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งสถานที่หมายที่เธอต้องเดินทางมาในวันนี้ก็คือโรงแรมขนาดใหญ่ตรงหน้า หญิงสาวก้มมองสำรวจตนเองอีกครั้ง วันนี้สวมกระโปรงยาวคลุมเข่ากับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินดูเป็นการเป็นงานเข้าท่าดี แต่จะว่าไปมันก็ดีที่เท่าที่เธอมีนั้นแหละ เพราะปกติเธอแทบไม่เคยออกไปไหน วันทั้งวันอยู่แต่ในบ้านนั่งทำหน้าดูแลบัญชีกับรับโทรศัพท์และเดินเข้าไปดูต้นไม้ในสวนบ้าง “มั่นใจหน่อยปาณิศา สู้ๆ” เธอบอกกับตัวเองแล้วกระชับกระเป๋าที่คล้องไหล่ก่อนจะก้าวเข้าไปในโรงแรมตรงหน้า วันนี้ไม่ได้ขับรถมาเองเพราะกลัวหลงทางในกรุงเทพฯ การขับรถในเมืองที่เต็มไปด้วยตรอกเล็กตรอกน้อยและแยกไปแดงไฟเขียวมากมายเธอต้องสติแตกตายแน่ๆ แต่ถ้าขับรถชานเมืองละก็...เธอไม่มีปัญหาเลย มือเรียวยื่นออกไปแต่ประตูกระจกใสก็เปิดออกก่อนโดยพนักงานที่สวมชุดไทยรอต้อนรับแขก ปาณิศาทำหน้าเอ๋อเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากขอบคุณแล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์                 “ดิฉันมาพบคุณมาริส กอบู๊ซ อัลบา ค่ะ”             “นัดไว้หรือเปล่าคะ” “นัดไว้แล้วครับ” ปาณิศาหันไปตามเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยอยู่ด้านหลัง ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเข้มยืนยิ้มให้เธอ เขาช่างดูสง่างามผิดกับชายหนุ่มทั่วไปที่เธอรู้จักหรือเพราะมีใบหน้าคมเข้มและเคราบางๆ ทำให้ดูแปลกตาหรือว่า...หรือเพราะอะไรกันแน่นะ?  “เชิญทางนี้ดีกว่าครับ”  มาริสพยักหน้าเล็กน้อยให้หญิงสาวเป็นเชิงทักทายและเชื้อเชิญให้เธอเดินตามมา “ผมกำลังคิดอยู่ว่า...ผมน่าจะเป็นฝ่ายไปรับคุณฝนไม่ใช่เป็นฝ่ายรอคุณแบบนี้”   “ฝนมาช้าหรือคะ” เธอยกนาฬิกาดูเวลาซึ่งมันก็ยังอยู่ในกำหนดที่นัดหมาย  แต่เสียงหัวเราะน้อยๆ ของเขาทำให้เธอหันไปมองเสี้ยวหน้าอย่างงุนงง  “ผมหมายถึง...ผมทรมานใจที่รอคุณฝนครับ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม    “เอ่อ...”  ปาณิศาอึกอักแล้วหลบสายตาที่แสนเจ้าชู้คู่นั้น     เขาคงแค่ล้อเธอเล่นมากกว่าจริงจังกับคำพูดตัวเอง แต่กระนั้นเท้าเล็กๆ ก็เดินตามเขาไป อาจเพราะช่วงขาที่ยาวผิดกันทำให้เธอต้องเดินให้เร็วขึ้น มาริสเหลือบมองคนข้างๆ ที่เดินเร็วๆ ตามก้าวยาวๆ ของเขาก็อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้       เธอไม่ยอมเรียกเขาสักคำหรือแม้แต่จะเกาะแขนเพื่อดึงให้เขาเดินช้าลงไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาเคยเจอ แต่เขาไม่ค่อยชอบเสื้อผ้าที่เธอสวมนัก เหมือนพวกคุณครูในโรงเรียนนางชียังไงไม่รู้  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม