บทที่ 4 แม่บ้าน(จำ) ต้องเป็น E.3

1149 คำ
นรภัทรทำท่าคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ต้องให้มันยุ่งยากไหนๆ ก็ทำมาแล้ว กินข้าวต้มนี่แหละ” พริมาลอบยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะตักข้าวต้มหมูสับกลิ่นหอมชวนกินใส่ชามเคลือบที่เตรียมเอาไว้ ยื่นให้ตรงหน้าของอีกฝ่ายกับผู้เป็นเพื่อน ก่อนจะทำท่าเดินเลี่ยงเข้าครัวแต่ถูกเจ้าของบ้านเอ่ยปากเรียกไว้เสียก่อน “คุณก็มากินด้วยกัน” คนถูกเรียกคิดในใจ อ้อ...ยังรู้จักเรียกเธอกินด้วย ถือว่ายังเปี่ยมไปด้วยมารยาทของเจ้าของบ้านที่ดีอยู่นี่นา “ค่ะ” “คุณพริมทำอาหารอร่อยมากครับ” คนเป็นหมอเอ่ยชมเปาะหลังตักข้าวต้มคำแรกเข้าปาก “เช้านี้ผมนี่มีลาภปากจริงๆ แม่บ้านคนเก่าของไอ้ภัทรน่ะ ทำกับข้าวรสชาติดีกว่าเลียกระดานนิดนึงเท่านั้นเอง สงสัยคงต้องมาฝากท้องที่นี่ประจำเสียแล้วมังครับ” “แหม...ดีกว่าเลียกระดานนิดนึง ข้าก็เห็นเอ็งฟาดเรียบทุกครั้งนะไอ้หมอ” นรภัทรพูดค่อนเพื่อนก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน สิ่งที่เพิ่งพูดออกไปว่าหนักสำหรับตัวเอง มิหนำซ้ำยังกินด้วยความเอร็ดอร่อยอีกต่างหาก “ข้าน่ะเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายโว๊ยอะไรก็ได้” นายแพทย์หนุ่มพูดพลางก็ลุกขึ้นตักข้าวต้มหมูสับ จากหม้อใส่ชามตัวเองเป็นครั้งที่สองและเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย หลังชามแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว ครั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังชามอันว่างเปล่าของเพื่อนก็หัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ “อ้าว ไหนเมื่อกี้บอกว่าข้าวต้มหมูสับนี่หนักไปสำหรับเอ็งไงล่ะ” “ข้ากินเพราะกลัวเสียของต่างหาก” นรภัทรเถียงแบบเอาสีข้างเข้าถู แล้วก็ลุกขึ้นตักข้าวต้มในหม้อเพิ่มด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะละอายอยู่บ้างก็ตาม “เออ...ไอ้คนปากกับใจไม่ตรงกัน” พริมาที่ลอบมองอยู่ก็รู้สึกขำคนขี้เก๊ก แล้วก็อดนึกสงสัยต่อไปไม่ได้ว่า เหตุใดชายหนุ่มทั้งคู่ที่เธอเชื่อว่าเป็นคู่เกย์กัน จึงพูดจากันด้วยภาษาบ้านๆ แบบนี้ เพราะตามที่รู้มาส่วนใหญ่คู่รักที่เป็นเพศเดียวกัน มักจะพูดกันด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน หรือว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน แต่ก็น่าเสียดายและเสียของชะมัด ผู้ชายหน้าตาดีเดี๋ยวนี้มักจะนิยมกินกันเอง อย่างนี้นี่เล่าผู้หญิงสมัยนี้จึงอยู่ขึ้นคานกันเป็นทิวแถว ตามที่รู้มาเดี๋ยวนี้ผู้ชายไม่ใช่มีกิ๊กเป็นผู้หญิงเช่นเมื่อก่อนแล้ว หลายคู่เลิกลากันเพราะมีกิ๊กเป็นผู้ชายซึ่งสร้างความเจ็บช้ำให้กับผู้หญิงเป็นที่สุด “พรุ่งนี้ทำข้าวต้มแบบนี้ให้ผมกินด้วยแต่เปลี่ยนเป็นกุ้ง” คนถูกออกคำสั่งมองไปยังข้าวต้มในหม้อเคลือบที่เมื่อกี้ยังมีอยู่กว่าครึ่งหม้อ แต่ตอนนี้เหลือติดอยู่เพียงแค่ชามเดียวเท่านั้นอย่างทึ่งๆ ดีนะที่เธอทำไว้ค่อนข้างเยอะ เพราะรู้ว่าอาหารชนิดนี้ย่อยง่ายกว่าข้าวสวยธรรมดา “ค่ะ” ตกกลางคืนหลังจากอาบน้ำเรียบร้อย พริมาก็เดินไปล้มตัวนอนเขลงบนเตียงนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แม้จะรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้างจากการสระผม ที่ตอนนี้ยังคงเปียกหมาดๆ โดยมีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนใหญ่โพกศีรษะไว้อยู่ เวลาแค่หนึ่งวันกับหนึ่งคืนสำหรับการอยู่ร่วมบ้าน กับชายหนุ่มหน้าตาหล่อลากดินมากๆ และที่สำคัญยังไม่กล้าระบุเพศที่แท้จริงได้อย่างนรภัทร เวลาที่ว่าจึงดูราวกับนานนับปีเลยทีเดียว นอกจากนั้นเวลาพูดคุยกับอีกฝ่าย เธอยังต้องคอยดูทิศทางลมว่าพ่อเจ้าประคุณอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบไหน คนอะไรชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลาไม่เมื่อยหน้าบ้างหรือไง และนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้หญิงสาวค่อนข้างปักใจเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นอย่างที่คิด แต่เธอก็พร่ำบอกกับตัวเองว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงน่าเสียดายเอามากๆ เสียดายคุณหมอแทนคุณผู้แสนจะอารมณ์ดีนั่นจับจิตจับใจ แล้วหญิงสาวก็หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าขึ้นมาในทันใด หลังจากอาหารเช้าที่ตัวเจ้าของบ้านกับผู้เป็นเพื่อนสนิท ฟาดข้าวต้มหมูสับจนหมดเกลี้ยงหม้อ โดยฝ่ายหลังนั้นพูดพร่ำชมเธอไม่ขาดปากถึงรสชาติที่ได้ลิ้มรส ทว่าฝ่ายแรกนั้นนอกจากไม่พูดชม ยังสั่งโน่นนี่ราวกับเธอเป็นแม่ครัวจริงๆ กระนั้น คนอย่างเธอที่ถนัดทำอาหารอยู่ไม่กี่อย่างนี่นะ ให้เป็นแม่ครัวแล้วจะทำได้ไหมละนี่! นอกจากจะต้องรับบทบาทเป็นคนความจำเสื่อม ยังต้องรับบทเพิ่มเป็นแม่ครัวแถมด้วยแม่บ้านอีกต่างหาก พริมาคิดอย่างกลัดกลุ้มว่าพรุ่งนี้เธอจะทำอะไรให้เขากินดี ส่วนอาหารเย็นนั้นเลิกกังวลไปได้ เพราะอีกฝ่ายบอกว่าชอบกินผลไม้มากกว่าอาหารหนักๆ แต่เอาวะ...พรุ่งนี้ค่อยคิดก็ยังไม่สาย หญิงสาวบอกตัวเอง แล้วเป็นเพราะบทบาทแม่บ้านที่ต้องรับด้วยสภาวะจำยอมนี่แหละ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ จนทำให้คนสมองไวแบบเธอกลายเป็นคนสมองตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก เพราะจากช่วงบ่ายที่ผ่านมาเธอต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง ต้องย้ำว่าทั้งหลัง ซึ่งคนไม่เคยทำงานที่ว่ามาก่อนเช่นเธอถึงกับแทบคลานเชียวล่ะ ตกลงว่าเธอคิดผิดหรือคิดถูกที่แกล้งทำเป็นคนความจำเสื่อม หญิงสาวก่นด่าตัวเอง แต่มาคิดได้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว หลังจากนอนเขลงอยู่ครู่ใหญ่พริมาก็คิดได้ว่า เวลานี้นับเป็นโอกาสเหมาะที่จะโทร. หาปัทมนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเสียที คิดได้ดังนั้นก็หยิบสมาร์ตโฟนที่นรภัทรซื้อให้มาถือไว้ในมือ จากนั้นก็กดหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งเธอจำได้อย่างแม่นยำ เพราะเบอร์ของอีกฝ่ายเป็นเบอร์มงคลซึ่งมีตัวเลขอยู่แค่สามตัวเท่านั้น ที่เจ้าตัวบอกว่าต้องเสียเงินซื้อมาเป็นจำนวนเงินไม่น้อย หลังรอสายอยู่ครู่หนึ่งพริมาก็ได้ยินน้ำเสียงเรียบๆ ของเพื่อนดังมาจากในสาย “สวัสดีค่ะ” พริมาตื่นเต้นดีใจที่ได้ยินเสียงเพื่อนจนลืมตอบ กระทั่งคนในสายถามย้ำมาอีกครั้งถึงค่อยรู้สึกตัว “สวัสดีค่ะตกลงจะพูดหรือไม่พูด ถ้าไม่พูดฉันจะได้วางสาย พวกโรคจิตหรือเปล่าวะเนี่ย” น้ำเสียงกึ่งฉุนเฉียวของคนในสายทำเอาพริมาเผลอหัวเราะคิกออกไปอย่างขบขัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม