บทนำ
บทนำ
ยามดึกสงัดท่ามกลางความเงียบสงบของท้องถนนที่ไร้แสงไฟจึงค่อนข้างมืดสลัว มีเพียงบางช่วงเท่านั้นที่มีแสงไฟสาดส่อง นรภัทรพารถยนต์สีดำคันงามพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เพราะต้องการจะถึงบ้านเร็วๆ เส้นทางที่ขับอยู่ในขณะนี้เป็นทางลัดซึ่งตัวเขามักจะใช้อยู่บ่อยครั้ง
ปกติชายหนุ่มไม่ค่อยชอบขับรถเวลากลางคืนนัก แต่เพราะต้องออกไปคุยเรื่องงานซึ่งกินเวลานานพอสมควร ขากลับเลยถือโอกาสแวะซื้ออาหารและของใช้ในบ้านซะเลย
ทันใดนั้นนรภัทรก็ตกใจสุดขีดเท้าขวาเหยียบเบรกจนสุดแรงเท้า เมื่อเห็นร่างของผู้หญิงวิ่งตัดหน้ารถเขาในระยะกระชั้นชิด จนเสียงเบรคดังจนก้องท้องถนน
“เอี๊ยดดด!”
“เป็นอะไรหรือเปล่าวะนั่น”
นรภัทรพูดพึมพำออกมาอย่างครั่นคร้ามระคนกังวล ทั้งที่ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเหยียบเบรคได้ทันท่วงที ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูผลัวะลงไป แต่ไม่ลืมหยิบปืนกระบอกเล็กติดไปด้วย เพราะอาจเป็นกลลวงของพวกมิจฉาชีพที่มักจะส่งนางนกต่อมาล่อ เหมือนที่เคยเกิดเหตุการณ์นี้อยู่บ่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์
ทั้งที่ความน่าจะเป็นนั้นยากเพราะบ้านส่วนใหญ่ในซอยซึ่งเป็นทางลัดนี้ ล้วนแต่เป็นบ้านของคนมีเงินทั้งสิ้น รวมทั้งมีบ้านของนายตำรวจยศใหญ่หลายคนมีชื่อหราติดอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่ประมาทเป็นการดี
แล้วพลันสายตาของชายหนุ่มก็เห็นร่างผู้หญิงนอนแน่นิ่งอยู่ด้านหน้ารถ ครั้นเหลียวไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นใครสักคนหรือแม้แต่รถสักคัน อาจเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว นรภัทรก้มลงมองร่างของคนถูกชนจากแสงไฟที่สาดส่องลงมา ก่อนจะอังมือที่จมูกเป็นอันดับแรกแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะยังมีลมหายใจอยู่ ครั้งตรวจดูตามเนื้อตัวก็ไม่เห็นบาดแผลจึงเขย่าร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่
“คุณ...คุณ เป็นไงบ้าง”
แต่ก็ไร้การโต้ตอบ นรภัทรจึงตัดสินใจอุ้มร่างที่นอนนิ่งอยู่ขึ้นรถ เพื่อพาไปส่งโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ซึ่งเพื่อนสนิทของเขาเป็นหมออยู่ที่นั่น
ห้องฉุกเฉิน
“คนเจ็บเป็นไงบ้างวะ” นรภัทรเอ่ยถามเพื่อนสนิท แล้วเดินไปมาราวกับเสือติดจั่น พลางมองไปยังร่างที่ยังไม่รู้สึกตัวของหญิงสาวบนเตียงด้วยสีหน้าติดกังวล
“ข้าตรวจร่างกายแล้วไม่มีบาดแผลอะไรนี่หว่า มีแต่รอยถลอกนิดหน่อยตามเนื้อตัวเท่านั้น” นายแพทย์แทนคุณบอกเพื่อน
“อ้าว...แล้วทำไมถึงหมดสติได้ ข้าแน่ใจว่าเหยียบเบรคทันหรือว่าหัวกระแทกกับหน้ารถวะ”
นรภัทรชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเหยียบเบรคทันอย่างที่พูดออกไปจริงหรือเปล่า
“อาจจะเป็นความตกใจหรือไม่หัวอาจกระแทกกับหน้ารถอย่างที่เอ็งว่าก็เป็นได้” คนเป็นหมอออกความเห็น
“อาจเป็นไปได้ แต่หวังว่าฟื้นขึ้นมาคงไม่ความจำเสื่อมแบบในละครนะ”
นายแพทย์หนุ่มมองไปยังคนไข้บนเตียงแล้วยิ้มบางๆ
“หลายอย่างที่เราไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้นได้เสมอว่ะ อย่างเคสเมื่อวานผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งคลอดลูกได้สิบห้าวัน กินผัดสะตอกับกุ้งเข้าไปแล้วชักจนหมดสติ พอฟื้นขึ้นมาจำใครไม่ได้เลยแม้กระทั่งสามีกับลูก แต่บางครั้งจำได้แต่แค่แป๊ปเดียวเท่านั้น นอนอยู่โรงพยาบาลสองเดือนก็เสียชีวิต เอ็งคิดดูสิแค่กินผัดสะตอเนี่ยนะ ดังนั้นเอ็งทำใจไว้เถอะไอ้ภัทร”
“เอ็งให้ข้าทำใจยังกับผู้หญิงคนนี้จะความจำเสื่อมอย่างที่เอ็งพูดอย่างนั้นแหละ” คนถูกบอกให้ทำใจพูดค่อนผู้เป็นเพื่อนน้ำเสียงค่อนข้างเครียด
“ก็อาจจะเป็นไปได้ใครจะรู้ล่ะ”
