“ตายแล้วๆ สายป่านนี้ยังไม่ลุกจากเตียงอีกเหรอคะมาริส!”
ชายหนุ่มหยีตาขึ้นทันที่เมื่อผ้าม่านถูกมือเรียวรวบไว้ที่ด้านหนึ่งของหน้าต่าง แสงสว่างสาดเข้ามาจนเขาต้องควานหาหมอนขึ้นปิดหน้า แต่เจ้าของเสียงหวานใสกลับยื้อหมอนใบนั้นไว้ก่อน
“มาริสเป็นคนนัดนีนะคะ อย่าปล่อยให้แขกต้องรอเก้อซิ”
จงกลนีทรุดตัวลงนั่งบนเตียงหนานุ่ม มองดูเพื่อนชายที่ทำท่าไม่อยากลุกจากเตียง กลิ่นไวน์ยังลอยติดกลิ่นเสื้อเชิ้ตสีดำที่นอน ทำให้เดาได้ทันทีว่าเมื่อคืนเขาดื่มหนักจนหลับทั้งที่ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า
...แต่ก็ดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าอยู่ติดตัวเลย…
“ผมนัดคุณสิบเอ็ดโมงไม่ใช่เหรอ” มาริสงัวเงีย ส่งยิ้มหวานฉ่ำให้เพื่อนสาว
“ใช่ค่ะ นี่สิบเอ็ดนาฬิกาห้าสิบเก้านาทีแล้ว ป้าลอร่าให้นีขึ้นมาตามคุณที่ห้องนะค่ะ”
“จะเที่ยงแล้วเหรอ...” เขาดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง “งั้นคุณรอผมข้างล่างสักเดี๋ยวผมจะลงไป แล้วคุณอยากกินอะไรให้ป้าลอร่าจัดการได้เลย”
“ต้องเผื่อคุณด้วยหรือเปล่าคะ” จงกลนีหันมาถามล้อ ๆ
“แล้วคุณคิดว่าผมควรจะกินอะไรสักหน่อยไหมละครับ”
หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป เธอสนิทสนมกับเขามาหลายปีตั้งแต่เรียน มหาวิทยาลัย ก่อนหน้าที่สองพี่น้องจะกลับมาอยู่เมืองไทย พวกเธออาศัยอยู่ในอเมริกาซึ่งขณะนั้นมารดาของเธอแต่งงานกับสามีชาวอเมริกัน การเป็นคนเอเชียทำให้ทั้งคู่พยายามเอาชนะนินทาของผู้อื่นด้วยการร่ำเรียนอย่างหนักจนจงกลนีได้ทุนได้เรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังจนได้พบกับมาริส แต่ทั้งคู่ก็ห่างกันไปก็ตอนที่เขาไปกลับไปที่บ้านเกิด แล้วมารดาของเธอก็เสียชีวิตลงเธอกับพี่สาวจึงกลับมาอยู่เมืองไทย
ทว่าเมื่อกลับมาอีกครั้งความคุ้นเคยที่เคยมีก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย สมัยที่ยังร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย มาริสเป็นหนุ่มหล่อที่สาวๆ กรี๊ด ก็จะมีแต่เธอเท่านั้นละมั้งที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเขานักทั้งที่เรียนคณะเดียวกัน แต่ที่ทำให้คนแก่เรียนอย่างเธอมาสนิทสนมกับหนุ่มมาดเพลย์บอยอย่างเขาก็คงเป็นครั้งที่เขาโดดเรียนหลบมานั่งกินกาแฟที่ร้านของวัลยา พี่สาวคนเดียวของเธอนั่นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ เขาสนิทกับพี่สาวเธอมากกว่าเธอด้วยซ้ำ เหมือนกับว่ามีพี่สาวเธอคอยเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตต่างๆ บ้านที่ร่ำรวยเงินทองแต่ขัดสนความรักมันก็น่าเศร้าใจอยู่ไม่น้อย
ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ได้ยินว่าเขาเป็นถึง ‘ชีค’ ชื่อเต็มๆ ของเขาคือพร้อมยศศักดิ์ของเขาก็คือ ‘ชีค มาริส กอบู๊ซ อัลบา’
