“คุณฝนทานอะไรมาหรือยังครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เอ่อ...นี่เขาคงพยายามทำให้เธอเครียดน้อยลงซินะ ปาณิศาบอกตัวเองในใจแต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ว้า! ผมยังไม่ได้ทานเลย” เขาทำหน้าเศร้า “คุณฝนทานมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ”
“ได้ซิค่ะ” ปาณิศายิ้มรับเธอก้าวตามเขาเข้าไปในลิฟต์ แม้ลิฟต์จะกว้างแต่เมื่อเธอยืนใกล้ๆ เขาทำให้รู้สึกตัวเล็กลงมาก ศีรษะของเธอแค่ไหล่ของเขาเท่านั้นเอง นี่เขาคงเห็นเธอเป็นเด็กเล็กๆ กระมัง แต่ช่างเถอะ! เธอเตรียมข้อมูลเรื่องงานมาอย่างดี จะไม่ทำให้เขาหัวเราะเด็ดขาด เมื่อสามวันก่อนมาริสโทรศัพท์มาหาเธอเรื่องติดต่อซื้อต้นไม้ แม้จะน่าแปลกที่เจ้าของโรงแรมเป็นคนโทรมาพูดคุยเรื่องนี้ ควรจะเป็นหน้าของนักตบแต่งสวนหรือสถาปนิกมากกว่า แต่ก็ทำให้ใจเล็กๆ ของเธอเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้ว่าทุกถ้อยคำของเขาจะไม่มีการเกี้ยวพาราสีเลยแม้แต่คำเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เตรียมใบเสนอราคามาพร้อม ห้องอาหารตอนบ่ายโมงเศษมีผู้คนไม่มากนักพนักงานเสิร์ฟยกมือไหว้เมื่อเห็นมาริสเดินเข้ามาและเดินนำทั้งคู่ไปมุมหนึ่งที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้ชัดเจน
“คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” มาริสเอ่ยถามขณะพลิกเมนูอาหาร
“ไม่เป็นไรค่ะ...เอ่อ...ผลไม้ก็ได้ค่ะ” ปาณิศาแอบถอนหายใจเบาๆ เท่าที่เธอจำได้เธอไม่เคยมานั่งในห้องอาหารหรูๆ แบบนี้ แต่ถึงจะหิวมากๆ เธอก็ไม่รู้จะสั่งอะไรมากินเหมือนกันเพราะดูจากรายการแล้วเธอแทบไม่รู้จักอะไรเลย
“ผมน่าจะนัดคุณเร็วกว่านี้เราจะได้ทานมื้อเที่ยงพร้อมกัน” มาริสยิ้มแล้วสั่งอาหารกับพนักงานเสิร์ฟเมื่อที่โต๊ะเหลือแค่ทั้งคู่เขาก็เอ่ยต่อ “คงไม่ว่าอะไรนะครับที่จะขอทานอาหารไปด้วยและคุยกับคุณฝนไปด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอส่ายหน้าไปมา “ปกติฝนเป็นคนทานอาหารตรงเวลาน่ะค่ะ เพราะต้องทานยา”
“ได้ยินจากพี่วัลยาว่าคุณฝนไม่ค่อยแข็งแรง”
“หัวใจฝนไม่ค่อยดีค่ะ” เธอยิ้มสดใส “แต่ถ้าดูแลตัวเองดีๆ ก็ไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันหรอกค่ะ”
“ผมชอบคนไม่ยอมแพ้โชคชะตาอย่างคุณฝนจังครับ”
ปาณิศารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ทุกครั้งที่เขายิ้มดวงตาสีเทาเข้มจะเป็นประกายระยิบระยับน่ามองแต่ก็ทำให้จิตใจหวั่นไหวไม่น้อย เธอรู้สึกใจเต้นแรงแปลกๆ จนต้องเผลอยกมือขึ้นทาบอกแต่ก็กลัวผิดปกติจึงแสร้งหยิบเอาเอกสารที่เตรียมไว้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“คุณเห็นสวนด้านล่างไหมครับ ตรงที่มีตาข่ายสีเขียวขึงกันไว้” เขาชี้นิ้วไปด้านล่างจากชั้นสามที่ทั้งคู่นั่งอยู่มองเห็นได้ชัดเจน
“ตรงนั้นผมจะทำเป็นสปา ผมต้องย้ายต้นไม้ออกทั้งหมดก็เลยนึกได้ว่าอยากได้ต้นไม้ที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายมีกลิ่นหอมและให้ร่มเงา”
“ลีลาวดีคือคำตอบนั่นเลยค่ะ” ปาณิศาหัวเราะน้อยๆ แล้วก็ต้องหยุดเมื่อพนักงานนำจานผลไม้รวมมาเสิร์ฟให้เธอและสเต็กสำหรับมาริส