พริมาที่นอนหลับตาแน่นิ่งอยู่ทั้งที่รู้สึกตัวได้พักหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรทำให้หญิงสาวนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง ฟังการสนทนาของชายหนุ่มทั้งสอง
ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินที่ถูกต้องที่สุดแล้วรองจากเรื่องที่หนีออกมาจากบ้าน เรียกว่าหลบน่าจะดีกว่าหนี
ฉับพลันความคิดอย่างหนึ่งก็แล่นวาบเข้ามาในสมอง ซึ่งมาจากคำพูดที่ได้ยินทั้งสองคุยกันนั่นแหละ
แกล้งจำอะไรไม่ได้น่าจะเป็นการกระทำที่ดีสุดสำหรับเธอ ณ เวลานี้
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แล้วค่อยหาหนทางแก้ไขภายหลังว่าจะทำยังไงต่อไป ตอนออกจากบ้านก็ออกมาแต่ตัวจริงๆ เพราะแม้กระทั่งกระเป๋าสตางค์ยังลนลานจนลืมหยิบมา ซึ่งเรื่องนั้นไม่เป็นปัญหานัก มีเพียงโทรศัพท์มือถือที่หยิบติดมือมาด้วย ทว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
หรือว่าหล่นตอนที่ถูกชน แต่ตอนนี้คงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ส่วนตอนหน้าค่อยว่ากันใหม่
เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงค่อยๆ ขยับแขนข้างที่เจ็บก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยเสียงร้องครางเพราะรู้สึกเจ็บขึ้นมาจริงๆ
“โอย...”
เสียงร้องครางของคนบนเตียง เรียกสายตาของชายหนุ่มทั้งคู่ให้พากันหันมามอง นรภัทรนั้นรีบเดินมาข้างเตียงอย่างรวดเร็ว
“คุณ...เป็นไงบ้าง”
ดวงตาคู่โตของคนถูกถามค่อยๆ ลืมขึ้นก่อนจะกะพริบปริบๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น แต่ทำเอาคนมองถึงกับชะงักกึกอยู่กับที่พลางคิดในใจ ผู้หญิงอะไรตาสวยชะมัด ครั้นรู้ตัวก็รีบปัดความคิดเลอะเทอะดังกล่าวออกไปทันที
“ฉันไม่...รู้”
ดวงตาของคนตอบนั้นดูว่างเปล่าเลื่อนลอย หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน พลางยกมือทั้งคู่ขึ้นกุมศีรษะ ดวงหน้าเหยเกราวกับเจ็บปวดมาก จนนรภัทรที่มองอยู่ต้องหันไปมองหน้าเพื่อนในทันใด ซึ่งคนถูกมองก็รีบเดินปราดเข้ามาหาทันที
“คุณเจ็บที่ศีรษะหรือเปล่าครับ”
คนถูกถามพยักหน้าดวงตาคู่โตคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ซึ่งเจ้าตัวพยายามบีบออกมาให้ดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะนึกละอายแก่ใจแต่ก็ต้องทำ
“ฉัน...เป็นใครหรือคะ”
นรภัทรชะงักไปชั่วครู่จากคำถามของอีกฝ่ายก่อนจะอุทานเสียงดัง
“คุณไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร!”
เสียงดั่งลั่นของผู้เป็นเพื่อนทำให้นายแพทย์แทนคุณต้องหันไปส่งสายตาปราม
“เอ็งอย่าพูดเสียงดังสิวะไอ้ภัทร” ก่อนจะหันไปทางหญิงสาวบนเตียงแล้วใช้มือคลำที่ศีรษะ แต่ก็ไม่พบบาดแผลใดๆ “คุณจำอะไรได้บ้างครับลองพยายามนึกดูก่อน”
พริมาทำทีหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมขึ้น ทว่าดวงตาทั้งคู่ยังคงแสร้งทำเลื่อนลอยอยู่เช่นเดิม
“ฉัน...พยายามนึกแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก” พูดพลางก็หันไปมองรอบๆ ห้อง “ที่นี่ที่ไหน...แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คำพูดที่ได้ยินทำให้นายแพทย์หนุ่มหันไปมองหน้าเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าคนถาม
“ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อนผมบอกว่าคุณวิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด แล้วคุณก็หมดสติไปหลังจากนั้น”
“วิ่งตัดหน้ารถหรือคะ” คนหมดสติจริงๆ พูดน้ำเสียงเบลอๆ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนน้ำตาจะไหลพร่างพรู “ฉันจำอะไรไมได้เลย”
“เวรของเอ็งแล้วล่ะสิไอ้ภัทร”
นรภัทรที่ยืนฟังอยู่พูดพึมพำกับตัวเอง พลางยกมือขึ้นกุมศีรษะ ถ้าทึ้งผมได้ก็อยากจะทำเสียเดี๋ยวนั้น เพราะไม่นึกว่าเรื่องที่คุยกับผู้เป็นเพื่อนก่อนหน้านี้จะกลายเป็นความจริงขึ้นมา
นี่เขาขับรถชนคนจนจำอะไรไม่ได้นี่นะ