ภาณุยิ้มบางๆ มองดูหน้าเนียนใสที่มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้น เขางานยุ่งจึงไม่ได้แวะมาหาปาณิศาเลย กว่าจะมาได้ก็มาเอาวันสุดท้ายแถมตอนงานเลิกอีกต่างหาก
“แล้วนี่...กลับนครปฐมเลยหรือเปล่า”
“ค่ะ...จะอยู่ทำไมละคะ หรือพี่ณุจะพาเที่ยวหรือพี่ณุจะกลับไปพร้อมกัน”
“พี่ไม่อยากกลับไปเจอพ่อตอนนี้”
“พี่ณุ...พ่อแค่อยากให้พี่ไปเยี่ยมไม่ได้กักตัวไว้ในสวนสักหน่อย”
“ก็นั้นแหละ...” เขาเป่าลมออกทางปาก พอดีกับที่ร่างใหญ่ยักษ์ของบ๊วยเดินตรงมาทางเขาพอดี
“มากรุงเทพฯ ทั้งทีไม่ได้เที่ยวไหนเลย” บ๊วยบ่นพลางเหลือบมองสาวๆ ที่เดินผ่านด้วยสายตาละห้อย ซึ่งผู้ชายด้วยกันดูออกว่าหมายถึงอะไร
“นั่นซิ...ฝนเองก็ไม่ได้เที่ยวไหนเลยนี่ มาออกร้านสามวันนี่ตีรถไปกลับนครปฐมทุกวันเลยซิ”
“ก็มันไม่ได้ไกลอะไรนักหนานี่คะ” ‘แต่คนบางคนก็ไม่ยอมกลับบ้านเสียที’ ฝนพรำได้แต่ว่าพี่ชายในใจ
“เอางี้ไหม พี่พาไปเลี้ยงข้าว แล้วบ๊วยอยากไปเที่ยวไหน สะพานพุทธ ตรอกข้าวสารหรืออาร์ซีเอ พี่จะพาไปแต่ฝนต้องไปด้วยนะ”
“จริงหรือครับคุณณุ บ๊วยอยากไปตรอกข้าวสาร อยากไปเจอแหม่มสวยๆ” คนตัวโตหน้าแดงจนถึงหูทำให้ปาณิศาหัวเราะออกมา
“พาไปก็ได้แต่ต้องเลิกคุณก่อน...บอกตั้งไม่รู้กี่หน เรียกพี่ณุก็พอไม่ต้องเรียกคุณ...เก็บคุณไว้ใช้กับยัยฝนก็พอ”
“พี่ณุ...ฝนก็ไม่อยากให้พี่บ๊วยเรียกฝนเฉยๆไม่มีคุณเหมือนกันแหละแต่ห้ามแล้วไม่ยอมเชื่อกันเลย” ปาณิศาหัวเราะน้อยๆ “แล้วข้าวของพวกนี้ละคะ”
“ก็ให้คนอื่นเอากลับไปก็ได้นี่ครับคุณฝน...” บ๊วยรีบเสนอกลัวจะไม่ได้ไปเจอแหม่มสวยๆ
“แล้วคืนนี้เราจะกลับยังไง” ปาณิศาเริ่มเห็นปัญหา
“มานอนที่คอนโดพี่ก็ได้ คิดมากจังเรา”
ปาณิศาหันไปมองหน้าบ๊วยอีกครั้ง เห็นแววตาเว้าวอนออดอ้อนก็อดยิ้มขำไม่ได้ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาพ่อบุญธรรม เมื่อได้รับอนุญาตเธอก็พยักหน้าตอบรับ บ๊วยดีใจกระโดดโลดเต้นไม่อายใครทำให้ปาณิศาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เดี๋ยวฝนสั่งงานก่อนแล้วเราไปด้วยกันนะคะ”
หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปสั่งงานกับคนที่งานที่มาด้วยกัน ระหว่างเธอรู้สึกเหมือนถูกแอบมองจากมุมใดมุมหนึ่ง จนต้องหยุดเดินแล้วเหลียวมอง แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ พอเดินได้อีกสองสามก้าวก็รู้สึกมีแสงแฟลชทางหางตา เธอเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความสับสน
“หรือจะคิดมากไปเอง”
ปาณิศาพึมพำ สามวันมานี่มีคนมาถ่ายรูปในบูธเยอะแยะจนเธอเองก็ยิ้มจนเหงือกแทบจะแห้ง หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความคิดรกๆ ในสมองก่อนเดินไปคุยงานกับทีมงาน ภาณุขับรถนำบ๊วยกับปาณิศามาที่คอนโดให้น้องสาวได้จัดการอาบน้ำชำระร่างกายและใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาจากตลาดนัดก่อนถึงคอนโด หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่ากับเสื้อตัวยาวทรงบอลลูนสีชมพูน่ารัก ไม่น่าเชื่อเลยว่าเสื้อผ้าราคาถูกไม่มียี่ห้อจะกลับดูดีขึ้นมาเมื่อยู่บนร่างบอบบางสมส่วนของปาณิศา
“คุณฝนน่ารักจังเลย อย่างนี้บ๊วยต้องเป็นเบอดี้การ์ดให้แล้ว”
“พูดเกินไปแล้วพี่บ๊วย บอดี้การ์ดค่ะ ไม่ใช่เบอดี้ นั่นมันกาแฟ...แล้วฝนก็ไม่ดื่มกาแฟด้วย”
“พี่ณุรีบอาบน้ำแต่งตัวซิครับ จะได้รีบไป” บ๊วยดันหลังให้ภาณุที่มองปาณิศาจนแทบลืมหายใจเข้าห้องน้ำ
“จะรีบไปไหนเล่า ตรอกข้าวสารมันไม่หนีนายไปไหนหรอกนะ”
“ก็ผมกลัวแหม่มสวยๆ จะหนีไปก่อนต่างหากล่ะครับพี่ณุ”
“เออรู้แล้วว่าอยากเจอแหม่ม แล้วถ้าเจอจะจีบกันรู้เรื่องไหมนี่ ภาษาอังกฤษเรามันแข็งแรงนักหรือไง”
“ไม่เป็นใครครับ ผมใช้มือช่วยก็ได้”
บ๊วยยิ้มซื่อชูมือสองข้างประกอบ ภาณุถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ในขณะที่ปาณิศาหัวเราะออกมา สงสัยงานนี้ได้เที่ยวกันเมื่อยมือแน่!
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งปกติภาณุจะได้หยุดงานทุกวันจันทร์ วันนี้เขาตั้งใจจะดื่มเป็นเพื่อนบ๊วยเสียหน่อย ปกติเขาก็ไม่ค่อยได้ดื่มกับใครเท่าไหร่นัก เขาจัดตัดสินใจใช้บริการแท็กซี่ซึ่งสะดวกสบายไม่ต้องหาที่จอดรถหรือกังวลเวลาที่ต้องเมากลับที่พัก บ๊วยอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ภาณุเตรียมให้ เขาตั้งใจซื้อไว้ให้นานแล้ว คิดจะส่งเป็นของขวัญแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียที ทันทีที่ลงจากรถแท็กซี่ บ๊วยก็ตื่นเต้นดีใจไม่เก็บอาการ ทำให้สองพี่น้องต่างสายเลือดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ฝนแขนพี่ไว้นะ เดี๋ยวจะหลง”
ภาณุดึงมือเล็ก ๆ มาคล้องแขนเขา แต่เพราะนักท่องเที่ยวที่มีมากมาย และบ๊วยเองก็เดินไปเต้นรำไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังมาจากสองข้างทาง ภาณุจึงเลือนมือเขามาเกาะกุมมือเล็กๆ ของปาณิศา หัวใจเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เธอเองก็กระชับมือใหญ่แน่นเพราะกลัวหลง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเดินเที่ยวในสถานที่เช่นนี้
“เดี๋ยวเราไปหาข้าวกินก่อนค่อยมาเดินเล่นแล้วกัน มีร้านเสื้อผ้าจากบาหลีสวยๆ ฝนต้องชอบแน่ ๆ” เพราะเสียงเพลงที่ดังทำให้ภาณุกระซิบที่ริมหูของฝนพรำ
“ก็ได้ค่ะ ฝนอยากได้ธูปหอมจะเอาไปใช้ที่บ้านสวน”
ชายหนุ่มโบกมือเรียกบ๊วยที่หยุดฟังดนตรีเร็กเก้อยู่ให้เดินเลี้ยวเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างหรูหรา นักเที่ยวดูมีระดับกว่าที่เดินควักไขว่บนถนนเมื่อครู่
“เรากินร้านธรรมดาก็ได้นี่คะพี่ณุ” เธอป้องปากกระซิบเบา ๆ ยิ่งเห็นเมนูที่แพงหูฉี่ก็ได้แต่สยดสยอง
“ฝน...นานๆ ทีนะ” เขาลูบผมยาวสลวยและนุ่มเบาๆ “เมื่อก่อนเราเคยอดมื้อกินมื้อ แต่ถ้าวันนี้มีโอกาสเราก็กินให้เต็มที่เถอะ”
หญิงสาวเถียงไม่ออก เธอเข้าใจความรู้สึกของภาณุดี เมื่อก่อนแทบจะไม่มีกิน แต่เดี๋ยวนี้เขาทำงานมีเงินเดือน ครอบครัวไม่เดือดร้อยเรื่องเงินทอง การได้กินอาหารดีๆ สักมื้อ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก
“บ๊วยกินอะไร เอาเนื้อแกะน่ะ ที่นี่ทำสเต็กเนื้อแกะอร่อยมาก” ภาณุเอ่ยปากแต่กลับได้ยินเสียงหวานใสคุ้นเคยอยู่ข้างหู
‘เนื้อแกะนุ่มมาก ๆ เลย ฉันชอบมากที่สุดเลยค่ะ’
“เนื้ออะไรก็ได้ครับคุณณุ เอ๊ย! พี่ณุ อยู่บ้านกินแต่เนื้อกบ”
ปาณิศาหลุดเสียงหัวเราะออกมาก่อน ภาณุก็เก็บอาการไม่อยู่ บ๊วยทำหน้าเขินไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้ขำ แต่เขาก็ชอบเสียงหัวเราะ ทำให้ทั้งสามคนประสานเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะของพวกเขาทำให้คนอื่นหันมามองแล้วอมยิ้ม
มาริส วางแก้วไวน์ลง เขาเริ่มกรึ่มๆ แต่คอทองแดงอย่างเขานี่แค่อุ่นเครื่องเท่านั้น เขาเหลียวมองเสียงหัวเราะเปิดเผยความสุขเสียจนคนได้ยินต้องอิจฉา แล้วก็ต้องสะดุดตากับภาพคนทั้งสามที่นั่งอยู่ไม่ไกลเขานัก
‘โลกมันจะกลมอะไรขนาดนี้’
ชายหนุ่มข่มโทสะในใจที่คุกรุ่น หลังจากเลี้ยงรับรองลูกค้าที่มาเซ็นสัญญารวมลงทุนกิจการรีสอร์ทแห่งใหม่ของเขา เขานั่งดื่มละลายอารมณ์เล่น แก้วแล้ว...แก้วเล่า แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่อยากเจออย่างนี้ “วันนี้ฉันจะปล่อยให้แกได้หัวเราะไปก่อน...หัวเราะให้พอเถอะ เพราะอีกไม่นานแกจะไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขไปอีกชั่วชีวิต!”.