“ใช่ครับ...ทีแรกที่พี่วัลยาบอกผมก็เฉยๆ แต่พอได้ไปที่สวนของคุณแล้วผมประทับใจมาก”
“ดีใจที่คุณชอบ” ปาณิศายิ้มกว้าง “ลีลาวดีเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แม้ว่ากิ่งก้านจะดูเล็กแต่ก็อุ้มน้ำ คุณรู้ไหมค่ะ ดอกลีลาวดีเอามาชุบแป้งทอดกรอบจิ้มซอส หรือกินเป็นเหมือดกับขนมจีนน้ำพริกก็ได้ แต่ต้องใช้ดอกแก่ที่ร่วงจากต้น แล้วก่อนนำมาทอดต้องตัดก้านดอกที่มีสีเขียวติดกับกลีบเลี้ยงออกแค่นี้เราก็ได้ของอร่อยๆ แล้วค่ะ”
“น่าทึ่งจริงๆ ครับ” เขายิ้มแล้วยกมือประสานรองใต้คางของตนเอง “คุณทำให้ผมไม่อยากกินสเต็กตรงหน้าเลยนะเนี่ย”
“เอ่อ...ขอโทษค่ะฝนคงพูดอะไรมากเกินไป”
“ไม่ครับไม่ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” มาริสหัวเราะขึ้น “พูดต่อซิครับ ผมสนใจสิ่งที่คุณพูด”
“ฉันรู้สึกว่าตัวเองพล่ามอะไรไม่รู้” เธอยิ้มเขิน “ฉันรู้แค่เรื่องต้นไม้เท่านั้น”
“คุณโชคดีที่อยู่ในประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างนี้” เขายิ้มแล้วใช้ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ประเทศที่ผมเกิดอุดมไปด้วยต้นไม้และพื้นที่ชุ่มชื้นอย่างนี้”
“ประเทศที่คุณเกิด?”
“ผมมาจากทัสลาน” มาริสยิ้มที่มุมปาก “มันคงไม่ถูกนักถ้าจะพูดว่าประเทศของผมแห้งแล้ง เพราะเราก็ยังเพาะปลูกได้เพียงแต่ไม่เท่าที่ประเทศไทยผลิตได้”
“คุณพูดภาษาไทยชัดจนฝนคิดว่าคุณเป็นคนไทย”
“ผมมีพรสวรรค์เรื่องภาษา” ดูเขาพูดช่างพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “แต่ผมอ่านเขียนไม่ได้”
“ว้าย! เอกสารใบเสนอราคาของฝนเป็นภาษาไทยค่ะ ฝนไม่รู้...เอ่อ...แย่จัง”
“ไม่เป็นไรครับผมจะให้เลขาดูเรื่องพวกนี้อีกที” เขายื่นมือมาจะหยิบเอกสารแต่มือเขากลับทาบทับหลังมือของเธอเบาๆ
ปาณิศามองมือของตัวเอง เธอรู้สึกว่ามือเธอช่างเล็กอย่างเหลือเชื่อ! แต่กว่าเธอจะรู้ตัวว่าควรดึงมือตัวเองกลับมาเขาก็เลื่อนเอกสารที่อยู่ใต้มือของเธอออกไปแล้ว
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้...ผมอยากได้ต้นไม้ของคุณไปปลูกที่บ้านของผม”
“บ้านของคุณ? หมายถึงที่...” เธอไม่กล้าเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
“ทัสลานครับ” เขาเอ่ยต่อ
“ฉันไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณควรปรึกษาพี่ยาเอ่อ...วัลยากับพี่จงกลนี”
“สองสาวนั่นยุ่งเรื่องเปิดร้านใหม่อยู่ครับ” มือใหญ่จับช้อนส้อมแล้วจิ้มผลไม้ในจานของหญิงสาว “อย่าเพิ่งปฏิเสธแต่ขอให้เก็บไปคิดนะครับ ผมยังมีเวลาอีกมากที่จะรอคำตอบจากคุณ”
“ขอบคุณค่ะ”
ถ้ามันไม่ใช่เรื่องงานก็ดีซินะ คำพูดเมื่อครู่มันเหมือนคนบอกรักหรือขอแต่งงานยังไงไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้เธอคงตัดสินใจเองไม่ได้ การส่งต้นไม้ไปต่างประเทศก็เป็นเรื่องยุ่งยากที่เธอไม่เคยคิดถึง และการนัดพบเพื่อเจรจาธุรกิจก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ปาณิศาคิดนัก เพราะกลายเป็นการสนทนาบนโต๊ะอาหารมากกว่าเอกสารที่เธอเตรียมมาตลอดสามวันนั่นไม่ได้ดึงดูดความสนใจเขาได้เลย ความรู้สึกของเธอมันก่ำกึ่งอยู่ระหว่างสบายใจและเสียดายที่ไม่ได้โชว์ฝีมือของตนเองนัก กว่าจะขอพ่อภากรมาคุยงานคนเดียวได้ก็ลำบากแทบแย่ เธอไม่อยากทำตัวเป็นลูกแหงอยากเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ แต่ก็นั้นแหละ! ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนเธอจะไม่มีวันโตจากเด็กหญิงปาณิศาได้เลย
“เสียดายจริงๆ ผมมีนัดตอนบ่ายสาม”
“ว๊าย! นี่เราคุยกันนานขนาดนี้เลยหรือคะเนี่ย” ปาณิศาอุทานอย่างตกใจ “ฝนคงทำให้คุณเสียเวลาไปมากจริงๆ”
“ใครบอกละครับ คุณฝนทำให้ผมทานอาหารได้มากและละลายความเครียดในสมองผมได้เยอะเชียว”เขาแตะหลังมือเธอเบาๆ
“ผมดีใจที่ได้คุยกับคุณฝนครับ”
“ฝนก็เหมือนกันค่ะ” คราวนี้เธอมีสติมากพอที่จะดึงมือกลับ
“คุณฝนจะกลับยังไงครับ ขับรถมาหรือเปล่าครับ”
“ฝนไม่ชอบขับรถในเมืองค่ะ แต่เดี๋ยวจะให้พี่ชายมารับ”
“พี่ชาย?”
“เอ่อ...พี่ชายค่ะ” เธอไม่รู้จะแนะนำยังไง พี่ชายแท้ๆ ก็ไม่ใช่แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง คงต้องใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่าจะเล่าจบแน่ๆ
มาริสพยักหน้ารับแม้จะมีสีหน้าอยากรู้แต่ก็เลือกที่จะไม่เอ่ยถามเซ้าซี้ เขาเดินมาส่งเธอที่ล็อบบี้ของโรงแรมแล้วขอตัวกลับไปทำงาน ปาณิศายิ้มบางๆ ที่มุมปาก เธอยกมือทาบอกอีกครั้งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นเป็นปกติ เขาช่างเป็นผู้ชายที่ทำให้หัวใจเธอทำงานหนักกว่าปกติเสียจริง
หลังจากโทรศัพท์บอกภาณุแล้ว หญิงสาวก็เลือกที่จะนั่งรอที่ล็อบบี้ของโรงแรมนั่งบันทึกงานที่ต้องกลับไปจัดการอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมงร่างสูงของภาณุก็เดินเข้ามา
“ถึงกับกลับบ้านไม่ไหวเลยเหรอ” ภาณุแซวแล้วยื่นมือไปรับแฟ้มงานของปาณิศามาถือไว้
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวทำเสียงกระเง้ากระงอดแต่ก็เดินตามพี่ชายต่างสายเลือดออกมาเพื่อขึ้นรถ
“มองอะไรอยู่หรือคะมาริส”
มาริสย้ายสายตาจากร่างบอบบางที่เดินหายจากบานประตูของโรงแรมไปแล้ว เขาไม่ได้ขึ้นไปนั่งทำงานที่ห้องทำงานแต่กลับนั่งอยู่ในมุมดื่มกาแฟที่ปาณิศาไม่ทันสังเกตเห็น
“จะมีอะไรน่าสนใจไปกว่าคุณได้อีกเล่า...ดีดี้” มาริสหันมาสนใจหญิงสาวผมสีแดงเพลิงที่นั่งเบียดอกคู่อวบอยู่ใกล้ๆ
“เมื่อไหร่คุณจะกลับทัสลานคะ”สาวสวยสุดเซ็กซี่เอ่ยถามด้วยภาษาอังกฤษ “ฉันอยากใส่บิกินี่แล้วว่ายน้ำในสระน้ำบ้านคุณจัง”
“แล้วคุณไม่ติดงานถ่ายแบบที่ไหนเหรอ”
“จะมีอะไรน่าสนใจไปกว่าคุณได้อีกเล่าค่ะ...มาริส” หญิงสาวย้อนด้วยประโยคเดียวกับเขา
มาริสหัวเราะในลำคอแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม มีผู้หญิงมากมายที่ปรารถนาจะอยู่กับเขาแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ และเขาก็เชื่อว่าเสน่ห์เขาจะมัดหัวใจหญิงสาวที่แสนจะอ่อนโลกคนนั้น เมื่อครู่เขารู้สึกดีได้พูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ แต่...แค่นั้นมันไม่พอหรอก! มันไม่อาจลบล้างความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเขาได้และมีเธอคนเดียวที่ต้องชดใช้.