“เป็นไงบ้างคะคุณนี”
“ใครเป็นไงคะป้าลอร่า” จงกลนียิ้มล้อๆ ป้าลอร่ารักและห่วงลูกชายคนเดียวของบ้านเหมือนกับไม่รู้ว่าผู้ชายตัวโตคนนั้นอายุสามสิบสองเข้าไปแล้ว
“โธ่คุณนีละก็!” คนเก่าคนแก่ของบ้านทำเป็นงอน “ดิฉันละอยากคุณมาริสเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที”
“คงหาผู้หญิงที่เหมาะสมไม่ได้มั้งคะ หรือไม่ก็...มีอยู่แล้วเลยห่วงความโสด”
“ป้าก็กลุ้มใจอยู่เหมือนกันค่ะ”
ลอร่าถอนหายใจหนักๆ เธอดูแล ‘มาริส’ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ ในราชวงค์ กอบู๊ซ มีโอรสและธิดาหลายองค์ แต่องค์ที่ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งรัชทายาทในขณะนั้นคือ ‘ฟาริซ’ พี่ชายต่างมารดาของมาริส แต่กระนั้นเขาก็ถูกวางตัวไว้ในตำแหน่งมือขวาของฟาริซ มาริสถูกอบรมเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดอย่างชายชาติทหาร แต่เมื่อมาอยู่เรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า มหาวิทยาลัยลีแลนด์สแตนฟอร์ดจูเนียร์ (Leland Stanford Junior University) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ตั้งอยู่ที่เมือง สแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แห่งนี้ การได้อยู่ไกลสายตาหลายคู่ที่คอยจ้องจับผิดเขาทำให้เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นอิสระ เขากลายเป็นเพลย์บอยในคราบนักศึกษาดีเด่นไม่เพียงเพราะฐานะที่ร่ำรวยเท่านั้นแต่ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม เส้นผมสีดำสลวยกับดวงตาสีเทาที่สะกดใจทำให้สาวๆ อ่อนระทวยมาทนับไม่ถ้วนแล้วหลังจากเรียนจบในระดับปริญญาโท
แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ทัสลาน ราชวงศ์เรกิวลุสที่ปกครองประเทศหวั่นเกรงการแย่งชิงอำนาจจึงส่ง มาริส กอบู๊ซ อัลบา ยังดูแลกิจการร่วมทุนในเอเชีย มาริสต้องเดินทางไปมาระหว่างประเทศต่างๆ ในเอเชียจนบ้างครั้งเราก็รู้สึกเหมือนคนไร้บ้าน แต่เขาก็อยู่ที่เมืองไทยนานกว่าที่อื่นๆ อาจเป็นเพราะมีเพื่อนที่รู้สึกสนิทใจที่นี่ เขารู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์เรื่องภาษา เขาอาจเขียนและอ่านภาษาต่างๆ ไม่คล่องแต่ถนัดเรื่องการพูดเพื่อการสื่อสาร
ในระยะหลังนี้เขาต้องกลับไปที่ ‘ทัสลาน’ เพื่อคอยช่วยเหลือกษัตริย์พระองค์ใหม่ก็ตาม แต่หากมีเวลาเขาก็จะมาที่นี่เสมอและเขาก็ยกบ้านหลังนี้ให้ลอร่าเป็นของขวัญที่คอยดูแลเขามาตลอดหลายสิบปี แต่สิ่งที่ลอร่าต้องการมากที่สุดคือความสุขของมาริสและ...จะโชคดีแค่ไหนถ้าได้อุ้มลูกของมาริส เธออยากดูแลสายเลือดของมาริสเหลือเกิน
“เดี๋ยวเขาจะลงมาทานข้าว ป้าลอร่าเตรียมอะไรให้คนเมาค้างหน่อยแล้วกันค่ะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าจัดให้ เฮ้อ! ไม่มีใครรู้ใจคุณมาริสเท่าคุณนีเลยนะค่ะ”
ป้าลอร่าหายไปเตรียมอาหารมื้อเที่ยงที่รวมเอามื้อเช้าเข้าด้วยกัน จงกลนีได้แต่ยิ้มอ่อนหวาน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าป้าลอร่าเชียร์กับมาริสออกนอกหน้าขนาดไหน แต่เธอและเขาก็รู้ดีอีกนั้นแหละว่านอกจากความเป็นเพื่อนแล้วไม่มีอย่างอื่นที่จะแทนที่เราสองคนได้ แม้ทั้งคู่จะไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันและกัน แต่เรื่องของหัวใจคนสองคนเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
“ขอโทษนะทำให้ต้องรอนานเลย” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านแต่งตัวด้วยชุดลำลองเดินลงมาพลางระบายยิ้ม เขาดูดีขึ้นหลังจากอาบน้ำล้างอาการเมาค้างออกแล้ว
“เรื่องฉันหน่ะไม่เป็นไรหรอก แล้วงานการไปต้องดูแลหรือไงคะ ถึงตื่นเอาเที่ยงแบบนี้”
“โธ่! ผมเป็นเจ้าของ,เป็นผู้บริหารก็มีหน้าที่บริหารงาน...ไม่ต้องเข้าทุกวันก็ได้” มาริสยิ้มทะเล้นพลางนั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะยกกาแฟขึ้นจิบ ครู่หนึ่งเด็กรับใช้เอาหนังสือพิมพ์และซองจดหมายรวมทั้งเอกสารต่างๆ มาว่างไว้ข้างๆ
“กินข้าวไปทำงานไปคงอร่อยนะ” จงกลนีแอบว่าเข้าให้
“อ้าว! ทีเมื่อกี้ยังพูดยังกับผมไม่สนใจงานการของตัวเอง” เขาหัวเราะออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ป้าลอร่าพาเด็กรับใช้ยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร
“ป้าไม่ได้ยินเสียงคุณมาริสหัวเราะนานแล้วนะค่ะ” ป้าลอร่าแอบชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งข้างๆ แต่จงกลนีส่ายหน้าเธอไม่รู้สาเหตุที่เขาอารมณ์ดีเหมือนกัน
“ป้าลอร่าก็พูดไป” เขายิ้มบางๆ จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ว่าเขาหัวเราะได้เพราะอะไร
“เมื่อเช้าคุณฟารีดาโทรศัพท์มาบอกว่าสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง” ป้าลอร่าเอ่ยเบาๆ เกรงว่าจะทำลายบรรยากาศสดชื่นยามเที่ยงเสียไป
“ดี...ดีแล้ว”
เขาพึมพำแต่ยังที่มุมปากยังยิ้มอยู่ทำให้ป้าลอร่าชื่นใจขึ้น เธอสั่งรีบให้เด็กๆ จัดการตั้งโต๊ะอาหารโดยเร็ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยป้าลอร่าและเด็กรับใช้ก็ออกไปเหลือเพียงหญิงสาวที่นั่งทานอาหารเที่ยงเป็นเจ้าของบ้าน
“นีจำไมเคิลได้ไหม” เขาเอ่ยถามพลางมองหน้าเพื่อนสาวที่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “อย่าบอกว่าจำไม่ได้นะ ไมเคิลมันตามจีบนีตั้งแต่ปีหนึ่งยันเรียนจบ”
“มาริสคะ! คุณรู้อยู่แล้วยังแกล้งมาถามฉันแบบนี้อีกเหรอ” จงกลนีหน้าแดงขึ้นมาทันทีแสร้งจิ้มผักเข้าปากเคี้ยวเหมือนแค้นใครเป็นร้อยปีพันชาติ